ใน
Memoir
ฉบับที่แล้วได้กล่าวถึงรูปแบบหนึ่งของระบบไฟฟ้าสำรองของโรงงาน
ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจหน่อยว่าแต่ละโรงงานไม่จำเป็นต้องมีระบบที่เหมือนกัน
และเช่นกันในกรณีของ Memoir
ฉบับนี้ที่จะยกตัวอย่างรูปแบบการทำงานของโรงงานแห่งหนึ่งขึ้นมา
เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการยกประเด็นต่าง
ๆ ขึ้นมาพิจารณา
(ซึ่งคงจะยกประเด็นตัวอย่างขึ้นมาไม่ได้ทั้งหมด
แต่จะพยายามยกขึ้นมาให้ให้มากที่สุดเท่าที่จะคิดออก)
ในการวางแผนการรับมือเหตุการณ์ไฟฟ้าดับโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
รูปที่
๑
ข้างบนเป็นแผนผังอย่างง่ายที่ผมสรุปขึ้นมาเองของความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่าง
ๆ ของโรงงานที่จะยกขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่าง
โดยโรงงานนี้ประกอบด้วย
(ก)
อาคารสำนักงาน
เป็นอาคารสำหรับงานธุรการ
งานเอกสารทั่วไป
ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต
(ข)
อาคารผลิต
เป็นอาคารตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่นำเข้าสู่กระบวนการผลิต
อาคารนี้มีทั้งส่วนที่ทำหน้าที่เก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์
(ที่ต้องมีการแช่เย็นตลอดเวลา)
และส่วนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นผลิตภัณฑ์
(ค)
อาคารสาธารณูปโภค
เป็นอาคารที่ทำหน้าที่ผลิตสาธารณูปโภคต่าง
ๆ (น้ำบริสุทธิ์
ไอน้ำ ระบบทำความเย็น ฯลฯ)
ให้กับอาคารผลิตและหน่วย
recycle
ตัวทำละลาย
และยังเป็นอาคารที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับส่วนต่าง
ๆ ของโรงงาน และยังเป็นที่ตั้งของ
switch
gear (อุปกรณ์ตัดต่อไฟฟ้าที่จ่ายไปยังอุปกรณ์ตัวอื่นในโรงงาน)
(ง)
หน่วย
recycle
ตัวทำละลาย
หน่วยนี้เป็นหน่วยกลั่นที่ทำหน้าที่ปรับปรุงคุณภาพตัวทำละลายใหม่ที่ซื้อเข้ามาและตัวทำละลายที่ผ่านการใช้งานแล้วให้บริสุทธิ์
เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะนำไปใช้งานใหม่ต่อไป
มุมมองที่จะใช้พิจารณาในที่นี้จะยึดเอามุมมองโดยสมมุติว่าผมเป็นบุคลากรฝ่ายผลิต
คือทำหน้าที่ใช้งานเครื่องจักร
อุปกรณ์และสาธารณูปโภคต่าง
ๆ ทำการเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์
ในโรงงานที่ผมมีโอกาสไปเยี่ยมชมนี้
บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตประกอบด้วยวิศวกรสาขาต่าง
ๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลระบบสาธารณูปโภค
และนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์การผลิตเพื่อเปลี่ยนวัตถุดิบให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์
เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการทำงานก็พอจะแบ่งการทำงานของโรงงานออกเป็น
๓ ส่วนคือ
ส่วนที่
๑ ระบบสาธารณูปโภค ได้แก่
น้ำ ไอน้ำ ไฟฟ้า ระบบทำความเย็น
ฯลฯ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง
๒๔ ชั่วโมง
ระบบนี้จะมีการเดินเครื่องเต็มที่ในช่วงเวลากลางวันซึ่งเป็นเวลาที่ฝ่ายผลิตและระบบ
recycle
ตัวทำละลายมีการทำงาน
และลดการทำงานในช่วงเย็นไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
เพื่อจ่ายสาธารณูปโภคเลี้ยงบางระบบที่ต้องมีการเดินเครื่องตลอดเวลา
(เช่นห้องเย็นที่ใช้เก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์)
หรือเพื่อประหยัดเวลาในการนำระบบเข้าสู่การเดินเครื่องเต็มกำลัง
(เช่นระบบไอน้ำที่จะอุ่นท่อให้ร้อนพร้อมการใช้งานตลอดเวลา)
ส่วนที่
๒ ระบบ recycle
ตัวทำละลายและทำให้ตัวทำละลายบริสุทธิ์
ที่ทำงานเพียงบางวัน วันละ
๘-๑๐
ชั่วโมง ระบบนี้มีรูปแบบการทำงานเป็นการกลั่นแบบ
batch
คือเมื่อได้ตัวทำละลายปริมาณที่มากพอ
ก็จะเดินเครื่องกลั่นครั้งนึง
ส่วนที่
๓ ฝ่ายผลิตที่ทำหน้าที่เปลี่ยนวัตถุดิบให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์
ฝ่ายนี้ประกอบด้วยเครื่องจักรต่าง
ๆ วางเรียงลำดับการทำงาน
ลักษณะการทำงานเป็นแบบ batch
ทำงานวันละ
๘-๑๐
ชั่วโมง โดยเริ่มจากการรับวัตถุดิบเข้าสู่ขั้นตอนที่
๑ ในช่วงเช้า เมื่อเสร็จสิ้นจากขั้นตอนที่
๑ แล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนที่
๒ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการในขั้นตอนที่
๒ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ ๓
ต่อไป เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย
ๆ จนกว่าจะไปถึงขั้นตอนสุดท้ายในช่วงเย็น
ขั้นตอนไหนเสร็จสิ้นแล้วก็จะหยุดการทำงาน
ดังนั้นอุปกรณ์บางตัวของฝ่ายผลิตนี้จึงอาจทำงานเพียงแค่ในช่วงเช้า
บางตัวใช้งานเฉพาะช่วงกลางวัน
และบางตัวก็ทำงานเฉพาะในช่วงเย็น
อุปกรณ์บางชิ้นอาจถูกปิดการทำงานไปเลยเมื่อเสร็จสิ้นการใช้งาน
ในขณะที่อุปกรณ์บางชิ้นจะถูกตั้งให้เข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อม
(standby)
คือมีการอุ่นเครื่องหรือเปิดระบบบางระบบทิ้งเอาไว้
ทั้งนี้เพื่อการป้องกันและ/หรือลดเวลาที่ต้องใช้ในการนำอุปกรณ์เข้าสู่สภาวะที่พร้อมจะทำงานใหม่
(เช่นระบบที่ต้องมีการอุ่นให้ร้อน
การทำให้อุปกรณ์ที่เย็นจนมีอุณหภูมิได้ที่นั้นต้องใช้เวลา
เพราะต้องค่อย ๆ ทำให้ร้อนขึ้นอย่างช้า
ๆ
ดังนั้นอุปกรณ์ประเภทนี้เมื่อไม่มีการใช้งานจึงมักเปิดระบบอุ่นให้ร้อนเอาไว้ตลอดเวลา
เพื่อที่ว่าเมื่อจะเริ่มการทำงานใหม่จะได้ไม่เสียเวลาในการอุ่นอุปกรณ์ให้ร้อนขึ้นมาอีก)
ฝ่ายผลิตนี้ยังครอบคลุมไปถึงห้องเย็นสำหรับเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ด้วย
ที่จำเป็นต้องมีการแช่เย็นที่อุณหภูมิที่อยู่ในช่วงแคบ
ๆ ที่กำหนดไว้
ไฟฟ้าที่จ่ายให้กับโรงงานนั้นจะเป็นไฟ
๓ เฟส อุปกรณ์ไฟฟ้าเช่นมอเตอร์ตั้งแต่
๑ แรงม้าขึ้นไปก็มักจะใช้ไฟ
๓ เฟส แต่ถ้าเป็นขนาดเล็กกว่า
๑ แรงม้าก็มักจะใช้ไฟเฟสเดียว
ดังนั้นเหตุการณ์ไฟฟ้าดับนั้นเราอาจจะแยกออกได้เป็น
(ก)
ไฟฟ้าขาดหายไปทุกเฟส
ในกรณีเช่นนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ว่าดึงไฟฟ้าจากเฟสไหนก็ตามจะไม่สามารถทำงานได้
(ข)
ไฟฟ้าขาดหายไฟเพียงบางเฟส
เช่นหายไป ๑ เฟส แต่ยังเหลืออยู่
๒ เฟส
ในกรณีนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้าเฟสเดียวที่ดึงไฟฟ้าจากเฟสที่ยังมีไฟอยู่จะไม่กระทบ
แต่อุปกรณ์ที่ดึงไฟฟ้าจากเฟสที่ขาดหายไปจะไม่ทำงาน
ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟ
๓ เฟสนั้นจะยังทำงานได้โดยจะไปดึงกระแสเพิ่มขึ้นจาก
๒ เฟสที่เหลือ
แต่จะทำให้อุปกรณ์เสียหายได้เพราะกระแสที่ดึงเพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดความร้อนสูงขึ้นมาก
(ความร้อนที่เกิดขึ้นแปรผันตามปริมาณกระแสไฟฟ้ายกำลังสอง)
ด้วยเหตุนี้การออกแบบการทำงานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า
๓
เฟสจึงมักจะตัดการทำงานอุปกรณ์ดังกล่าวเวลาที่มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับไปบางเฟส
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับตัวอุปกรณ์และ/หรือสายไฟฟ้า
แต่ทั้งนี้ก็ควรตรวจสอบกับการออกแบบของทางโรงงานด้วยว่าถ้ามีเหตุการณ์ไฟฟ้าหายไปเพียงบางเฟส
ระบบป้องกันจะทำงานอย่างใด
อาคารที่ทำงานของผมเคยมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าดับหายไป
๑ เฟส ตัวอาคารนั้นในแต่ละชั้นจะมีเครื่องปรับอากาศส่วนกลาง
๔ เครื่องจ่ายลมเย็นให้กับมุมต่าง
ๆ ของอาคาร การควบคุมการเปิด-ปิดเป็นอิสระต่อกัน
ในวันเกิดเหตุนั้นไฟฟ้าขาดหายไป
๑ เฟส แต่เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานอยู่โดยดึงกระแสจากอีก
๒ เฟสที่เหลือเข้ามาชดเชย
เป็นผลให้ทั้งสายไฟและมอเตอร์ร้อนขึ้นเรื่อย
ๆ
ช่างไฟฟ้าประจำอาคารเองนั้นเมื่อทราบเรื่องก็พยายามแจ้งให้หยุดการทำงานของเครื่องปรับอากาศทั้งอาคาร
(อาคาร
๒๐ ชั้น)
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทันการ
มีเครื่องปรับอากาศเสียหาย
(ไหม้)
ไปหลายเครื่อง
เหตุการณ์ไฟฟ้าดับโดยไม่แจ้งล่วงหน้าในบ้านเราก็เคยเจออยู่หลายแบบ
มีทั้งดับหายไปนานเลย
ดับหายไปเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็กลับมาใหม่
และดับแบบที่ขอเรียกว่าแบบกระพริบเพราะมันดับหายไปแล้วก็ติดกลับขึ้นมาใหม่
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตามก็ดูเหมือนว่าสำหรับอุปกรณ์โรงงานจำนวนไม่น้อย
สวิตช์ควบคุมการทำงานจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ตำแหน่งปิดเครื่องและผู้ปฏิบัติงานต้องทำการเริ่มเดินเครื่องใหม่ด้วยตนเอง
สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับนั้น
เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอุปกรณ์หรือระบบการผลิต
และสิ่งที่ควรต้องลงมือปฏิบัตินั้นมีอะไรบ้าง
ก่อนที่จะเริ่มการเดินเครื่องใหม่เมื่อมีกระแสไฟฟ้าจ่ายกลับเข้ามาใหม่
(ไม่ว่าจะเป็นจากแหล่งจ่ายภายนอกหรือจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง)
เรามาลองพิจารณาโดยเริ่มด้วยกรณีของปั๊มหอยโข่ง
(centrifugal
pump) ที่สูบของเหลวจากที่ต่ำส่งไปยังที่สูง
หรือจากระบบความดันต่ำอัดเข้าถังระบบความดันสูง
(เช่นปั๊มน้ำที่สูบน้ำจากถังเก็บจ่ายให้กับหม้อน้ำ)
ในขณะที่ปั๊มยังทำงานนั้นจะสามารถส่งของเหลวจากระบบความดันต่ำไปยังระบบความดันสูงได้
แต่เมื่อไฟฟ้าดับ ปั๊มจะหยุดการทำงาน
ของเหลวจากด้านความดันสูงจะไหลย้อนกลับมาทางด้านความดันต่ำผ่านทางตัวปั๊มได้
ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะป้องกันอันตรายที่เกิดจากการไหลย้อนทางของ
พวกปั๊มหอยโข่งจึงถึงต้องมีวาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(check
valve) ติดตั้งไว้ทางด้านขาออกของปั๊ม
เพื่อป้องกันของเหลวด้านความดันสูงไหลย้อนกลับมาทางด้านความดันต่ำเมื่อไฟฟ้าดับด้วย
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถยึดถือได้เลยว่าการมีวาล์วกันการไหลย้อนกลับดังกล่าวทำให้เราไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับตัวปั๊มนั้น
เพราะการไหลย้อนกลับยังมี
"โอกาส"
เกิดขึ้นได้จากการทำงานที่ผิดพลาดของวาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(เช่นค้างอยู่ในตำแหน่งเปิด
หรือปิดไม่สนิท)
วาล์วกันการไหลย้อนกลับทำหน้าที่เพียงแค่ป้องกันไม่ให้เกิดการไหลย้อนกลับในปริมาณมากอย่างกระทันหัน
เพียงแค่ให้เรามีเวลาเดินไปปิดวาล์วด้านขาออก
(discharge
valve) ของปั๊มหอยโข่งตัวดังกล่าวแค่นั้นเอง
กรณีถัดไปลองพิจารณาระบบที่ใช้น้ำหล่อเย็นที่ผลิตจาก
cooling
tower น้ำหล่อเย็นจาก
cooling
tower จะถูกส่งไปตามท่อไปยังอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่ต้องการการระบายความร้อน
เมื่อไฟฟ้าดับ
ปั๊มน้ำหล่อเย็นก็จะหยุดการทำงาน
ทำให้ไม่มีน้ำหล่อเย็นไหลเข้าระบบ
แต่การให้ความร้อนแก่ระบบอาจจะยังคงอยู่
เช่นเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ควบแน่นการระเหยของไอ
ไอที่ระเหยออกมาจากของเหลวที่เดือดจะยังไหลเข้าระบบอยู่ได้
ในกรณีเช่นนี้ก็ต้องมาพิจารณาว่าถ้าหากขาดการหล่อเย็นจะเกิดอะไรขึ้น
และควรต้องปฏิบัติอย่างไร
อุปกรณ์ที่เป็นเครื่องจักรที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไปเมื่อเกิดไฟดับในขณะทำงาน
เพื่อให้เห็นภาพตรงนี้ขอให้ลองนึกสภาพเครื่องใช้ต่าง
ๆ ที่เราคุ้นเคยกันทั่วไป
เช่น เครื่องซักผ้าฝาบน
เครื่องซักผ้าฝาหน้า
เครื่องพิมพ์เลเซอร์
เครื่องถ่ายเอกสาร เตาไมโครเวฟ
ฯลฯ
เครื่องพิมพ์เลเซอร์หรือเครื่องถ่ายเอกสารนั้นถ้าเกิดไฟฟ้าดับขณะที่กำลังดำเนินการพิมพ์/ถ่ายเอกสารอยู่
เมื่อไฟฟ้ากลับมาใหม่เครื่องก็จะไม่ทำงานต่อจากเดิม
จำเป็นต้องเอากระดาษที่ติดค้างอยู่ออกจากเครื่องก่อน
(กระดาษที่นำออกมานั้นก็เสียไปเลย)
และต้องสั่งงานพิมพ์หรือถ่ายเอกสารใหม่
ในขณะที่เตาไมโครเวฟนั้น
ถ้าเป็นแบบปุ่มหมุนเลือกระดับ
(ระดับพลังงานและการตั้งเวลา)
พอไฟฟ้ากลับคืนมาก็จะเริ่มทำงานต่อจากตำแหน่งสุดท้ายก่อนไฟฟ้าดับได้
(เพราะปุ่มมันค้างอยู่ที่เดิม)
แต่ถ้าเป็นแบบที่ใช้จออิเล็กทรอนิกส์ตั้งระดับพลังงานและตั้งเวลา
พอไฟฟ้ากลับมาก็ต้องกลับมาตั้งโปรแกรมเริ่มต้นการทำงานใหม่
(เพราะโปรแกรมมัน
reset
ตัวเอง)
เครื่องซักผ้าฝาบนกับเครื่องซักผ้าฝาหน้าแม้ว่าจะออกแบบมาเพื่อใช้ในการซักผ้าเหมือนกัน
แต่มันก็มีสิ่งที่ไม่เหมือนกัน
ในกรณีของเครื่องซักผ้าฝาบน
การปิด-เปิดฝาเครื่องจะมี
interlock
อยู่กับระบบการปั่น
กล่าวคือเครื่องจะไม่ปั่นผ้าถ้าฝาปิดไม่สนิท
และจะตัดการปั่นผ้าถ้ามีการเปิดฝาในขณะที่เครื่องกำลังปั่นผ้าอยู่
แต่ไม่มี interlock
กับการมี/ไม่มีน้ำอยู่ในเครื่อง
ดังนั้นถ้าหากไฟดับในขณะที่อยู่ระหว่างกระบวนการล้าง
(คือมีน้ำอยู่ในเครื่อง)
ก็สามารถที่จะเปิดฝาแล้วนำเอาผ้าในเครื่องออกมาได้
(จะเอาไฟซักมือต่อหรือจะเอาไปทำอะไรต่อก็ตามแต่)
ในขณะที่เครื่องซักผ้าฝาหน้านั้นจะไม่ยอมให้เปิดฝาถ้าหากมีน้ำอยู่ในเครื่อง
ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาไฟฟ้าดับในขณะที่อยู่ในระหว่างกระบวนการซักล้าง
(คือมีน้ำอยู่ในเครื่อง)
จะไม่สามารถเปิดฝาเพื่อเอาผ้าออกมาได้
อันนี้เป็นตัวอย่างที่ยกมาเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเดียวกัน
แต่การออกแบบตัวเครื่องนั้นแตกต่างกัน
ก็ไม่จำเป็นต้องมีวิธีการปฏิบัติที่เหมือนกันเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่มีสาเหตุเดียวกัน
ห้องทดลองหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับแล้วทำให้อุปกรณ์เสียหายเมื่อไฟฟ้ากลับคืนมา
กล่าวคือในห้องทดลองนั้นมีการใช้ปั๊มสุญญากาศหลายตัวที่ทำงานพร้อมกัน
โดยปั๊มสุญญากาศแต่ละตัวต่างไปดึงไฟจาก
stabilizer
ตัวเดียวกัน
ในการทำงานตามปรกตินั้นจะเริ่มด้วยการเปิดการทำงานของปั๊มสุญญากาศทีละตัวจนครบทุกตัว
ในวันเกิดเหตุนั้นเกิดปัญหาไฟฟ้าดับ
แต่ไม่มีใครไปปิดสวิตช์ปั๊มสุญญากาศ
พอมีกระแสไฟฟ้ากลับคืนมาใหม่
ปั๊มสุญญากาสทุกตัวก็เริ่มการทำงานพร้อมกัน
และเป็นเรื่องปรกติของมอเตอร์ไฟฟ้าที่จะดึงกระแสเข้ามากในขณะที่เริ่มการทำงานก่อนที่กระแสจะลดลง
การเปิดปั๊มให้ทำงานทีละตัวจะเป็นการดึงกระแสให้เพิ่มขึ้นทีละไม่มาก
แต่ถ้ามอเตอร์ทุกตัวเริ่มทำงานพร้อมกัน
จะเกิดกระแสไหลเข้าในปริมาณที่สูงมาก
ในกรณีนี้กระแสที่ดึงเข้ามานั้นมากเกินไป
ฟิวส์ทำงานไม่ทัน
ทำให้วงจรควบคุมเสีย
โรงงานที่ประกอบด้วยเครื่องจักรหลายชิ้นที่ทำหน้าที่ต่างกัน
โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเครื่องจักรหนึ่งนั้นจะถูกส่งไปยังอีกเครื่องจักรหนึ่ง
ดังนั้นเครื่องจักรจะทำงานได้ถ้าหากมีวัตถุดิบป้อนเข้ามาและมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เครื่องจักรนั้นผลิตได้ออกไป
ด้วยเหตุนี้สำหรับโรงงานเช่นนี้อีกเรื่องหนึ่งที่ควรต้องพิจารณาด้วยก็คือ
ลำดับการเริ่มเดินเครื่องของอุปกรณ์แต่ละตัวเมื่อกระแสไฟฟ้ากลับคืนมา
ว่าควรจะเริ่มด้วยการเริ่มต้นเดินเครื่องจักรเครื่องไหนก่อน
จากนั้นจึงค่อยตามด้วยเครื่องจักรเครื่องต่อไปเป็นลำดับ
ไม่ใช่ว่าเริ่มเดินเครื่องจักรทุกเครื่องพร้อมกันหมด
หน่วยผลิตที่ทำงานที่สภาวะคงที่
(ที่เรียกว่า
steady
state)
นั้นการเตรียมคู่มือปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับนั้นอาจจะง่ายกว่าหน่วยผลิตที่ทำงานแบบกะ
(ที่เรียกว่า
batch)
เพราะหน่วยผลิตที่ทำงานที่สภาวะคงที่นั้นมีรูปแบบการทำงานเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนของวัน
ในขณะที่เครื่องจักรที่ใช้ในการทำงานแบบกะนั้นรูปแบบการทำงานจะขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นอยู่ในขั้นตอนไหนของลำดับการทำงาน
(แบบกรณีของเครื่องซักผ้า)
ดังนั้นการเตรียมคู่มือปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับของเครื่องจักรที่ใช้ในการทำงานแบบกะจึงควรที่จะพยายามมองภาพให้ครอบคลุมทุกขั้นตอนของการทำงานด้วย
ที่เขียนมาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของแนวทางที่ควรมีการนำมาพิจารณาในการเตรียมคู่มือปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ได้มีภาพตัวอย่างให้มองเห็นบ้าง
โดยได้พยายามอิงจากอุปกรณ์ที่มีใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
แต่ผลสุดท้ายจะออกมาในรูปแบบใดนั้นก็คงขึ้นอยู่กับว่าแต่ละโรงงานนั้นมีการออกแบบระบบมาอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น