วาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(เรียกแบบอเมริกันคือ
check
valve เรียกแบบอังกฤษคือ
non-return
valve) มักมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ค่อยดีในแง่ที่ว่า
มันมักจะเปิดค้างในเวลาที่มันควรจะปิด
และปิดค้างในเวลาที่มันควรจะเปิด
ดังนั้นถ้าหากวาล์วกันการไหลย้อนกลับนี้ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิรภัย
มันก็ควรที่จะอยู่ในรายการอุปกรณ์ที่ควรได้รับการตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอด้วย
กรณีที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ไม่ได้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นที่ปริษัท
ASCO
ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันอังคารที่
๒๕ มกราคม ๒๕๔๘ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต
๓ คน
รูปที่
๑ แผนผังโรงงานที่เกิดการระเบิด
(ผมลบเส้นบางเส้นทิ้งเพราะเกรงว่าอาจทำให้เข้าใจผิด)
อาคารที่เกิดการระเบิดและอาคารที่ใช้ผลิตแก๊สอะเซทิลีนเป็นคนละอาคารกัน
ดังนั้นท่อน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างระบบทั้งสองจึงมีโอกาสที่จะพบกับอากาศเย็นจัดภายนอกอาคาร
รายละเอียดเหตุการณ์ดังกล่าวทางหน่วยงาน
U.S.
Chemical Safety and Hazard Investigation Board (CSB)
ได้ทำเอกสารเผยแพร่ทั้งในรูปของไฟล์
pdf
(วารสาร
CSB
no. 2006-01-B January 2006 เรื่อง
"Explosion
at ASCO: Dangers of Flammable Gas Accumulation")
และคลิปวิดิทัศน์
(เรื่อง
"CSB
Safety Video: Dangers of Flammable Gas Accumulation")
แต่เท่าที่ดูพบว่าเอกสารทั้งสองนั้นมีความไม่สมบูรณ์ในตัวเองอยู่
โดยมีอยู่จุดหนึ่งที่เอกสารที่เป็นไฟล์
pdf
ไม่ได้กล่าวถึงทั้ง
ๆ ที่เป็นจุดที่มีความสำคัญ
(ตำแหน่งวาล์วตัวหนึ่งในระบบท่อ)
และมีบางจุดที่คลิปวิดิทัศน์ไม่ได้กล่าวถึงว่าทำไมจึงมีขั้นตอนการปฏิบัติเช่นนั้น
(การระบายน้ำทิ้งออกจากระบบท่อ)
ดังนั้นเพื่อให้ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่สามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าวได้ดีขึ้น
จึงจะขอนำเอาเรื่องนี้มาขยายความเพิ่มเติมเล่าสู่กันฟัง
โรงงานดังกล่าวเดิมผลิตอะเซทิลีน
(acetylene
C2H2) จากปฏิกิริยาระหว่าง
calcium
carbide (CaC2 ที่บ้านเราเรียกว่า
ถ่านแก๊ส หินแก๊ส หรือแก๊สก้อน
และยังใช้กันในอู่ซ่อมรถและการบ่มผลไม้)
กับน้ำ
โดยจะเกิดแก๊สอะเซทิลีนและแคลเซียมไฮดรอกไซด์
(Calcium
hydroxide Ca(OH)2 ที่ในเอกสารและในคลิปเรียกว่า
Lime)
แต่ต่อมาเมื่อความต้องการอะเซทิลีนเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่ากำลังการผลิตของโรงงาน
จึงมีการสั่งซื้ออะเซทิลีนจากแหล่งภายนอกมาแบ่งบรรจุเพิ่มเติม
ด้วยการที่แก๊สอะเซทิลีนที่ความดันสูงเกินกว่า
1
bar.g
นั้นสามารถสลายตัวด้วยตนเองและปลดปล่อยพลังงานออกมาได้แบบการระเบิด
การเก็บอะเซทิลีนที่ปลอดภัยจึงต้องใช้ถังบรรจุที่ภายในบรรจุเอาไว้ด้วยวัสดุของแข็งมีรูพรุนและอะซีโตน
(Acetone
H3C-C(O)-CH3)
โดยให้อะเซทิลีนละลายอยู่นในอะซีโตน
และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมแผนผังโรงงานในรูปที่
๑ จึงมีตำแหน่งสถานที่เก็บอะซีโตนปรากฏอยู่
แคลเซียมไฮดรอกไซด์และน้ำที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาจะถูกส่งต่อไปยังถังตกตะกอน
(Decant
tank) ที่มีอยู่ทั้งหมด
๖ ถังเพื่อแยกเอาน้ำ
(กลับไปใช้งานใหม่)
และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ออกจากกัน
ถังตกตะกอนวางเรียงเป็นแถว
๒ แถว แถวละ ๓ ถัง
โดยระยะห่างระหว่างแถวจะมากกว่าระยะห่างระหว่างถังที่อยู่ในแถวเดียวกัน
(ดูรูปที่
๑)
และพื้นที่ว่างระหว่างแถวก็ใช้เป็นสถานที่ติดตั้งปั๊มน้ำเพื่อส่งน้ำจากถังตกตะกอนไปใช้ทำปฏิกิริยาในหน่วยผลิตอะเซทิลีน
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ แผนผังกระบวนการผลิตอะเซทิลีน
วาล์วที่มีการระบายสีทึบคือวาล์วที่อยู่ในตำแหน่งปิด
วาล์วที่ไม่มีการะบายสีทึบคือวาล์วที่พบว่าอยู่ในตำแหน่งเปิด
(ทั้งหมดเป็นตำแหน่งวาล์วที่ผู้ตรวจสอบพบหลังการเกิดอุบัติเหตุ)
ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียวคือวาล์วที่ในเอกสารไฟล์
pdf
ไม่ได้กล่าวถึงเอาไว้
ทั้ง ๆ
ที่มันมีความสำคัญเพราะเป็นตัวป้องกันไม่ให้แก๊สรั่วไปถึง
drain
valve ด้านขาเข้าตัวปั๊มได้
ส่วนคลิปวิดิทัศน์มีการกล่าวถึงว่าก่อนเกิดอุบัติเหตุคงมีการเปิดวาล์วตัวดังกล่าว
แต่ไม่ได้กล่าวถึงว่าทำไปจึงต้องมีการระบายน้ำในท่อดังกล่าวทิ้ง
ปรกติของเหลวเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นก็จะมีการขยายตัว
ดังนั้นระบบท่อหรืออุปกรณ์ใด
ๆ
ที่มีของเหลวบรรจุอยู่เต็มและมีโอกาสที่ปลายท่อทั้งสองข้างนั้นจะถูกปิดโดยในช่วงกลางระหว่างปลายทั้งสองมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม
ถ้าของเหลวที่บรรจุอยู่นั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น
(เช่นท่อน้ำที่วางตากแดด)
ก็จะทำให้ความดันในท่อเพิ่มสูงขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับระบบท่อหรืออุปกรณ์ถ้าหากมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
ก็จะมีการติดตั้งวาล์วระบายความดัน
(relief
valve) เอาไว้
ณ ตำแหน่งที่เหมาะสม
โดยด้านขาออกของวาล์วระบายความดันก็ต้องระบายไปยังที่
ๆ เหมาะสมด้วย
แต่น้ำเป็นของเหลวที่แปลกอย่างหนึ่ง
กล่าวคือพอมันกลายเป็นน้ำแข็งมันจะขยายตัว
(ปริมาตรต่อหน่วยน้ำหนักเพี่มขึ้น)
ดังนั้นในประเทศที่อากาศหนาวจัดจนน้ำเป็นน้ำแข็งได้
ถ้าหากไม่มีการป้องกันไม่ให้น้ำในระบบท่อแข็งตัว
ก็จะเกิดปัญหาท่อแตกเมื่ออากาศเย็นจัดได้
วิธีป้องกันนั้นมีหลายวิธี
และวิธีหนึ่งก็คือการไม่ให้มีน้ำค้างอยู่ในระบบท่อเมื่อไม่ใช้งาน
และจะเปิดน้ำเข้าระบบท่อก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้งาน
และเมื่อใช้งานเสร็จแล้วก็จะต้องทำการระบายน้ำที่ค้างอยู่ในระบบท่อทิ้ง
ระบบท่อน้ำดับเพลิงที่เรียกว่า
"Dry
riser"
ที่ใช้กับพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้นั้น
ก็ใช้วิธีนี้
กล่าวคือจะไม่มีน้ำอยู่ในระบบท่อ
(พวก
Wet
riser ที่ใช้กันในบ้านเรานั้นมีน้ำไปจ่อรออยู่ที่หัวฉีด)
จะส่งน้ำเข้าระบบท่อไปยังหัวฉีดก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้งานเท่านั้น
รูปที่
๓ โครงสร้างวาล์วกันการไหลย้อนกลับตัวที่ก่อเรื่อง
ตัว plug
ทำงานโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงในการทำให้ตกลงมายังตำแหน่งปิด
แต่ด้วยการที่ guide
pin นั้นสั้นเกินไปและ/หรือ
pipe
nipple สอดเข้าไปไม่ลึกพอ
ทำให้เมื่อวาล์วเปิดเต็มที่
ปลายด้านล่างของ guide
pin จะอยู่สูงกว่าขอบด้านบนของ
pipe
nipple พอมีการปิดการไหลก็เลยมีโอกาสที่ปลายด้านล่างของ
guide
pin จะตกลงมาค้างอยู่บนขอบด้านบนของ
pipe
nipple ดังรูปขวา
น้ำที่โรงงานบริษัท
ASCO
ใช้นั้นมีทั้งน้ำที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาที่นำกลับมาใช้งานใหม่
(recycled
water) และน้ำประปา
(city
water) ที่ป้อนเข้ามาเพื่อชดเชยน้ำที่ทำปฏิกิริยาไป
(ดูแผนผังในรูปที่
๒)
เพื่อป้องกันไม่ให้ปั๊มสูบน้ำจากถังตกตะกอนประสบปัญหาเย็นจัดในฤดูหนาว
จึงได้มีการสร้างอาคารไม้
(wooden
shed) ปิดคลุมบริเวณดังกล่าวไว้
อาคารดังกล่าวสร้างโดยใช้ผนังของถังตกตะกอนทั้ง
๖ ถังเป็นส่วนหนึ่งของผนังอาคารด้วย
(เป็นการประหยัดค่าผนัง)
และให้อบอุ่นแก่อากาศภายในอาคารดังกล่าวด้วยการใช้
propane
heater (ที่มีอุณหภูมิพื้นผิวให้ความร้อนแก่อากาศภายในอาคารประมาณ
1100ºF
หรือ
590ºC)
ตัวอาคารไม้กับอาคารที่เป็นที่ตั้งของหน่วยผลิตอะเซทิลีนเป็นคนละอาคารกัน
ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ต้องส่งน้ำจากถังตกตะกอนไปยังถังทำปฏิกิริยานั้นจะพบเจอกับอากาศเย็นจัดภายนอกอาคาร
ที่สามารถทำให้น้ำในระบบท่อกลายเป็นน้ำแข็งและทำให้ท่อเสียหายได้
ในช่วงก่อนเกิดเหตุนั้น
สภาพอากาศหนาวจัดถึงขั้นหิมะตก
ประจวบกับยังมีอะเซทิลีนที่สั่งเข้ามาจากแหล่งภายนอกพอแบ่งบรรจุเพื่อส่งต่อให้กับลูกค้า
ทางโรงงานจึงไม่ได้มีการเดินเครื่องหน่วยผลิตอะเซทิลีน
เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อส่งน้ำจากถังตกตะกอนไปยังถังทำปฏิกิริยาเกิดความเสียหายจากการที่น้ำในท่อกลายเป็นน้ำแข็ง
พนักงานจึงได้ทำการระบายน้ำในท่อทิ้งผ่านทาง
drain
valve ที่ติดตั้งอยู่ทางด้านขาเข้าของปั๊มสูบน้ำจากถังตกตะกอน
(ดูรูปที่
๒)
โดยน้ำที่ระบายออกมานั้นระบายลงสู่พื้นด้านในอาคาร
และ "เปิด"
วาล์วดังกล่าวทิ้งเอาไว้
การระเบิดนั้นเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างไอเชื้อเพลิงกับอากาศ
(คืออยู่ในช่วงความเข้มข้นที่เรียกว่า
explosive
limit) จากนั้นถ้าไอผสมนี้พบกับแหล่งพลังงานที่มีพลังงานสูงพอ
(ซึ่งอาจเป็นเปลวไฟ
ประกายไฟ หรือพื้นผิวที่มีความร้อนสูง)
มันก็จะเกิดการระเบิด
ในกรณีที่เป็นการรั่วไหลในพื้นที่เปิดโล่งนั้น
โอกาสที่ไอเชื้อเพลิงกับอากาศจะผสมกันจนมีความเข้มข้นสูงพอที่จะระเบิดได้นั้น
(ระดับที่เรียกว่า
Lower
explosive limit หรือ
LEL)
มีน้อยเพราะไอเชื้อเพลิงจะฟุ้งกระจายได้ง่าย
เว้นแต่จะมีการรั่วไหลในปริมาณที่มาก
เช่นในระดับเป็นตันหรือหลายตันขึ้นไป
และเมื่อเกิดการระเบิดเมื่อใดก็จะเป็นการระเบิดที่รุนแรงและความเสียหานจะเป็นบริเวณกว้าง
(เช่นอาจไปทั้งโรงงานเลยก็ได้)
การระเบิดแบบนี้เรียกว่า
Unconfined
Vapour Cloud Explosion (UVCE)
แต่ถ้าเป็นการรั่วไหลในบริเวณปิดล้อมที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดีนั้น
(เช่นในอาคารหรือห้องที่ไม่ใหญ่มาก)
ไอเชื้อเพลิงที่รั่วออกมานั้นมีโอกาสสูงที่จะสะสมจนมีความเข้มข้นสูงมากพอจนถึงระดับ
Lower
Explosive Limit ได้แม้ว่าจะมีการรั่วไหลในปริมาณที่ไม่มาก
(เช่นระดับไม่กี่กิโลกรัม)
การระเบิดแบบนี้เรียกว่า
Confined
Vapour Cloud Explosion (VCE) ที่มีการรุนแรงน้อยกว่า
UVCE
แต่ก็มากพอที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในบริเวณที่เกิดการระเบิด
ในวันที่เกิดเหตุนั้น
อะเซทิลีนที่สั่งเข้ามานั้นไม่พอ
พนักงานเลยต้องทำการผลิตอะเซทิลีนเพิ่มเติม
โดยในขั้นตอนการทำงานนั้นจะต้องมีการเพิ่มความดันให้กับถังผลิตอะเซทิลีน
(Acetylene
generator) ก่อน
จากนั้นจึงค่อยเริ่มการผลิตด้วยการป้อนน้ำและแคลเซียมคาร์ไบด์
โดยในระหว่างที่รอให้ความดันในถังผลิตสูงจนได้ระดับนั้น
คนงานก็ออกมากวาดหิมะอยู่รอบ
ๆ อาคารติดตั้งปั๊มน้ำ (wooden
shed) แต่ออกมาทำงานได้ไม่นานก็เกิดการระเบิดขึ้น
ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๓
รายและบาดเจ็บสาหัส ๑ ราย
สิ่งแรกที่ผู้สอบสวนมองหาก็คืออะไรคือเชื้อเพลิงของการระเบิดในอาคารดังกล่าว
ซึ่งมีความเป็นไปได้อยู่
๒ แหล่งด้วยกันคือโพรเพนที่ใช้ในการให้ความร้อนภายในตัวอาคาร
และอะเซทิลีนที่รั่วไหลย้อนมาจากถังผลิต
แต่เมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของการระเบิดแล้ว
(เชื้อเพลิงแต่ละชนิดให้ความรุนแรงของการระเบิดที่ไม่เท่ากัน
ไฮโดรเจนและอะเซทิลีนนั้นให้ความรุนแรงของการระเบิดที่สูงกว่าไฮโดรคาร์บอนทั่วไป)
ทางคณะกรรมการสอบสวนจึงลงความเห็นว่าน่าจะเกิดจากอะเซทิลีน
แต่คำถามที่ตามมาก็คืออะเซทิลีนที่ผลิตอยู่ในอีกอาคารหนึ่งรั่วไหลย้อนจากถังผลิตมายังอาคารนี้ได้อย่างไร
ตรงนี้ต้องกลับไปดูตำแหน่งวาล์วแต่ละตัวว่าตัวไหนเปิดตัวไหนปิด
ในรูปที่ ๒ นั้นวาล์วที่ปิดอยู่จะมีการระบายสีทึบ
วาล์วที่เปิดอยู่จะไม่มีการระบายสี
แต่ตำแหน่งวาล์วก่อนการเกิดเหตุกับหลังการเกิดเหตุนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
เพราะบอกไม่ได้เหมือนกันว่าในระหว่างการเข้าไประงับเหตุนั้น
ผู้ที่เข้าไประงับเหตุมีการเปิดหรือปิดวาล์วตัวไหนบ้างหรือเปล่า
ตรงนี้ก็เลยเป็นประเด็นที่ผมใส่กรอบสีเขียวให้กับวาล์วในรูปที่
๒ เพราะพบว่าหลังการเกิดเหตุนั้นวาล์วตัวนี้อยู่ในตำแหน่ง
"ปิด"
เพราะถ้าวาล์วตัวนี้อยู่ในตำแหน่งปิด
โอกาสที่อะเซทิลีนจะไหลย้อนไปยังอาคารปั๊มน้ำได้ก็จะน้อยมาก
เว้นแต่ว่าเกิดเหตุการณ์ที่วาล์วตัวดังกล่าวปิดไม่สนิทและวาล์วกันการไหลย้อนกลับปิดไม่สนิทด้วยในเวลาเดียวกัน
ก่อนเกิตเหตุนั้น
ทางคณะผู้สอบสวนเชื่อว่ามีการตัดสินใจที่จะใช้ระบบน้ำ
recycle
จากถังตกตะกอนใช้ในการทำปฏิกิริยา
ดังนั้นจึงไม่มีการเปิดวาล์วน้ำประปาเข้าระบบ
และมีการเปิดวาล์วด้านขาออกของปั๊มจ่ายน้ำทิ้งเอาไว้
(ตรงนี้มีการกล่าวถึงเอาไว้ในคลิปวิดิทัศน์
แต่ไม่ปรากฏในเอกสารไฟล์
pdf)
โดยที่ตัว
drain
valve ยังเปิดทิ้งเอาไว้อยู่
แต่เนื่องจากวาล์วกันการไหลย้อนกลับนั้นเปิดค้างอยู่
(ผลจากการออกแบบโครงสร้างที่ไม่ดีดังแสดงในรูปที่
๓)
จึงทำให้อะเซทิลีนที่ใช้ในการเพิ่มความดันในถังผลิตนั้นรั่วไหลย้อนมายังอาคารปั๊มน้ำได้
ก่อนที่จะเกิดการระเบิด
โดยต้นตอของการจุดระเบิดเชื่อว่าคือ
propane
heater ที่ใช้ให้ความร้อนในอาคาร
ทั้งนี้เนื่องจากอะเซทิลีนมีค่าอุณหภูมิการจุดระเบิดได้ด้วยตนเองหรือ
autoignition
temperature ที่ประมาณ
580ºF
หรือ
300ºC
ในขณะที่พื้นผิวของ
propane
heater นั้นมีอุณหภูมิสูงถึง
1100ºF
หรือ
590ºC
ส่วนที่ว่าวาล์วตัวที่เป็นปัญหานั้นมาอยู่
ณ ตำแหน่งปิดได้อย่างไรหลังเกิดเหตุนั้นไม่ได้มีการกล่าวเอาไว้
แต่ผมเดาว่าน่าจะเกิดขึ้นระหว่างการระงับเหตุ
เพราะถ้าไม่มีใครไปปิดวาล์วดังกล่าวก็จะยังคงมีอะเซทิลีนรั่วไหลออกมาต่อเนื่องที่อาจทำให้เกิดการระเบิดหรือเพลิงไหม้ตามมาอีกได้
คลิปวิดิทัศน์และไฟล์
pdf
รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวดูได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้
รูปที่
๔ ภาพจากคลิปวิดิทัศน์บริเวณโรงเรือนที่เกิดการระเบิด
ในเอกสารที่
CSB
จัดทำนั้นยังมีการกล่าวถึงประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน
ซึ่งตรงนี้มีการจำแนกเป็น
Class
(ประเภทของเชื้อเพลิงว่าเป็น
ไอ ฝุ่นผง เส้นใย)
Division (โอกาสที่จะพบเจอ
เช่น ตลอดเวลาที่มีการเดินเครื่องการผลิต
หรือเป็นครั้งคราวขึ้นอยู่กับงานเฉพาะ)
Group
(ความดันสูงสุดของการระเบิดที่เกิดขึ้นได้ถ้าเชื้อเพลิงนั้นเกิดการระเบิดขึ้นมา
ในกรณีของอะเซทิลีนนั้นจะให้ความดันที่สูงกว่าโพรเพนกว่า
๕๐ เท่าตัว)
รายละเอียดตรงส่วนนี้สามารถอ่านได้ใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๔๐ วันพุธที่ ๓๑
มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "Electrical safety for chemical processes"
สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักว่าวาล์วกันการไหลย้อนกลับนั้นมีหน้าตาแบบไหนและโครงสร้างอย่างไรบ้าง
สามารถอ่านเพื่อทำความรู้จักได้ใน
Memeoir
ปีที่
๑ ฉบับที่ ๓๓ วันพุธที่ ๒๙
เมษายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"วาล์วและการเลือกใช้ (ตอนที่ 2)"
และ
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๕๗ วันศุกร์ที่
๔ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"การติดตั้งวาล์วกันการไหลย้อนกลับ"
สำหรับฉบับนี้
คงจบลงเพียงแค่นี้
รูปที่
๕ propane
heater ที่ใช้ให้ความอบอุ่นในอาคารที่เชื่อว่าเป็นต้นตอของการจุดระเบิด
ในการทำงานนั้นเปลวไฟจะลุกไหม้อยู่ใน
combustion
chamber และส่งความร้อนให้กับอากาศในห้องผ่านทางผนังของ
combustion
chamber (เป็นการป้องกันไม่ให้แก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ไปเพิ่ม
CO2
ในห้อง)
พึงสังเกตว่าในการออกแบบนี้ท่อดึงอากาศเข้าเพื่อการเผาไหม้จะล้อมรอบท่อแก๊สร้อนจากการเผาไหม้ที่ระบายทิ้ง
ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันท่อแก๊สปล่อยทิ้งที่ร้อน
แต่ยังช่วยอุ่นอากาศที่จะนำมาเผาไหม้ให้ร้อนขึ้นด้วย
ซึ่งเป็นการประหยัดพลังงาน
ส่วนคำว่า "Pilot"
ที่ปรากฏในที่นี้คือหัวเตาเล็ก
ๆ ที่มีเปลวไฟจุดล่อเอาไว้ตลอดเวลา
เพื่อที่ว่าเมื่อใดที่ต้องการจุดหัวเตาหลัก
(หรือตัว
burner)
พอเปิดแก๊สเข้าหัวเตาหลัก
แก๊สนั้นก็จะลุกติดไฟได้ทันที
เตาแก๊สที่ผู้ประกอบการร้านอาหารบางราย
(โดยเฉพาะร้านอาหารตามสั่งที่มีการเปิด-ปิดเตาแก๊สบ่อยครั้งตามอาหารที่ลูกค้าสั่ง)
ก็มีการใช้เตาแบบนี้
คือจะมีการเดินท่อแก๊สเล็ก
ๆ แยกต่างหากมา ๑
ท่อที่ไปจ่อเอาไว้ที่หัวเตาหลัก
ท่อแก๊สนี้ทำหน้าที่เป็น
pilot
คือจะมีการจุดไฟติดเอาไว้ตลอดเวลา
พอเปิดแก๊สเข้าหัวเตาหลัก
ไฟที่หัวเตาหลักก็จะติดทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาจุดไฟ
พอปิดแก๊สเข้าหัวเตาหลัก
ไฟที่หัวเตาหลักก็จะดับ
แต่ที่หัว pilot
นั้นจะยังคงลุกติดอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น