แม้ว่าโมเลกุลคาร์บอนไดออกไซด์
(carbon
dioxide CO2) จะมีอะตอม
O
ที่มีค่า
electronegativity
สูงมาเกาะถึง
2
อะตอม
แต่ด้วยการที่แรงที่อะตอม
O
ออกแรงดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอม
C
ในทิศทางตรงข้ามกัน
ทำให้โมเลกุล CO2
มีค่า
dipole
moment ที่เป็นศูนย์
และอะตอม C
เองยังมีความสามารถที่ต่ำในการดึงอิเล็กตรอนจาก
nulceophile
(กล่าวอีกอย่างก็คือ
CO2
เป็น
electrophile
ที่ไม่ดี)
ความว่องไวในการทำปฏิกิริยาของอะตอม
C
ของ
CO2
จึงต่ำมากเมื่อเทียบกับพวกที่มีอะตอม
O
มาเกาะเพียงอะตอมเดียวเช่นคาร์บอนมอนออกไซด์
(carbon
monoxide CO) หรือ
ฟอร์มัลดีไฮด์ (formaldehyde
H(CO)H) แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังมีการนำเอา
CO2
ทำปฏิกิริยาสร้างหมู่คาร์บอกซิล
(carboxyl
-COOH) ให้กับสารประกอบฟีนอล
(phenol
C6H5-OH) เพื่อสังเคราะห์สารประกอบ
monohydroxy
benzoic acid
เพียงแต่ต้องใช้ความดันสูงและอุณหภูมิสูงช่วยในการทำให้ปฏิกิริยาเกิด
(รูปที่
๑)
รูปที่
๑ ปฏิกิริยา Kolbe–Schmitt
reaction ที่ใช้ในการสังเคราะห์กรดซาลิซัยลิก
(salicylic
acid) ที่เป็นสารตั้งต้นของยาแอสไพริน
(aspirin)
จากฟีนอลและ
CO2
โดยใช้
NaOH
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาเกิดที่ความดันประมาณ
100
atm อุณหภูมิ
125ºC
(รูปภาพและเนื้อหาส่วนนี้นำมาจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Kolbe-Schmitt_reaction)
ในกรณีนี้
CO2
จะเข้าไปเกาะที่ตำแหน่ง
ortho
(คือข้างอะตอม
O
ของฟีนอล)
แต่ถ้าใช้
KOH
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
CO2
จะเข้าไปเกาะที่ตำแหน่ง
para
(คือตรงข้ามอะตอม
O
ของฟีนอล)
ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
4-hydroxy
benzoic acid แทน
ซึ่งคงเป็นผลจากการที่ไอออน
K+
มีขนาดใหญ่กว่า
Na+
จึงไปขวางไม่ให้
CO2
เข้าแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
ได้
ปฏิกิริยาระหว่าง
CO2
กับไฮโดรเจนที่เกิดเป็นแก๊สมีเทน
(methane
CH4) ที่อุณหภูมิสูง
(ประมาณ
300-400ºC)
โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย
(เช่นโลหะ
Ni)
ก็เป็นอีกปฏิกิริยาหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในชื่อ
Sabatier
reaction สมการรวมของปฏิกิริยานี้คือ
CO2
+ 4H2 →
CH4 + 2H2O
ปฏิกิริยานี้มีการคายความร้อนออกมา
165
kJ/mol ของมีเทนที่ผลิตได้
ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วใครสงสัยว่าทำไมปฏิกิริยาคายความร้อนจึงต้องใช้
"อุณหภูมิสูง"
ในการทำให้เกิด
แสดงว่ามีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องระหว่างค่าคงที่สมดุลกับการเกิดปฏิกิริยา
เพราะปฏิกิริยาจะ "เกิดได้หรือไม่"
นั้น
พลังงานกระตุ้นเป็นตัวกำหนด
ส่วน "ถ้าเกิดได้แล้ว"
จะไปข้างหน้าได้ไกลแค่ไหนนั้น
ค่าคงที่สมดุลเป็นตัวกำหนด
(หมายเหตุ
:
ค่า
enthalpy
of formation ∆Hf ที่
25ºCของ
CH4,
CO2 และ
H2O(g)
คือ
-74.87,
-393.5 และ
-241.82
kJ/mol ตามลำดับ)
อีกแนวทางหนึ่งในการเปลี่ยน
CO2
เป็นสารอินทรีย์ตัวอื่นได้แก่กระบวนการ
electro
reduction ที่รีดิวซ์โมเลกุล
CO2
ด้วยไฮโดรเจนที่ได้จากน้ำหรือสารอินทรีย์
(ไฮโดรเจนอาจมาในรูปของ
H+
ก็ได้)
ปฏิกิริยานี้ในขณะนี้ก็เริ่มมีการศึกษากันเพิ่มขึ้น
แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาระดับเชิงพาณิชย์ได้
การหาทางนำเอา
CO2
มาใช้เป็นสารตั้งต้นเพื่อสังเคราะห์สารอินทรีย์ตัวอื่น
ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อลดขั้นตอนการทำปฏิกิริยาให้ลดลงนั้นจัดว่าเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น
แต่ถ้าใช้เหตุผลว่าเพื่อต้องการ
"ลดโลกร้อน"
นั้นโดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าเป็นเหตุผลที่ยากที่จะรับ
เว้นแต่จะสามารถชี้แจงได้ว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการทำปฏิกิริยานั้นมาจากไหน
และไม่ทำให้เกิด CO2
หรือมลพิษตัวอื่นเพิ่มเติม
เช่นในปฏิกิริยา
Kolbe–Schmitt
reaction
นั้นแหล่งพลังงานที่จะใช้เพิ่มความดันให้กับระบบและเพิ่มอุณหภูมิให้สูงถึงระดับที่ปฏิกิริยาเกิดได้นั้นได้มาจากไหน
การได้มาซึ่งพลังงานเหล่านี้มีการปลดปล่อย
CO2
หรือไม่
และถ้ามีการปลดปล่อยจะสามารถพิสูจน์ได้ไหมว่า
CO2
ที่ปลดปล่อยนั้นน้อยกว่าที่นำมาใช้ทำปฏิกิริยา
ในกรณีของการเปลี่ยน CO2
ไปเป็น
CH4
นั้นนอกจากจะต้องตอบคำถามเรื่องที่มาของแหล่งพลังงานแล้ว
ยังต้องตอบด้วยว่าแก๊ส H2
ได้มาจากไหน
และการได้มาซึ่งแก๊ส H2
นั้นมีการปลดปล่อย
CO2
มากน้อยเพียงใด
และการทำดังกล่าวมีประโยชน์อย่างใดในเมื่อ
H2
มีราคาแพงกว่า
CH4
(คือเปลี่ยนของแพงให้กลายเป็นของถูกทำไม)
ในกรณีของกระบวนการ
electro
reduction ก็เช่นกัน
ประเด็นสำคัญคือแหล่งที่มาของกระแสไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการทำให้ปฏิกิริยาเกิดขึ้น
และในกรณีที่ใช้สารอินทรีย์เป็นตัวให้อะตอม
H
ก็ต้องชี้แจงด้วยว่าสารอินทรีย์เหล่านี้มีที่มาอย่างใด
เป็นสิ่งที่มีเองในธรรมชาติหรือจากกระบวนการผลิต
และการได้มาซึ่งสารอินทรีย์เหล่านั้นก่อเกิด
CO2
มากน้อยเพียงใด
การลดโลกร้อนด้วยการรณรงค์ให้หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ที่ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิด
CO2
นั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลกัน
(แต่ต้องไม่ลืมคิดด้วยว่าจะจัดการกับแบตเตอรี่ที่หมดสภาพและเป็นขณะพิษด้วยนั้นอย่างไร)
แต่ถ้าเป็นการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ที่ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น
แล้วอ้างว่าเป็นการช่วยลดการปลดปล่อย
CO2
นั้น
มันเป็นเพียงแค่การลดการปลดปล่อย
CO2
ในบริเวณที่มีการนำรถไฟฟ้าไปใช้งาน
แต่มันไปเพิ่มการปลดปล่อย
CO2
ณ
แหล่งผลิตไฟฟ้าเพราะมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
สรุปง่าย ๆ
ก็คือมันเป็นเพียงแค่การย้ายแหล่งปลดปล่อย
จากในเมืองให้ไปยังชุมชนรอบโรงไฟฟ้าแทน
นอกจากนี้ยังมีคำถามเรื่องช่วงเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์ตไฟ
เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในบ้านเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
ช่วงหัวค่ำกับกลางวัน
(ที่มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูง)
จะมีต้นทุนสูงกว่าช่วงดึกหรือหลังเที่ยงคืนมาก
(ที่มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าต่ำ)
ดังนั้นค่าชาร์จแบตควรขึ้นกับช่วงเวลาที่ทำการชาร์จด้วยหรือไม่
เพราะถ้าทุกคนหันมาชาร์จกันตอนหัวค่ำ
(แทนที่จะเป็นช่วงหลังเที่ยงคืน)
หรือตอนกลางวันที่มีการใช้ไฟฟ้าเยอะ
(เพราะอาคารพาณิชย์และที่ทำงานต่าง
ๆ เปิดเครื่องปรับอากาศกันมากเนื่องจากอากาศร้อน)
โรงไฟฟ้าที่มีอยู่นั้นจะสนองความต้องการได้หรือไม่
ฝากทิ้งท้ายไว้หน่อยคือ
ถ้าคิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
อย่าลืมถามนะครับว่าถ้าเปิดแอร์วิ่งในสภาพการจราจรติดขัดในเมือง
ที่อากาศร้อนทั้งกลางวันกลางคืน
(แถมกลางคือยังต้องเปิดไฟแสงสว่างอีก)
แถมบางทีติดอยู่บนทางด่วนเป็นชั่วโมง
ชาร์จแบตหนึ่งครั้งจะเดินทางได้จริงกี่กิโล
ผมเคยถามมาสองรายแล้ว
และก็ได้คำตอบที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าใดนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น