แม่น้ำเจ้าพระยาที่เริ่มจาก
จ.นครสวรรค์
นั้น
เมื่อไหลลงสู่ที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นลำน้ำที่มีความคดเคี้ยวมาก
(ที่เรียกว่าเป็นรูปโค้งเกือกม้าหรือตัวยู)
ทำให้เสียเวลาในการเดินทางทางน้ำ
เพื่อที่จะย่นระยะทางให้สั้นลงจึงได้มีการขุดคลองลัดเป็นระยะมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ครั้นเวลาผ่านไป คลองขุดเล็ก
ๆ โดยลำน้ำที่ไหลผ่านโดยตรงเซาะสองฟากฝั่งก็ขยายตัวกว้างขึ้น
กลายเป็นลำน้ำเจ้าพระยาแทนที่ลำน้ำเดิมที่ตื้นเขินแคบลงและลดบทบาทกลายเป็นคลองไป
รูปที่
๑-๓
เป็นแผนที่แสดงลำน้ำเจ้าพระยาสายเดิมและตำแหน่งที่ขุดคลองลัด
รูปนี้นำมาจากหนังสือเรื่อง
"กรุงเทพฯ
มาจากไหน"
โดยสุจิตต์
วงษ์เทศ ของสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.
๒๕๔๘
รูปนี้อยู่ในหน้า ๓๘
โดยมีคำบรรยายรูปว่า
"แผนที่แม่น้ำ
(เจ้าพระยา)
สมัยกรุงศรีอยุธยา
แสดงบริเวณที่ขุดคลอดลัดแล้วกลายเป็นแม่น้ำสายใหม่
(อาจารย์มานิต
วัลลิโภดม ทำขึ้นจากการค้นคว้าเอกสารเก่า
พิมพ์ครั้งแรกใน
กำสรวลศรีปราชญ์-นิราศนรินทร์
พ.ณ.
ประมวญมารค.
กรุงเทพฯ
:
แพร่พิทยาม
2502.)
รูปต้นฉบับนั้นเป็นรูปยาว
ๆ รูปเดียว แต่ผมตัดแยกเป็น
๓ ส่วนเพื่อที่จะขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น
แต่มีโค้งเกือกม้าอยู่แห่งหนึ่งที่ไม่มีการขุดคลองลัด
นั่นคือโค้งเกือกม้าสุดท้ายก่อนถึงปากอ่าวไทย
ที่เป็นบริเวณที่ตั้งของ
อ.
พระประแดง
จ.
สมุทรปราการ
(ดูรูปที่
๓)
รูปที่
๓ แผนที่ลำน้ำเจ้าพระยาช่วงต่อจากรูปที่
๒ เป็นช่วง จ.
นนทบุรี
กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
สังเกตตรงโค้งเกือกม้าสุดท้ายก่อนไหลลงอ่าวไทย
ไม่ได้มีการขุดคลองลัด
เหตุผลที่ในอดีตไม่ทำการขุดคลองลัด
ณ ตำแหน่งนี้พอจะมองได้ว่ามีอยู่
๒ เหตุผลด้วยกัน
เหตุผลแรกเป็นเหตุผลทางด้านทางทหาร
เพราะถ้าหากข้าศึกยกพลมาทางเรือก็ต้องเดินเรืออ้อมไกล
เสียเวลาเพิ่มขึ้นก่อนจะล่องไปถึงเมืองหลวง
และถ้าตั้งป้อมปราการตรงตำแหน่งพื้นดินช่วงที่แคบที่สุด
ก็จะสามารถโจมตีข้าศึกที่ล่องมาตามลำน้ำได้ง่าย
กล่าวคือกองเรือข้าศึกที่ล่องไปตามลำน้ำต้องผ่านป้อมที่ตั้งอยู่
ณ ตำแหน่งนั้นสองครั้ง
ส่วนเหตุผลที่สองนั้นเป็นเหตุผลทางด้านระบบนิเวศ
คือป้องกันไม่ให้น้ำเค็มไหลย้อนเข้าลึกเกินไปในช่วงน้ำขึ้นโดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง
(แม้ในปัจจุบัน
ในบางปีที่แล้งมาก
น้ำเค็มจากอ่าวไทยสามารถไหลย้อนขึ้นไปจนถึงท่าน้ำนนทบุรี)
รูปที่
๔
เป็นแผนที่แสดงระดับความสูงของพื้นดินช่วงจากแม่น้ำท่าจีนไปจนถึงแม่น้ำบางปะกง
จะเห็นว่าระดับความสูงเฉลี่ยของพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
(พื้นที่ระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยา)
มีระดับความสูงที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง
ในขณะที่พื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออก
(พื้นที่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำบางปะกง)
มีระดับความสูงที่ต่ำกว่าฝั่งตะวันตก
และยังต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเสียด้วย
รูปที่ ๔ แผนที่ระดับความสูงของพื้นดินบริเวณจากแม่น้ำท่าจีนทางตะวันตก ไปจนถึงแม่น้ำบางปะกงทางตะวันออก จะเห็นว่าพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (ฝั่งท่าจีน-เจ้าพระยา) มีระดับความสูงเฉลี่ยมากกว่าพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออก (ฝั่งเจ้าพระยา-บางปะกง)
รูปที่ ๔ แผนที่ระดับความสูงของพื้นดินบริเวณจากแม่น้ำท่าจีนทางตะวันตก ไปจนถึงแม่น้ำบางปะกงทางตะวันออก จะเห็นว่าพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (ฝั่งท่าจีน-เจ้าพระยา) มีระดับความสูงเฉลี่ยมากกว่าพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออก (ฝั่งเจ้าพระยา-บางปะกง)
ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์เช่นนี้
ทำให้ฝั่งตะวันตกนั้นเป็นพื้นที่ทำสวน
(ไม้ยืนต้นมันแช่น้ำท่วมขังนาน
ๆ ไม่ได้)
สวนผลไม้ต่าง
ๆ
ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชาในอดีตนั้นต่างอยู่ทางฝั่งตะวันตกทั้งนั้น
ในขณะที่ฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ทำนา
และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ไม้ยืนต้นเจอกับน้ำท่วมโคนต้นนานเกินไป
การทำสวนในบริเวณฝั่งตะวันตกจึงมีการขุดท้องร่องเพื่อเอาดินขึ้นมาถมเป็นคันดิน
แล้วปลูกต้นไม้บนคันดินนั้น
ทำให้ได้ทั้งระดับพื้นดินสำหรับการปลูกต้นไม้ที่สูงขึ้น
และท้องร่องที่นำน้ำไปเลี้ยงต้นไม้ถึงที่
(ลักษณะที่ไม่เห็นในจังหวัดอื่นที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำมากเช่นนี้ในฤดูน้ำหลาก)
ลักษณะลำน้ำที่เป็นโค้งเกือกม้านี้
แม้ว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเค็มไหลย้อนเข้าไปได้ลึกจนอาจทำความเสียหายให้กับเกษตรกรทำสวนได้
แต่ก็ทำให้น้ำไหลลงทะเลได้ช้าในช่วงน้ำหลาก
แนวทางแก้ปัญหาแนวทางหนึ่งก็คือการขุดคลองแนวเหนือ-ใต้
เพื่อให้น้ำที่ไหลหลากลงมาในช่วงหน้าน้ำนั้นไหลผ่านไปได้เร็ว
แต่คลองเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกสู่ทะเลโดยตรง
แต่ไหลลงสู่คลองหลักอีกคลองหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง
แต่วิ่งเลียบขนานไปกับชายฝั่ง
(ลองดูแผนที่ในรูปที่
๔)
เรียกว่าเป็นการประนีประนอมกันระหว่างการระบายน้ำลงสู่ทะเล
กับการป้องกันน้ำเค็มไหลย้อนก็ได้
และเมื่อมีการขุดขยายคลองลัดโพธิ์ให้ใหญ่ขึ้น
เพื่อเร่งการระบายน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาลงสูทะเลในฤดูน้ำหลาก
จึงจำเป็นต้องมีการสร้างประตูระบายน้ำคอยปิดกั้นเวลาน้ำขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะเลใช้เป็นเส้นทางลัดในการไหลย้อนเข้ามาได้เร็ว
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการโพสรูปสะพานระบายน้ำข้ามถนนสุขุมวิทช่วงที่เลียบชายฝั่งทะเล
(รูปที่
๕)
และมีคำถามขึ้นมาว่าทำไปจึงไม่ใช้การขุดคลองเพื่อให้น้ำไหลลงทะเลไปเลย
แต่กลับสร้างสะพานแล้วใช้ปั๊มสูบน้ำจากคลองลำเลียงน้ำที่มาจากพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ
ให้ไหลขึ้นสะพานระบายน้ำเพื่อระบายลงทะเล
อันที่จริงคำตอบนี้มันอยู่ในรูปที่
๔ แล้วว่าทำไมจึงต้องใช้ปั๊มสูบน้ำระบายออกสู่ทะเล
นั่นก็เป็นเพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
และถ้าจะให้คลองตัดกันโดยไม่ให้น้ำไหลผสมกัน
ก็ต้องใช้วิธีการให้คลองเส้นหนึ่งมุดท่อลอดใต้คลองอีกเส้นหนึ่ง
(วิธีนี้มันก็ดีตรงที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปั๊มช่วย)
แต่คลองเส้นที่มุดท่อลอดนั้นก็จะมีปัญหาไม่สามารถเดินเรือผ่านได้
หรือใช้การสร้างสะพานน้ำแล้วสูบน้ำขึ้นบนสะพานเพื่อให้ไหลลงไปยังอีกฟากหนึ่ง
วิธีนี้น้ำมันไหลขึ้นสะพานเองไม่ได้
ต้องใช้ปั๊มช่วย
ในกรณีนี้ผมเดาเหตุผลว่าเป็นเพราะคลองเส้นเดิมที่ทอดขนานไปตามแนวถนนเลียบทะเลนั้น
เป็นคลองที่รับน้ำมาจากคลองต่าง
ๆ ที่ไหลมาในแนวเหนือ-ใต้ก่อนลงทะเล
ส่วนคลองที่มีสะพานระบายน้ำนั้นเป็นคลองที่ขุดขึ้นใหม่
ใช้เพื่อการระบายน้ำท่วมขังเป็นหลัก
ไม่ได้ใช้เป็นเส้นทางสัญจร
การใช้สะพานระบายน้ำก็มีข้อดีตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาน้ำทะเลไหลย้อนและน้ำขึ้นน้ำลง
เพราะสะพานมันอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลแม้เวลาที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุด
ทำให้สามารถสูบน้ำลงสู่ทะเลได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงก็ตาม
รูปที่
๕ แผ่นที่จาก google
earth
ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองคือประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์กับสะพานระบายน้ำที่สูบน้ำจากคลองระบายน้ำจากบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ
ลงสู่ทะเลโดยข้ามถนนสุขุมวิทและคลองที่คู่ขนานไปกับถนนสุขุมวิท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น