"คุณพอจะอธิบายได้ไหมว่าปฏิกิริยานี้มันเป็นไปตามกลไก
Langmuir-Hinshelwood
mechanism ได้อย่างไร"
"พฤติกรรมของสมการ
Langmuir-Hinshelwood
mechanism เป็นอย่างไร
คุณพอทราบไหม"
และยังมีอีกหลายคำถามที่ผมถามนิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่งในระหว่างวิชาสัมมนาป.เอก
เมื่อนิสิตผู้นั้นนำเสนอสมการ
(ที่นำมาจาก
paper
ตีพิมพ์)
ที่เขาคิดจะนำมาใช้ในการสร้างแบบจำลองของเขา
แต่ด้วยการที่เขาไม่เข้าใจคำถามผม
(คือดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าคำว่า
"Langmuir-Hinshelwood"
ที่บทความที่เขาอ้างอิงนั้นกล่าวถึงคืออะไร)
ทำให้รู้สึกว่าเขามีปัญหาเรื่องความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมีบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์
ก็เลยแนะนำให้ศึกษาพื้นฐานเพิ่มเติม
ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์
naphthalene
และ
o-xyleneไปเป็น
phthalic
anhydride มีการศึกษากลไกการเกิดปฏิกิริยามานานแล้ว
(รูปที่
๑)
ในปีค.ศ.
๑๙๕๔
(พ.ศ.
๒๔๙๗)
Mars และ
van
Krevelen ได้นำเสนอแบบจำลองที่ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม
"REDOX
mechanism" ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวประกอบด้วยขั้นตอนสองขั้นตอน
โดยขั้นตอนแรกเป็นการที่ไฮโดรคาร์บอนนั้นไปดึงเอา
lattice
oxygen ออกจากพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
(ที่เป็นสารประกอบโลหะออกไซด์)
ทำให้ไฮโดรคาร์บอนเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์
ส่วนตัวเร่งปฏิกิริยานั้นถูกรีดิวซ์
จากนั้นโมเลกุลออกซิเจนจากเฟสแก๊สจะทำการออกซิไดซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ถูกรีดิวซ์ไปนั้นให้กลับคืนสู่เลขออกซิเดชันเดิม
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ว่าโดยภาพรวมนั้นเป็นปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรคาร์บอนกับออกซิเจนที่ป้อนเข้าไปในระบบ
แต่ในความเป็นจริงนั้นสารทั้งสองไม่ได้ทำปฏิกิริยากันโดยตรง
แบบจำลองของ
Mars
และ
van
Krevelen นี้ได้รับการทดลองยืนยันจากหลายกลุ่มวิจัย
ไม่ว่าจะเป็นการทดลองในระบบที่ไม่มีการป้อนออกซิเจน
หรือการใช้ออกซิเจนไอโซโทปติดตามการเกิดปฏิกิริยา
จากรูปแบบสมการทางคณิตศาสตร์ของแบบจำลองนี้
(เนื่องจากปฏิกิริยามันจะเกิดในสภาวะที่มีออกซิเจนมากเกินพออยู่มาก
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด
explosive
mixture) เมื่อเพิ่มความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนขึ้นเรื่อย
ๆ อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มเร็วในช่วงแรก
จากนั้นจะเพิ่มด้วยอัตราที่ช้าลงและเข้าสู่
"ค่าคงที่ค่าหนึ่ง"
ซึ่งเป็นพฤติกรรมแบบเดียวกันกับ
Langmuir
mechanism
รูปที่
๒ บทความของ Calderbank
และคณะที่ได้นำเสนอเส้นทางการเกิดปฏิกิริยาและค่าคงที่ต่าง
ๆ สำหรับแต่ละเส้นทาง
โดยอิงจากแบบจำลอง REDOX
mechanism
ขั้นตอนการเปลี่ยนไฮโดรคาร์บอนไปเป็น
phthalic
anhydride นั้นประกอบด้วยขั้นตอนย่อยหลายขั้นตอน
ดังนั้นกว่าที่จะหาค่า
kinetic
parameter ในแต่ละขั้นตอนได้
ก็ต้องรอกันกว่า ๒๐ ปี
(เพราะต้องหาให้ได้ก่อนว่าปฏิกิริยาน่าจะเกิดผ่านเส้นทางไหนบ้าง)
แบบจำลองและเส้นทางการเกิดปฏิกิริยาของการออกซิไดซ์
o-xylene
ไปเป็น
phtahlic
anhydride
แบบจำลองหนึ่งที่มีการนำมาใช้กันแพร่หลายในหลายงานวิจัยเห็นจะได้แก่ของ
Calderbank
และคณะ
(ที่มีการนำเสนอในปีค.ศ.
๑๙๗๔
(พ.ศ
๒๕๑๗)
ก่อนจะมีการตีพิมพ์เป็นบทความในวารสารในปีค.ศ.
๑๙๗๗
(พ.ศ
๒๕๒๐)
- รูปที่
๒)
แบบจำลองของ
Calderbank
และคณะใช้การได้ดีในกรณีที่ความเข้นข้นของไฮโดรคาร์บอนนั้นไม่สูงมาก
แต่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนให้สูงมากขึ้นกลับพบว่า
อัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นมีแนวโน้ม
"ลดต่ำลง"
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวขัดกับสิ่งที่
REDOX
mechanism ทำนายไว้
ดังนั้นในปีค.ศ.
๑๙๘๕
(พ.ศ.
๒๕๒๘)
Skzypek และคณะ
(รูปที่
๓)
จึงได้นำเสนอแบบจำลองการเกิดปฏิกิริยาใหม่
(โดยมีเส้นทางการเกิดปฏิกิริยาทำนองเดียวกันกับของ
Calderbank
และคณะ)
โดยอิงจากกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบ
Langmuir-Hinshelwood
mechanism
กล่าวคือปฏิกิริยานั้นเกิดขึ้นโดยตรงระหว่างไฮโดรคาร์บอนที่พื้นผิวดูดซับเอาและโมเลกุลออกซิเจนที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้
โดยไม่เกี่ยวข้องกับ lattice
oxygen ของตัวเร่งปฏิกิริยา
และได้รายงานว่าแบบจำลองที่อิงจากกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบ
Langmuir-Hinshelwood
mechanism นี้ไม่เพียงแต่เข้ากับข้อมูลผลการทดลองได้ดีกว่าแบบจำลองของ
Calderbank
และคณะ
แต่ยังสามารถทำนายการลดลงของอัตราการเกิดปฏิกิริยาเมื่อความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนเพิ่มสูงขึ้นได้ด้วย
แต่แบบจำลองของ
Skzypek
และคณะ
กลับไม่ได้รับความนิยม
เมื่อเราสร้างแบบจำลองสมการคณิตศาสตร์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
x
และ
y
แล้วเราอยากรู้ว่าแบบจำลองนั้นใช้งานได้ดีเพียงใด
สิ่งที่ทำกันก็คือการหาผลรวมระยะห่างระหว่างข้อมูลที่ได้จากการวัดจริงกับค่าที่แบบจำลองทำนาย
ซึ่งมีการนำเสนอกันในรูป
Coefficent
of Determination หรือค่า
R2
(R-squared) โดยค่า
R2
นี้จะอยู่ระหว่าง
0
ถึง
1
แบบจำลองใดให้ค่า
R2
เท่ากับ
1
ก็หมายความว่าแบบจำนองของเรานั้นทำนายค่าได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีความคลาดเคลื่อน
และแบบจำลองใดที่ให้ค่า
R2
ต่ำกว่าก็แสดงว่าเป็นแบบจำลองที่ให้การทำนายค่าที่มีความคลาดเคลื่อนสูงขึ้น
ทีนี้สมมุติว่าเรามีจุดข้อมูลอยู่
3
จุด
และมีการนำเสนอสมการความสัมพันธ์ในรูปของสมการฟังก์ชันพหุนามกำลังสองในรูป
y
= a0 + a1x + a2x2
และฟังก์ชันสมการเลขชี้กำลังในรูป
y
= ae(b/x)
และเมื่อนำเอาสมการทั้งสองไปทดสอบก็จะพบว่าฟังก์ชันพหุนามกำลังสองให้ค่า
R2
= 1 (ทำนายค่าได้ถูกต้องทุกจุด)
ในขณะที่ฟังก์ชันเลขชี้กำลังนั้นให้การทำนายที่คลาดเคลื่อนทุกจุด
(R2
< 1) ซึ่งถ้าว่ากันตามค่า
ที่ได้
เราก็จะบอกว่าฟังก์ชันที่เหมาะสมกับข้อมูลที่มีคือฟังก์ชันพหุนามกำลังสอง
รูปที่
๓ บทความของ Skrzypek
และคณะ
ที่หาค่าพารามิเตอร์การเกิดปฏิกิริยาของเส้นทางต่าง
ๆ โดยอิงจากแบบจำลอง
Langmuir-Hinshelwood
แต่ถ้าหากข้อมูลที่มีนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ
(ตัวแปร
x)
กับอัตราการเกิดปฏิกิริยา
(ตัวแปร
y)
ข้อสรุปที่ได้จะกลับกัน
คือฟังก์ชันที่เหมาะสมคือฟังก์ชันเลขชี้กำลัง
เพราะเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและอัตราการเกิดปฏิกิริยามีความสัมพันธ์ในรูปแบบดังกล่าว
ดังนั้นแม้ว่าฟังก์ชันชี้กำลังนั้นจะให้ค่า
R2
ที่ต่ำกว่าในช่วงข้อมูลที่มีอยู่
แต่มันสามารถนำไปใช้งานในช่วงนอกเหนือช่วงข้อมูลที่มีอยู่ได้
ในขณะที่สมการฟังก์ชันพหุนามกำลังสองนั้นแม้ว่าจะให้ค่า
R2
ที่สูงถึง
1
ในช่วงข้อมูลที่มีอยู่
แต่ไม่ควรนำไปใช้นอกช่วงข้อมูลที่มี
(คือถ้าจะใช้ประมาณค่า
y
ณ
จุด x
อื่นในช่วงข้อมูลที่มีอยู่ก็ยังยอมรับได้)
เพราะพฤติกรรมของฟังก์ชันนั้นแตกต่างกันแบบคนละเรื่องเลย
จุดแข็งของ
REDOX
mechanism
นั้นอยู่ตรงที่มันมีผลการทดลองการวิเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยาและการติดตามการเกิดปฏิกิริยาว่ามันเกิดขึ้นตามนั้นจริง
ดังนั้นการอธิบายว่าทำไมผลการทดลองจึงให้ค่าการเกิดปฏิกิริยาที่ลดต่ำลงเมื่อเพิ่มความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนให้สูงขึ้น
ซึ่งตรงจุดนี้ก็มีการค้นพบว่าที่ความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนสูงขึ้นนั้นมันมีอีกปฏิกิริยาหนึ่งเกิดแทรกขึ้นมา
นั่นคือการเกิด coking
ที่ทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาเสื่อมสภาพ
ก็เลยทำให้เห็นอัตราการเกิดปฏิกิริยาลดลง
กล่าวคือในสภาวะที่มีความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนต่ำนั้น
ออกซิเจนที่มีอยู่มากในเฟสแก๊สสามารถกำจัด
coke
ที่เกิดขึ้นออกไปได้ทันเวลา
แต่เมื่อความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนสูงขึ้น
ตัวเร่งปฏิกิริยาไม่สามารถกำจัด
coke
ออกไปได้ทัน
ทำให้เกิดการสะสมของ coke
(ตัวเร่งปฏิกิริยากลุ่มนี้เป็นแบบ
selective
oxidation คือไม่ต้องการให้เกิดการออกซิไดซ์สารอินทรีย์ไปเป็น
CO2
เพราะจะทำให้สูญเสียสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีความสามารถนี้อยู่บางส่วน
แต่ไม่มาก)
ที่ไม่เห็นความว่องไวในการทำปฏิกิริยาลดต่ำลงตลอดเวลาก็เพราะมันมีสมดุลระหว่างอัตราการเกิดกับอัตราการทำลายอยู่
ปฏิกิริยาที่นิสิตปริญญาเอกผู้นั้นนำเสนอเป็นปฏิกิริยา
dehydrogenation
ในเฟสแก๊สที่ผันกลับได้ที่มีสารตั้งต้นเพียงแค่โมเลกุลเดียว
(A <--> B + C)
โดยเขาจะเลือกใช้สมการรูปแบบการเกิดปฏิกิริยาของบทความหนึ่งที่กล่าวว่ากลไกการเกิดเป็นแบบ
Langmuir-Hinshenwood
mechanism นี่ก็เลยเป็นที่มาของคำถามที่ผมถามเขา
ที่เขาเลือกบทความนี้เพราะเขาเห็นว่าบทความกล่าวว่าแบบจำลองที่บทความนำเสนอนั้นให้ค่า
R2
เข้าใกล้
1
แต่ผมก็ได้เตือนเขาไปว่า
"ก่อนที่จะดูว่าแบบจำลองนั้นเข้ากับผลการทดลองได้ดีแค่ไหน
ควรที่จะพิจารณาก่อนว่ามันอิงอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหรือเปล่า"
เพราะรูปแบบสมการที่อิงจากพื้นฐานความเป็นจริงที่ไม่ถูกต้องนั้น
แม้ว่ามันจะเข้าได้ดีกับข้อมูลในช่วงหนึ่ง
แต่มันไม่ควรที่จะนำไปใช้ในการทำนายสิ่งที่อยู่นอกช่วงข้อมูลที่นำมาสร้างสมการ
-->
<--> -->
ดังเช่นตัวอย่างที่แสดงในรูปที่
๔ ข้างล่าง
ที่ในบริเวณกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียวนั้นสมการกำลังสอง
(เส้นสีแดง)
อาจประมาณค่าความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ดี
แต่พฤติกรรมของฟังก์ชันสมการกำลังสองนอกช่วงดังกล่าวไม่เข้ากับความเป็นจริง
เพราะมันจะทำนายว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อย
ๆ เมื่ออุณหภูมิการทำปฏิกิริยาสูงขึ้น
หรืออัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นได้อีกเมื่อลดอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา
ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ตรงกับสิ่งที่พบเห็นกันทั่วไป
(เส้นสีน้ำเงิน)
รูปที่
๔ ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา
การใช้ฟังก์ชันที่ไม่ถูกต้องเช่นสมการกำลังสอง
(เส้นสีแดง)
แม้ว่าจะทำนายค่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ดีในช่วงกรอบสีเขียว
แต่จะทำนายพฤติกรรมผิดไปเมื่อนำไปใช้ในการทำนายค่าช่วงอุณหภูมิที่อยู่นอกช่วงข้อมูลที่นำมาใช้สร้างสมการได้
ที่พฤติกรรมจะเป็นไปตามฟังก์ชัน
exp(-Ea/RT)
(เส้นสีน้ำเงิน)
หมายเหตุ
:
เรื่องเกี่ยวกับค่า
R2
ที่หลอกตาได้นี้เคยเล่าไว้บ้างแล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๖๓ วันอาทิตย์ที่
๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "ตัวเลขมันสวย แต่เชื่อไม่ได้"
ปีที่
๘ ฉบับที่ ๑๐๗๖ วันพฤหัสบดีที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง
"ปฏิกิริยาอันดับ ๑ หรือปฏิกิริยาอันดับ ๒"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น