วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สิทธิในการรู้คะแนนสอบของผู้อื่น MO Memoir : Tuesday 4 July 2560

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับพุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้วางรากฐานที่สำคัญในการบริหารจัดการบ้านเมืองไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้โดยตรง สถาบันสำคัญสถาบันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือการให้มีการจัดตั้ง "ศาลปกครอง"
 
ศาลปกครองทำงานด้วยระบบ "ไต่สวน" คือการให้ศาลเป็นผู้มีอำนาจในการเรียกหาเอกสารต่าง ๆ จากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับคดี การทำงานตรงนี้แตกต่างจากศาลยุติธรรม (เช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลเฉพาะทางต่าง ๆ เช่น ศาลแรงงาน ฯลฯ) ที่ใช้ระบบ "กล่าวหา" ที่ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ไปหาหลักฐานมาเอง แต่วิธีการที่ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ไปหาหลักฐานมาเองนั้นใช้ไม่ได้ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องร้องนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจทางปกครองอยู่ในมือ จึงจำเป็นต้องใช้ระบบไต่สวนที่กำหนดให้ศาลเป็นผู้มีอำนาจเรียกดูพยานหลักฐานต่าง ๆ (ถ้ามีแต่ไม่ยอมให้ ก็จะมีความผิด)
 
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็ได้มีการออกกฎหมาย พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่กำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ โดยมีปรัญาพื้นฐานข้อหนึ่งว่า "เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น" แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าใครจะขอดูข้อมูลอะไรก็ได้ทุกอย่าง และก็ไม่ได้หมายความว่าการเปิดเผยนั้นจำเป็นต้องออกสู่สาธารณะเสมอไป ข้อมูลบางอย่างก็เปิดเผยได้เฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้น (ต้องมีการชั่งน้ำหนักระหว่าง การปฏิบัติหน้าที่ ประโยชน์สาธารณะ และสิทธิของเอกชน) และข้อมูลที่จะปกปิดได้นั้นก็ต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
ข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วยก็เป็นประเด็นหนึ่งว่าจะสามารถเปิดเผยให้คนใกล้ชิดรับทราบได้แค่ไหน ตรงประเด็นนี้ทางผู้บรรยาย (การบรรยายที่ผมไปร่วมฟังมาในย่อหน้าข้างล่าง) ได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพดังนี้ สมมุติว่ามีคู่สมรสคู่หนึ่ง ฝ่ายสามีไปพบแพทย์ด้วยตนเองและพบว่าป่วยเป็นมะเร็ง (เป็นโรคไม่ติดต่อ) คำถามก็คือแพทย์จะบอกข้อมูลตรงนี้ให้กับผู้เป็นภรรยาทราบได้ไหม คำตอบก็คือไม่ได้ แต่ถ้าหากฝ่ายสามีไปตรวจเอดส์และพบว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์ (โรคที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์) ในกรณีหลังนี้ทางฝ่ายแพทย์จะสามารถแจ้งให้ทางภรรยาทราบได้ เพราะถือว่าเป็นการป้องกันฝ่ายภรรยาไม่ให้ได้รับความเสียหาย
 
ปลายเดือนพฤษภาคมและต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ ทางมหาวิทยาลัยได้จัดการสัมมนาเรื่อง "กฎหมายปกครองสำหรับบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" รวมทั้งสิ้น ๓ วันเต็ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ กับการออกคำสั่งปกครอง อันที่จริงงานนี้เขาเชิญเฉพาะผู้บริหารระดับตั้งแต่หัวหน้าภาควิชา ผู้อำนวยการส่วน เลขานุการคณะ ฯลฯ ขึ้นไป แต่ผมกลับถูกส่งให้ไปฟังการอบรมดังกล่าวแทน ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่ได้เข้าร่วมการอบรมดังกล่าว เพราะช่วงนั้นทางผู้บริหารในหน่วยราชการต่าง ๆ ที่มีอำนาจออกคำสั่งปกครอง ส่วนใหญ่ยังเคยชินกับการใช้อำนาจอำเภอใจที่คนอื่นไม่สามารถตรวจสอบหรือร้องเรียนได้ แต่พอมีศาลปกครองเกิดขึ้น ทำให้คดีความต่าง ๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่ศาลปกครอง แม้แต่ตัวสถาบันการศึกษาเองก็ตาม ก็ยังโดนฟ้องร้องเรื่องเงื่อนไขในการสำเร็จการศึกษาและการขอดูคะแนนสอบ
 
เอกสารที่ผมสแกนมาให้ดูวันนี้เป็นเอกสารที่ได้รับจากในการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ ที่ห้องประชุมมิราเคิล แกรนด์ บอลรูม โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต เอกสารประกอบการสัมมนาดังกล่าวจัดเตรียมโดย ดร.ฤทัย หงส์สิริ ในชื่อ "กฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการกับการปฏิบัติงาน" คัดมาเฉพาะเรื่องเกี่ยวข้องกับการขอทราบคะแนนสอบของผู้อื่น อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ผู้ปกครองของนักเรียนที่สอบไม่ติด ขอทราบว่าลูกของตนนั้นสอบได้คะแนนเท่าใด และคนที่ทางโรงเรียนรับนั้นสอบได้คะแนนเท่าใด ลองอ่านเอาเองก่อนนะครับ



ในเหตุการณ์นั้น (พ.ศ. ๒๕๔๑) ผู้ปกครองที่ลูกตัวเองสอบไม่ติดประสงค์จะทราบว่าลูกสอบได้คะแนนเท่าใด และขอดูกระดาษคำตอบของลูกตัวเอง และของเด็กคนอื่นที่สอบติดด้วย โดยขอใช้สิทธิตามกฏหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ ขอทราบข้อมูลดังกล่าวจากทางมหาวิทยาลัย แต่โดนทางมหาวิทยาลัยปฏิเสธ (มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าคะแนนสอบและกระดาษคำตอบนั้นเป็น "ข้อมูลส่วนบุคคล" หรือ "ข้อมูลข่าวสารของราชการ") จึงได้ทำการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งในที่สุดแล้วทางคณะกรรมการฯ ได้วินิจฉัยว่าเป็นข้อมูลข่าวสารที่สามารถเปิดเผยได้ จึงมีคำสั่งให้ทางมหาวิทยาลัยเปิดเผยข้อมูลตามที่มีการร้องขอ
 
แต่เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะผู้ปกครองนักเรียนที่สอบได้ร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าว โดยได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม ซึ่งในที่สุดแล้วทางศาลฏีกาก็ได้มีคำพิพากษาเห็นฟ้องกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โดยได้ยกฟ้องคำร้องของผู้ปกครองนักเรียนที่สอบได้ ที่ว่าไม่ให้เปิดเผย
 
หมายเหตุ : รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ บัญญัติให้มีการตั้งศาลปกครอง แต่กว่าจะมีการตั้งเป็นองค์กรที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ล่วงเข้าปีพ.. ๒๕๔๔ ดังนั้นในช่วงดังกล่าวเมื่อยังไม่มีศาลปกครองทำหน้าที่พิจารณาคดีทางปกครอง ก็เลยต้องให้ศาลยุติธรรมทำหน้าที่แทน

ในเวลานั้น การฟ้องร้องและการคัดค้านในคดีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการทำงานของอาจารย์ตรงที่ว่า คะแนนสอบของนิสิตแต่ละคนนั้นถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น การที่อาจารย์เอาคะแนนสอบของนิสิตทุกคนไปติดประกาศไว้บนบอร์ดให้คนอื่นเห็นได้ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เมื่อมีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดออกมาแล้ว ทางวิทยากรก็ได้ให้เหตุผลตรงที่ว่าทำไมถึงพิจารณาให้เปิดเผยได้ เพราะมีการพิจารณาประเด็นที่ว่า การเปิดเผยดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม (หรือสาธารณะ) หรือไม่ ซึ่งตรงนี้ก็ได้มีข้อสรุปว่าการเปิดเผยคะแนนสอบของนิสิตทุกคนที่เข้าเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง ให้ "นิสิตที่เรียนในวิชานั้นทั้งชั้น" รับทราบถือว่าเป็นการตรวจสอบการทำงานของหน่วย (จะได้ตรวจสอบได้ว่าไม่มีเหตุการณ์ประเภทสอบได้คะแนนต่ำกว่าแต่ได้เกรดสูงกว่าคนที่สอบได้คะแนนสูงกว่า ซึ่งช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมันก็มีเรื่องแบบนี้อยู่ ตรงที่นิสิตอ้างว่าจะโดนรีไทร์แล้วมาขอเกรด A จากอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่จากคะแนนสอบจริงควรจะได้เกรด F แต่ยุคสมัยนั้นทางนิสิตที่สอบได้คะแนนสูงกว่าแต่ได้เกรดต่ำกว่าไม่สามารถร้องเรียนขอความชอบธรรมได้ และนิสิตที่ได้คะแนนต่ำก็ไม่สามารถขอตรวจดูคำตอบได้ว่าทำผิดพลาดตรงไหน)

แต่อย่าไปด่วนสรุปว่าทางภาควิชาสามารถส่งผลการเรียนของนิสิตที่สำเร็จการศึกษา (เช่นเกรดที่เรียนจบ) ให้กับบริษัทที่ขอทราบรายชื่อนิสิตทุกคน (แถมที่อยู่และเบอร์โทรติดต่อ) ที่เรียนจบด้วยเกรดที่สูงกว่าเกณฑ์มีสิทธิสมัครเข้าทำงานของบริษัทนั้นได้นะครับ มันเป็นคนละเรื่องกัน เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ภาควิชาเรา แต่ทางภาควิชาก็ไม่ได้ให้ไป บอกได้แต่เพียงแค่ถ้าอยากได้ก็ยินดีให้ทางบริษัทส่งใบสมัครมาให้ภาคช่วยแจกจ่ายให้กับนิสิตผู้สนใจเท่านั้นเอง

เรื่องที่น่าตั้งคำถามก็คือ การที่วิชาใดวิชาหนึ่งทำเพียงแค่ประกาศให้นิสิตที่เรียนวิชานั้นได้รู้เพียงแค่คะแนนของตนเอง กับรู้เพียงว่าได้คะแนนที่ระดับเท่าใดจากจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด โดยไม่มีการประกาศให้รู้ทั่วกันทั้งชั้นว่าคนอื่นในชั้นเรียนเดียวกันนั้นสอบได้คะแนนเท่าใด เป็นการกระทำที่เพียงพอหรือไม่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการเก็บคะแนนสอบของนิสิตแต่ละราย และให้นิสิตตรวจคะแนนสอบของตนเองผ่านทางฐานข้อมูลดังกล่าว โดยฐานข้อมูลนั้นให้นิสิตแต่ละรายเห็นได้เฉพาะคะแนนของตนและตำแหน่งของตนในชั้นเรียนเท่านั้น โดยไม่มีการประกาศให้เห็นคะแนนสอบของผู้อื่นในชั้นนั้น ตรงนี้แตกต่างไปจากการติดประกาศคะแนนไว้ที่บอร์ดที่ทำให้นิสิตเห็นคะแนนสอบของทุกคนทั้งชั้นเรียน

ไม่มีความคิดเห็น: