เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา
เพื่อนฝูงร่วมรุ่นได้จัดงานเยี่ยมชมโรงงานของบริษัทปทุมธานีบริวเวอรี่จำกัด
(อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ใกล้กับสะพานสะพานปทุมธานี
แต่เขามักจะเรียกว่าสะพาน
"นวลฉวี"
มากกว่า)
ซึ่งเป็นโรงงานผลิตและบรรจุน้ำดื่มและน้ำมังสวิรัติ
ก็เลยถือโอกาสเข้าร่วมงานเพื่อไปหาเรื่องราวต่าง
ๆ มาเล่าให้ฟัง
แต่คงจะไม่เอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิตมาเล่า
อยากนำเสนอมุมอื่นให้ได้เห็นกัน
รูปที่เอามาแสดงนั้นได้รับอนุญาตให้ถ่ายได้ทุกรูป
ลองดูตามรูปแต่ละรูปเอาเองก็แล้วกัน
รูปที่ ๑ ออกจากห้องรับรองก่อนเข้าอาคารบรรจุผลิตภัณฑ์ก็เจอท่อแก๊สเหล่านี้วางเรียงราย สอบถามได้ความว่าเป็นแก๊สไนโตรเจนใช้สำหรับดับเพลิงในห้องคอมพิวเตอร์และห้องเก็บเอกสารต่าง ๆ ตัวนี้เป็นระบบเก่า ตอนติดตั้งนั้นคงเป็นช่วงที่เขารณรงค์เลิกใช้ฮาลอน (Halon) กันเนื่องจากมันทำลายโอโซน ผมถามเขาว่าทำไมถึงไม่เลือกใช้ CO2 เขาให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าทางผู้ติดตั้งระบบบอกว่า N2 จะปลอดภัยกว่า CO2 ตรงที่ใช้ปริมาณน้อยกว่าในการดับเพลิง (โดยปรกติปริมาณ CO2 ที่ใช้ในการดับเพลิงไหม้ได้นั้นจะสูงมากพอที่จะทำให้คนในห้องปิดนั้นขาดอากาศเสียชีวิตได้ แต่ถ้าใช้ในที่โล่งก็ไม่เป็นไร) แต่ตอนนี้เห็นมีตัวใหม่ที่เข้ามาขายแทนฮาลอนคือ Halonite ที่แลปเคมีพื้นฐานก็มีอยู่หลายถัง
รูปที่
๒
หลังจากเยี่ยมชมส่วนบรรจุผลิตภัณฑ์แล้วก็มายังห้องควบคุมกระบวนการหมักและบ่ม
บรรยากาศดีมากไม่เหมือนห้องควบคุมพวกโรงกลั่นน้ำมันหรือปิโตรเคมี
(พวกนี้เป็นห้องผนังคอนกรีตเสริมเหล็กรับแรงระเบิด
ไม่มีหน้าต่าง
เห็นโลกภายนอกผ่านทางทีวีวงจรปิด)
เพราะด้านหน้าห้องเป็นผนังกระจกมองออกไปเห็นถังหมักและแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีเรือวิ่งไปมาอยู่ข้างหน้า
ตอนเช้าตรู่คงได้เห็นพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากอีกฟากแม่น้ำด้วย
แม้ว่าโรงงานจะเอาระบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่มาใช้ในการควบคุมแล้ว
(ทุกอย่างเรียกดูได้บนหน้าจอคอม)
แต่ก็ยังอนุรักษ์แผงควบคุม
(mimic
panel) และอุปกรณ์ควบคุมแบบเดิมเอาไว้
ซึ่งก็เหมาะแก่การมองเห็นภาพกระบวนการผลิตทั้งหมดของโรงงานได้ในที่เดียวและใช้ในการอธิบายผู้เข้าเยี่ยมชม
รูปบนเป็นตัวอย่างอุปกรณ์ควบคุมและแสดงผลที่ใช้กันในอดีต
(ตอนนี้ไม่ใช้
ตัวเข็มชี้สีดำ (ที่ลูกศรสีแดงชี้)
ก็เลยอยู่ล่างสุด)
ส่วนรูปล่างเป็นส่วนหนึ่งของแผงควบคุมเดิมของโรงงาน
รูปที่
๓ บริเวณนี้ปี ๒๕๕๔ น้ำท่วมหนัก
แต่ทางโรงงานสามารถป้องกันเอาไว้ได้
เห็นบอกว่าจ่ายไปตั้ง ๓๐
ล้าน
พี่ที่นำชมโรงงานบอกว่าที่ป้องกันได้เป็นเพราะมีกำลังคนและกำลังเงิน
ใช้กระสอบทรายกันน้ำอย่างเดียว
ตอนแรกก็ระวังน้ำที่จะเอ่อขึ้นมาจากทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งก็เคยมีแต่ก็ไม่มาก
แต่ปี ๒๕๕๔ นั้นเป็นน้ำมาทางทุ่งตีตลบหลัง
ระหว่างนั้นบริเวณโรงงานก็ใช้เป็นสถานที่หลบภัยของชาวบ้านรอบ
ๆ ตอนนี้ทางโรงงานสร้างกำแพงกันน้ำท่วมเสร็จแล้ว
ต้องลึกลงไปในดินประมาณ
๒๐ เมตรเพื่อกันน้ำซึมผ่านเข้าทางใต้ดิน
บริเวณไหนสามารถลงกำแพงคอนกรีตได้ก็ลงกำแพงคนกรีต
(เช่นที่เห็นในภาพ)
ส่วนบริเวณส่วนที่ลงไม่ได้ก็ใช้
metal
sheet pile ตอกอัดลงไป
รูปนี้เป็นเครื่องสูบน้ำที่เขาใช้ในการสูบน้ำออก
ผมก็แหย่เขาเล่นว่าลงทุนเหลือเกิน
ขนาดท่อสูบน้ำทิ้งยังใช้ท่อสแตนเลสทั้งด้านดูดและด้านจ่าย
(อันที่จริงคิดว่าเป็นเพราะเขาเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
ก็เลยต้องมีท่อสแตนเลสสำรองเอาไว้เป็นเรื่องปรกติ)
รูปที่
๔ ถัดจากกำแพงกันน้ำท่วมก็เป็นระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย
มีวิศวกรสิ่งแวดล้อมนำชม
พอเดินผ่านห้องควบคุมก็พบห่วงชูชีพแขวนไว้หน้าประตูก่อนเข้าส่วนบ่อบำบัด
คิดว่าคงมีเอาไว้ช่วยผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นและตกลงไปในบ่อบำบัดที่มีน้ำ
เพราะถ้าตกลงไปในบ่อบำบัดที่ไม่มีน้ำก็มีสิทธิคอหักตายได้
เพราะมันลึกประมาณ ๔-๕
เมตรได้
รูปที่
๕ ภาพทั่วไปของระบบบ่อบำบัด
มีการวัดทิศทางลมเพื่อเอาไว้เปิดระบบฉีดน้ำเพื่อลดกลิ่น
ในกรณีที่ลมพัดไปยังที่อยู่อาศัยของชาวบ้านรอบ
ๆ
รูปที่
๖
โรงงานนี้ผลิตแก๊สเชื้อเพลิงจากการหมักสารอินทรีย์ในน้ำทิ้งแบบไม่มีอากาศในบ่อบำบัด
แต่เนื่องจากแก๊สที่ผลิตได้นั้นสูงเกินความต้องการของหม้อไอน้ำในบางช่วง
จึงต้องมีระบบเผาแก๊สทิ้งแบบต้องจุดติดเองด้วยมือ
ปล่องที่เห็นคือปล่องสำหรับเผา
เปลวไฟจะลุกไหม้อยู่ข้างใน
(คงต่ำกว่าบริเวณที่สีโลหะโดนเผาจนคล้ำ)
รูปที่
๗ Compressor
สำหรับอัดแก๊สที่ได้จากการย่อยสลายสารอินทรีย์ในบ่อย่อยสลายที่ไม่ใช้อากาศ
(anaerobic)
ระบบนี้เห็นเขาเดินเป็นท่อสแตนเลสทั้งระบบจากบ่อเก็บไปยัง
compressor
และต่อไปยังหม้อไอน้ำ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในโรงงานมีท่อสแตนเลสอยู่แล้วหรือเป็นเพราะกลัวการกัดกร่อนจากแก๊สที่ได้จากการหมัก
(เพราะนอกจาก
CH4
ก็คงมี
H2S
และความชื้นที่ติดมากับแก๊ส
ส่วนมุมขวาล่างของรูปในกรอบสีเหลืองคือวาล์วปีกผีเสื้อหรือ
butterfly
valve ที่เปิด-ปิดด้วยการใช้เฟืองทด
รูปที่
๘ ก่อนหน้านี้เคยเล่าเรื่องการเชื่อมสแตนเลส
คราวนี้ได้ไปเยี่ยมชมโรงงานที่ใช้ท่อสแตนเลสเต็มโรงงาน
ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปรอยเชื่อมมาให้ดู
(รูปซ้าย)
จะเห็นว่าสีโลหะจะไม่มีรอยไหม้เหมือนกับที่แสดงไว้ใน
Memoir
ฉบับวันที่
๑๘ ธันวาคมที่ผ่านมา
ส่วนรูปขวาเป็นท่อเหล็กธรรมดาทาสีเขียวต่อด้วยหน้าแปลน
แต่ใช้นอตสแตนเลสยึดหน้าแปลน
โดยปรกติถ้าโลหะต่างชนิดกันสองชนิดสัมผัสกัน
จะเกิดปฏิกิริยาเซลล์ไฟฟ้าเคมี
โลหะที่มีค่า E0
ต่ำกว่าจะผุกร่อน
ในกรณีของเหล็กสแตนเลส
กับเหล็กกล้าธรรมดา
เหล็กกล้าธรรมดาจะเป็นตัวผุกร่อน
แต่ในรูปนี้คงเป็นเพราะมีการทาสีเอาไว้ก่อน
และไม่ได้ใช้แหวนชนิดที่กัดทะลุเนื้อสีไปถึงเนื้อโลหะ
(tooth
washer) สีที่ทาจึงเป็นฉนวนไฟฟ้าไม่ให้ปฏิกิริยาเซลล์ไฟฟ้าเคมีครบวงจร
ท้ายสุดต้องขอขอบคุณพี่งู้
(กรรมการผู้จัดการ)
ที่เป็นเจ้าภาพในการอนุญาตให้เข้าเยี่ยมชม
เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ให้การต้อนรับโดยเฉพาะทางบลูมาสเตอร์ของบริษัทที่ให้คำอธิบายที่กระจ่างชัด
หลังการเยี่ยมชมยังมีของชำร่วยติดมือกลับบ้าน
แถมยังมีเครื่องดื่มเย็น
ๆ ให้ดื่มแก้กระหายคลายร้อนจากการตระเวณโรงงาน
(ดังรูป)
และปิดท้ายด้วยอาหารมื้อเที่ยง
(โต๊ะจีน)
ที่แสนอร่อยก่อนเดินทางกลับด้วยครับ