"มันไม่เหมือนกันนะ"
ผมบอกเขา
"การที่คุณบอกว่าถ้าไม่เปิด
stirrer
ตั้งแต่ต้นปฏิกิริยาจะไม่เกิด
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อคุณหยุด
stirrer
แล้วปฏิกิริยามันจะหยุด"
เหตุเกิดเมื่อช่วงเที่ยงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ระหว่างวิชาสัมมนานิสิตปริญญาเอก
ในขณะที่คน
(น่าจะเป็นส่วนใหญ่)
มักจะเน้นไปที่ผลการทดลองและข้อสรุปที่ได้จากผลการทดลองนั้น
แต่ผมมักจะย้ำกับนิสิตที่ผมดูแลอยู่เสมอว่า
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำการทดลองคือ
"วิธีการทำการทดลอง"
พูดง่าย
ๆ ก็คือถ้า set
แลปผิด
ผลแลปที่ได้มาก็ไม่มีค่าแก่การพิจารณา
ผลการทดลองที่ทำซ้ำได้นั้นไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าวิธีการทดลองที่ใช้นั้นถูกต้อง
เพราะถ้าทำผิดเหมือนเดิม
ผลการทดลองก็ออกมาเหมือนเดิม
แต่มันเป็นผลที่ผิด
การทำปฏิกิริยาเมื่อสารตั้งต้นที่มีมากกว่า
๑ ชนิดผสมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้นมักไม่ค่อยมีปัญหา
ที่จะมีปัญหามากกว่าคือกรณีที่มีสารตั้งต้นมากกว่า
๑ ชนิดและอยู่ในเฟสที่ต่างกันในระหว่างการทำปฏิกิริยา
ตัวอย่างของการทำปฏิกิริยารูปแบบนี้ได้แก่การทำปฏิกิริยาใน
stirred
reactor หรือถังปั่นกวน
และการทำปฏิกิริยาใน
trickle-bed
reactor แต่ใน
Memoir
ฉบับนี้จะขอจำกัดอยู่เพียงแค่
stirred
reactor
รูปที่
๑ ระบบการทำปฏิกิริยา ๓
เฟสใน stirred
reactor ขนาดเล็กที่เราใช้กันอยู่ในแลป
ระบบดังกล่าวอาจมีรูปแบบเป็น
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็ง
(เฟสของแข็ง)
+ ตัวทำละลายและสารตั้งต้น
1
ที่ละลายอยู่
(เฟสของเหลว)
+ สารตั้งต้น
2
ที่เป็นแก๊ส
(เฟสแก๊ส)
ดังรูปซ้าย
หรืออาจมีรูปแบบเป็น
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็ง
(เฟสของแข็ง)
+ ตัวทำละลายและสารตั้งต้น
1
ที่ละลายอยู่
(เฟสของเหลว
1)
+ สารตั้งต้น
2
ที่ละลายได้น้อยในตัวทำละลาย
(เฟสของเหลว
2)
ดังรูปขวา
ตัวอย่างหนึ่งของการทำปฏิกิริยา
๓ เฟสใน stirred
reactorที่กลุ่มเราทำกันอยู่ก็คือปฏิกิริยา
hydroxylation
ของbenzene
ไปเป็น
phenol
และของโทลูอีนไปเป็น
benzaldehyde,
o-cresol และ
p-cresol
ในปฏิกิริยาดังกล่าวเราใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็งที่จมอยู่ใต้ตัวทำละลายคือน้ำ
สารตั้งต้น 1
คือสารละลาย
H2O2
ที่ละลายน้ำได้ดี
ส่วนสารตั้งต้น 2
คือไฮโดรคาร์บอน
(เบนซีนหรือโทลูอีน)
ที่ละลายน้ำได้น้อยและแยกเฟสโดยจะลอยอยู่บนผิวหน้าน้ำ
(รูปที่
๑ ขวา)
การปั่นกวนนั้นจะใช้แท่ง
magnetic
bar ร่วมกับ
magnetic
stirrer
ปฏิกิริยาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทั้ง
H2O2
และไฮโดรคาร์บอนต้องมาอยู่บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
ในส่วนของ H2O2
นั้นไม่มีปัญหาอะไร
เพราะมันละลายน้ำได้ดีอยู่แล้ว
ที่เป็นปัญหามากกว่าคือไฮโดรคาร์บอน
เพราะมันละลายน้ำได้น้อย
แถมลอยอยู่บนผิวหน้าน้ำที่ใช้เป็นตัวทำละลาย
โอกาสที่มันจะแพร่ไปจนถึงพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาได้ก็น้อยลงไปอีก
ในกรณีของกลุ่ม
hydroxylation
นั้นเราแก้ปัญหาด้วยการทำการปั่นกวนน้ำที่ใช้เป็นตัวทำละลาย
(โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาแขวนลอยอยู่ในน้ำ)
กับไฮโดรคาร์บอนที่อุณหภูมิสูงระดับหนึ่ง
(ใกล้กับอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาหรือที่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยา)
เป็นเวลาช่วงหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อไล่อากาศออกจากรูพรุนของตัวเร่งปฏิกิริยาจนหมดและแทนที่ที่ว่างในรูพรุนด้วยตัวทำละลาย
และให้ชั้นน้ำอิ่มตัวไปด้วยไฮโดรคาร์บอน
จากนั้นจึงค่อยฉีดสารละลาย
H2O2
เข้าไปใน
stirred
reactor ในขณะที่ทำการปั่นกวนไปด้วย
เนื่องจาก H2O2
ละลายน้ำได้ดีดังนั้นจึงถือได้ว่า
H2O2
กระจายไปทั่วตัวทำละลายในระบบได้อย่างรวดเร็ว
เราจึงถือว่าปฏิกิริยาเริ่มเกิดนับตั้งแต่จังหวะที่ฉีด
H2O2
เข้าไปใน
stirred
reactor
เนื่องจากเราศึกษาปฏิกิริยา
hydroxylation
ที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้อง
และเราได้เคยทดสอบแล้วว่าที่อุณหภูมิห้องปฏิกิริยาดังกล่าวจะไม่เกิด
ดังนั้นเวลาที่เราต้องการหยุดปฏิกิริยาเราจึงสามารถใช้การลดอุณหภูมิระบบลงอย่างรวดเร็วด้วยการนำเอา
oil
bath ออกและแทนที่ด้วย
ice
bath แทน
ดังนั้นเมื่อสารละลายใน
stirred
reactor มีอุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงอุณหภูมิห้อง
(อันที่จริงไม่ต้องลดลงถึงอุณหภูมิห้อง
แม้ว่าจะสูงกว่าบ้างปฏิกิริยาก็หยุดแล้ว)
ปฏิกิริยาก็จะหยุดเกิด
แม้ว่าในขณะนั้นในสารละลายจะมีทั้ง
H2O2
และไฮโดรคาร์บอนอยู่ก็ตาม
ปฏิกิริยาที่เป็นที่มาของ
Memoir
ฉบับนี้เป็นปฏิกิริยา
hydrogenation
(เติมไฮโดรเจน)
ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงของแข็ง
ที่เกิดขึ้นใน stirred
reactor แบบเดียวกับที่กลุ่มเราใช้
แต่ในปฏิกิริยาของเขานั้นสารตั้งต้นชนิดที่
2
คือแก๊สไฮโดรเจน
(H2)
ที่ละลายได้น้อยในไฮโดรคาร์บอน
(alkyne
C7) ที่เขาใช้เป็นสารตั้งต้นที่
1
ที่อยู่ในเฟสของเหลว
ในการทำปฏิกิริยานั้นเขาใช้วิธีบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยา
(โลหะบนตัวรองรับ)
เข้าไปใน
reactor
ตามด้วยการเติมไฮโดรคาร์บอนที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องเข้าไป
และ magnetic
bar (ไม่มีขั้นตอนการไล่แก๊สออกจากรูพรุน)
จากนั้นจึงค่อยอัดแก๊สไฮโดรเจนจนความดันใน
reactor
สูงถึงความดันที่ต้องการทำปฏิกิริยา
แล้วจึงเปิด magnetic
stirrer เพื่อให้
magnetic
bar ปั่นกวนของเหลวในระบบ
พร้อมกับเริ่มทำการจับเวลาการเกิดปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาดำเนินไปที่อุณหภูมิห้อง
และเมื่อทำปฏิกิริยาไปจนถึงเวลาที่กำหนด
ก็จะนำเอา reactor
แช่ใน
ice
bath เพื่อ
"หยุด"
ปฏิกิริยา
ต่อคำถามที่ผมถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าปฏิกิริยา
"หยุด"
เกิด
สิ่งที่เขาอธิบายเพิ่มเติมคือช่วงเวลาระหว่างการทำงานแต่ละขั้นตอนนั้น
พยายามให้ระยะเวลานั้นเท่ากัน
และได้เคยทดลองโดยไม่ได้เปิด
magnetic
stirrer (ดังนั้น
maganetic
bar ใน
reactor
ก็ไม่หมุนปั่นกวน)
ก็ไม่พบว่าปฏิกิริยาเกิด
ผมก็เลยบอกเขาด้วยประโยคที่นำมาขึ้นต้น
Memoir
ฉบับนี้
ในการเกิดปฏิกิริยา
hydrogenation
ของ
alkyne
ในระบบนี้
ไฮโดรเจนที่เป็นแก๊สจะต้องละลายเข้าไปในไฮโดรคาร์บอนที่เป็นของเหลวก่อน
(ในกรณีของเขาไม่มีการใช้ตัวทำละลาย)
จากนั้นจึงไปเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
แรกเริ่มหลังจากบรรจุไฮโดรคาร์บอนและแก๊สไฮโดรเจนเข้าไปโดยที่ยังไม่มีการปั่นกวนนั้น
ในเฟสของไฮโดรคาร์บอนจะมีไฮโดรเจนละลายอยู่น้อยมากหรือถือได้ว่าไม่มี
โดยอาจมีแค่ตรงผิวสัมผัสระหว่างเฟสที่อยู่ด้านบน
ในขณะที่ตัวเร่งปฏิกิริยาจมอยู่ที่ก้น
reactor
ดังนั้นปฏิกิริยาจึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อเปิด
magnetic
stirrer ให้เกิดการปั่นกวน
การปั่นกวนจะช่วยทำให้ไฮโดรเจนละลายเข้ามาในเฟสไฮโดรคาร์บอนได้ดีขึ้นและกระจายไปทั่วของเหลว
ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นได้
แต่เมื่อหยุดการปั่นกวน
การละลายของไฮโดรเจนเข้ามาในเฟสของไฮโดรคาร์บอนจะหยุดไปด้วย
"แต่"
ในเฟสไฮโดรคาร์บอนยังมีไฮโดรเจนที่ละลายอยู่ก่อนหน้านั้นหลงเหลืออยู่
ดังนั้นในขณะนี้แม้ว่าการปั่นกวนจะยุติแล้ว
แต่ปฏิกิริยาจะยังคงไม่ยุติ
โดยจะยังคงดำเนินไปข้างหน้าอยู่โดยอาศัยไฮโดรเจนที่ยังหลงเหลืออยู่ในของเหลว
การหยุดปฏิกิริยาตรงนี้อาจกระทำได้โดยอาศัยวิธีการต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน
(เท่าที่ผมคิดออกขณะนี้)
(ก)
การลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับอุณหภูมิที่ปฏิกิริยาไม่เกิด
(ข)
การลดความดันของระบบเพื่อให้ไฮโดรเจนที่ละลายอยู่ในเฟสของเหลวนั้นระเหยออก
(ค)
การเติมสารบางชนิดที่สามารถทำลายความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยา
วิธีการที่เขาเลือกใช้คือการใช้
ice
bath ลดอุณหภูมิระบบ
แต่ประเด็นที่เป็นคำถามของผมที่ถามเขาก็คือเขาเคยทำการทดลองที่อุณหภูมิของ
ice
bath ไหมว่าปฏิกิริยามันไม่เกิดขึ้นจริง
ที่ผมถามเขาคำถามนี้เป็นเพราะแม้ว่าเขาทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิห้อง
แต่ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้เร็วมาก
(conversion
100% ในเวลาไม่นาน)
และเท่าที่เคยเห็นนั้นปฏิกิริยาประเภทนี้ก็สามารถเกิดได้ที่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง
แม้แต่กระบวนการทำนองเดียวกันที่มีการจดสิทธิบัตรไว้
(ที่ค้นเจอ)
ก็ยังอ้างว่าอุณหภูมิต่ำสุดที่เหมาะแก่การทำปฏิกิริยาคือช่วงตั้งแต่
10ºC
ขึ้นไป
(แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าปฏิกิริยาเริ่มเกิดที่อุณหภูมิ
10ºC
แต่หมายความว่าถ้าจะเอากระบวนการของเขาไปใช้ควรใช้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า
10ºC)
ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้มีข้อสงสัยว่าที่อุณหภูมิ
0ºC
นั้น
(อุณหภูมิของ
ice
bath) ปฏิกิริยาหยุดเกิดจริงหรือ
หลังจากนั้นแล้วอุณหภูมิของของเหลวใน
reactor
ของเขาเป็นอย่างไร
และในช่วงระหว่างเวลาดังกล่าวจนถึงเวลาขณะที่เขาทำการแยกตัวเร่งปฏิกิริยาออกจากตัวอย่างนั้น
ปฏิกิริยายังดำเนินอยู่หรือเปล่า
ตรงนี้ผมคิดว่าถ้าเขาทำเพียงแค่ลดอุณหภูมิให้เย็นลงและปิด
magnetic
stirrer โดยคาดหวังว่าเมื่อปิด
magnetic
stirrer แล้วปฏิกิริยาจะหยุด
โดยที่ไม่รักษาอุณหภูมิระบบให้คงอยู่ที่ระดับต่ำตลอดเวลานั้น
เป็นไปได้ที่ปฏิกิริยายังคงดำเนินอยู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่มีการปั่นกวน
โดยอาศัยไฮโดรเจนที่ยังคงค้างอยู่ในไฮโดรคาร์บอนนั้น
และนั่นคือคำอธิบายว่าทำไมผมจึงกล่าวกับเขาด้วยประโยคข้างต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น