"ผมเข้าใจแล้วครับ
ว่าทำไมผู้บริหารที่อายุ
๕๐ ขึ้นมักจะมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ"
ประโยคนี้ของเขาหลังจากที่เขาได้ยินคำอธิบายของผม
ทำให้ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ
ก็มันเข้าตัวผมเองด้วยเหมือนกัน
เพราะตอนนี้ก็เป็นคนรุ่นอายุคราวเดียวกันกับผู้ที่ถูกพาดพิงถึง
คนที่เคยมีประสบการณ์ที่ดีกับสิ่งหนึ่ง
และมันก็ยังใช้งานได้ดี
ทำให้ยากที่จะเปลี่ยนเขาไปยังสิ่งใหม่ที่คนอื่นมาบอกว่ามันดีกว่าของเดิมที่เขาใช้อยู่
และในทำนองเดียวกัน
คนที่เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับสิ่งหนึ่ง
แต่เมื่อสิ่งนั้นมันทำงานได้ดีแล้ว
มันก็เป็นการยากที่จะทำให้เขาลองกลับไปใช้สิ่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง
บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างการทักทายกันทางโทรศัพท์ระหว่างผมกับวิศวกรที่โรงงานแห่งหนึ่ง
(เขาเป็นศิษย์เก่าของภาควิชา)
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานให้กับปั๊มหอยโข่ง
แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องดังกล่าว
เราลองมาทบทวนระบบ piping
ของปั๊มหอยโข่งที่มีการควบคุมอัตราการไหกันหน่อยไหมครับ
(รูปที่
๑ ข้างล่าง)
รูปที่
๑ แผนผังระบบ piping
ของปั๊มหอยโข่ง
P
คือความดัน
F
คืออัตราการไหล
อย่างแรกคือระบบควบคุมอัตราการไหลด้านขาออกของปั๊มหอยโข่งจะอยู่ที่ระบบท่อด้านขาออกนะครับ
ไม่ได้อยู่ที่ระบบท่อด้านขาเข้า
(เพราะขืนไปติดไว้ด้านขาเข้ามันจะมีปัญหาเรื่องมันดูดของเหลวเข้าไม่ทันและเรื่อง
net
positive suction head หรือ
NPSH)
สำหรับระบบที่ต้องการควบคุมอัตราการไหล
ก็จะมีการติดตั้งวาล์วควบคุมอัตราการไหลเอาไว้
และในกรณีที่ประเมินแล้วว่าในระหว่างการทำงานนั้นมีโอกาสที่วาล์วควบคุมการไหลจะปิดหรือเปิดน้อยมาก
หรือในกรณีที่ของเหลวมีอุณหภูมิสูง
หรือเกรงว่าของเหลวในปั๊มจะเดือดถ้าหากไหลผ่านตัวปั๊มช้าเกินไป
ก็จะมีการติดตั้งท่อ minimum
flow line เอาไว้ทางด้านขาออก
(อยู่ก่อนถึงตำแหน่ง
check
valve ด้านขาออก
-
ไม่ได้แสดงไว้ในรูป)
โดยท่อนี้จะมีการเปิดเอาไว้ก่อนเริ่มเดินเครื่องปั๊มและ/หรือเปิดทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาในขณะที่ปั๊มทำงาน
ขนาดของท่อเส้นนี้จะเล็กกว่าขนาดท่อหลักที่จ่ายของเหลวเข้าสู่ระบบ
เพราะมันทำหน้าที่เพียงแค่ให้ของเหลวไหลผ่านปั๊มด้วยอัตราการไหลที่ต่ำสุดที่ป้องกันไม่ให้ของเหลวเดือดในปั๊มแค่นั้นเอง
ท่อ minimum
flow line (บางรายเรียก
kick
back line) นี้จะมีหรือไม่มี
ขึ้นอยู่กับการทำงานและการออกแบบ
อย่าไปจำว่ามันต้องมีเสมอไป
จากข้อกำหนดว่าระบบต้องการอัตราการไหล
F2
ที่ความดัน
P2
ดังนั้นปั๊มที่เลือกใช้จะต้องสามารถสร้างความดันด้านขาออกได้สูงกว่า
P2
(คือสร้างได้
P1)
และให้อัตราการไหลที่ความดันดันกล่าว
(คือ
F1)
ได้อย่างน้อย
F2
และโดยปรกติเวลาที่เลือกปั๊มมาใช้งานก็จะได้ปั๊มที่สร้างความดัน
P1
และอัตราการไหล
F1
ที่สูงกว่าความดันที่ต้องการ
P2
และอัตราการไหล
F2
เสมอ
เรียกว่ามีการเผื่อขนาด
(over
size) เอาไว้ก่อน
(เผื่อว่าความต้านทานการไหลจริงของระบบนั้นสูงกว่าค่าที่นำมาใช้คำนวณ
หรือเผื่อการขยายกำลังการผลิตในอนาคต)
แล้วค่อยไปใช้วิธีการหรี่วาล์วด้านขาออกเพื่อให้ได้อัตราการไหล
F2
ที่ความดัน
P2
ที่ต้องการ
เพื่อที่จะให้เห็นภาพง่ายขึ้น
เรามาลองพิจารณากรณีที่ไม่มีการติดตั้ง
minimum
flow line พลังงานที่เราใส่เข้าไปที่ปั๊มหอยโข่ง
(W1)
นั้นจะสูงกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้ของเหลวไหลด้วยอัตราการไหล
F2
ที่ความดัน
P2
(W2) พลังงานส่วนเกินนี้
(W1
- W2) จะสูญเสียไปจากการไหลผ่านวาล์วควบคุมอัตราการไหล
และเป็นการสูญเสียพลังงานที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์อะไรได้
ดังนั้นถ้าปั๊มนั้นมีการเผื่อขนาดเอาไว้มาก
ค่าผลต่าง W1
- W2 หรือพลังงานที่ต้องสูญเสียผ่านวาล์วก็จะมากตามไปด้วย
(คือต้องไม่เปิดวาล์วให้กว้างมาก
เพื่อไม่ให้การไหลสูงเกินไป)
และสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ที่มีปั๊มจำนวนมาก
เดินเครื่องกันตลอด ๒๔
ชั่วโมงทั้งปี
การสูญเสียเนื่องจากการใช้ปั๊มที่มีการเผื่อขนาดไว้มากเกินไปเป็นจำนวนมาก
ก็เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียพลังงาน
(หรือค่าใช้จ่ายในการผลิต)
ที่มากเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ทำการติดตั้งปั๊มแล้วพบว่าปั๊มนั้นมีการเผื่อขนาดเอาไว้มากเกินไป
ก็ต้องหาทางลดการจ่ายพลังงานที่มากเกินควรให้กับของเหลวที่ไหลผ่านเข้าปั๊ม
และสิ่งที่เขามักจะทำกันนั้นไม่ใช่การซื้อปั๊มใหม่ที่เล็กกว่าเดิม
แต่เป็นการดัดแปลงระบบปั๊มที่ติดตั้งไว้แล้วให้มันใช้พลังงานน้อยกว่าเดิม
พลังงานที่ของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มได้มานั้น
ได้มาจากความเร็วที่ของเหลวถูกเหวี่ยงออกจากขอบใบพัด
(impeller)
ของปั๊มหอยโข่ง
ความเร็วที่ของเหลวถูกเหวี่ยงออกมานั้นขึ้นอยู่กับขนาดของใบพัดและความเร็วรอบการหมุน
กล่าวคือที่ความเร็วรอบการหมุนคงที่
ใบพัดที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่จะให้พลังงานแก่ของเหลวได้มากกว่าใบพัดที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กกว่า
และในกรณีที่ใบพัดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางคงที่
ความเร็วรอบการหมุนที่ลดลงจะทำให้พลังงานที่ของเหลวได้รับนั้นลดต่ำลงไปด้วย
ปั๊มหอยโข่งเกือบทั้งหมดที่ใช้กันในโรงงานนั้นขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
(ชนิด
induction
motor) ทึ่ความเร็วรอบการหมุนขึ้นอยู่กับความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับ
(ของบ้านเราคือ
50
Hz) และจำนวนขั้ว
(pole)
ที่มอเตอร์มี
(เป็นเลขคู่เสมอ
ค่าตั้งแต่ 2
ขึ้นไป)
ดังนั้นการลดพลังงานที่มากเกินไปที่ปั๊มให้กับของเหลว
จึงใช้การลดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใบพัดหรือไม่ก็ลดความเร็วรอบการหมุน
การลดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใบพัดใช้การนำใบพัดเดิมนั้นมาเจียรขอบด้านข้างให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ลดลง
(ภาษาอังกฤษเรียกว่า
impeller
trimming) โดยที่ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงขนาดตัวเรือน
(housing)
ของปั๊ม
การเจียรขอบใบพัดให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลดลงทำให้ของเหลวถูกเหวี่ยงออกจากใบพัดด้วยความเร็วที่ลดต่ำลง
พลังงานที่ปั๊มจ่ายให้กับของเหลวก็เลยลดต่ำลงไปด้วย
แต่ทั้งนี้ต้องพึงระลึกว่าช่องว่างระหว่างขอบใบพัดและตัวเรือนนั้นส่งผลถึงสมรรถนะการทำงานของปั๊มด้วย
ถ้าขนาดช่องว่างนี้มากเกินไป
แทนที่ของเหลวจะถูกเหวี่ยงออกไปจากตัวเรือนปั๊ม
จะกลายเป็นว่ามันวิ่งไหลวนอยู่ในตัวเรือนปั๊มแทน
(คือแทนที่จะกลายเป็นปั๊มก็กลายเป็นถังกวนแทน)
วิธีการนี้น่าจะมีค่าใช้จ่ายต่ำสุดและเหมาะกับการปรับแต่งที่ไม่มาก
แต่ถ้าจะใช้วิธีการนี้ก็ต้องระวังที่จะไม่เจียรใบพัดจนมันมีขนาดเล็กเกินไป
เพราะถ้าทำไปแล้วมันจะไม่สามารถทำใบพัดให้กลับมาใหญ่เหมือนเดิมได้
นอกจากไปหาซื้อมาใหม่
วิธีการที่สองใช้การเปลี่ยนมอเตอร์ไปเป็นมอเตอร์ที่มีจำนวนขั้วเพิ่มมากขึ้น
(เมื่อจำนวนขั้วของมอเตอร์เพิ่มขึ้น
มอเตอร์จะหมุนช้าลง)
วิธีการนี้เป็นวิธีการที่อาจลดการใช้พลังงานลงอย่างมากในทีเดียว
แต่ถ้าเปลี่ยนจากมอเตอร์ที่มีจำนวนขั้ว
2
ขั้ว
(ที่หมุนด้วยความเร็วเกือบ
3000
รอบต่อนาที)
มาเป็นมอเตอร์ที่มี
4
ขั้ว
(ที่หมุนด้วยความเร็วเกือบ
1500
รอบต่อนาที)
ก็ต้องพิจารณาด้วยเหมือนกันว่ามันลดพลังงานมากเกินไปหรือเปล่า
เดี๋ยวจะไม่สามารถจ่ายของเหลวที่อัตราการไหลและความดันที่ต้องการได้แม้ว่าจะเปิดวาล์วควบคุมการไหลด้านขาออกเต็มที่แล้วก็ตาม
แต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนจากมอเตอร์เดิมที่มี
6
ขั้ว
(ที่หมุนด้วยความเร็วรอบเกือบ
100
รอบต่อนาที)
มาเป็นตัวใหม่ที่มี
8
ขั้ว
(ที่หมุนด้วยความเร็วรอบเกือบ
750
รอบต่อนาที)
ก็เป็นการลดลงแบบไม่ฮวบฮาบ
และยังสามารถใช้การเปิดวาล์วควบคุมการไหลด้านขาออกให้กว้างขึ้นเพื่อชดเชยได้
วิธีการนี้ต้องมีการลงทุนหามอเตอร์ตัวใหม่และจัดการกับมอเตอร์ตัวเก่าที่ถอดออกไป
สองวิธีการที่เล่ามาข้างต้นเป็นวิธีการหลักที่สมัยผมเรียนจบใหม่
ๆ เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วเรียนรู้กันว่าเขาใช้กันทั่วไป
เรียกว่าเป็นงานของฝ่ายเครื่องกลฝ่ายเดียวก็ได้
แต่อันที่จริงยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่ยุคสมัยนั้นจัดว่าเป็นเรื่องใหม่
พอมันเป็นเรื่องใหม่มันก็เลยก่อให้เกิดความสงสัยว่าจะใช้งานได้จริง
ใช้ได้ทนทานนานแค่ไหน
ไว้วางใจได้แค่ไหน ฯลฯ
ตามมาเต็มไปหมด
วิธีการนั้นการคือใช้การปรับเปลี่ยน
"ความถี่"
ของไฟฟ้ากระแสสลับที่จ่ายให้กับมอเตอร์
ซึ่งตรงนี้มันมีงานของฝ่ายไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ความเร็วซิงโครนัส
(synchronus)
ของไฟฟ้ากระแสสลับคำนวณได้จากสูตร
120f/p
เมื่อ
f
คือความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับ
(ของบ้านเราคือ
50
Hz) และ
p
คือจำนวนขั้ว
(pole)
ของมอเตอร์ที่ต้องมีจำนวนเป็นเลขคู่เสมอและเริ่มตั้งแต่
2
ขึ้นไป
ในกรณีของมอเตอร์เหนี่ยวนำ
(induction
motor) ที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่นั้น
ความเร็วรอบการหมุนจะต่ำกว่าความเร็วซิงโครนัสอยู่เล็กน้อยเนื่องจากการเกิด
slip
อย่างเช่นมอเตอร์ที่มี
4
ขั้วรอบความเร็วการหมุนจริงจะอยู่ที่ประมาณ
1450
รอบต่อนาที
เมื่อราว
๓๐
กว่าปีที่แล้วการเปลี่ยนความถี่ไฟฟ้ากระแสสลับด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลัง
(power
electronic) เพื่อใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ากำลัง
(เช่นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่)
ยังจัดว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่
ตอนนั้นผมยังได้พบกับวิศวกรไฟฟ้ารุ่นพี่ไปเรียกปริญญาเอกและทำวิจัยเรื่องอิเล็กทรอนิกส์กำลังนี้อยู่
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิศวกรที่ทำงานเกี่ยวกับปั๊มในยุคนั้นจะไม่ไว้วางใจการนำเอาอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนความถี่กระแสไฟฟ้ามาใช้ในการประหยัดพลังงานให้กับปั๊มหอยโข่ง
เพราะเขาเห็นอยู่ว่าวิธีการดั้งเดิมนั้นก็ทำงานได้ดีและอุปกรณ์ก็มีเสถียรภาพสูง
ถ้าของใหม่ที่เข้ามานั้นทำได้เพียงแค่ทัดเทียมกับของเดิมแล้วจะเลือกใช้ของใหม่ทำไม
ดังนั้นของที่เข้ามาใหม่จึงต้องแสดงให้เห็นว่ามันดีกว่าวิธีการดั้งเดิมอย่างไร
เช่นอาจจะมีบางช่วงการทำงานที่เทคนิคใหม่นี้มีความเหมาะสมมากกว่า
ที่ภาระงาน
(load)
คงที่
มอเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนได้ความเร็วรอบของมันแล้วจะกินกระแสไฟฟ้าน้อยกว่าตอนที่มันเริ่มหมุน
ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไฟตก
(คือความต่างศักย์ที่จ่ายมานั้นลดต่ำลงกว่าปรกติ)
จะทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าหมุนช้าลงและกินกระแสไฟมากขึ้น
และถ้าปล่อยไว้นานเกินไปก็อาจทำให้มอเตอร์นั้นไหม้ได้เนื่องจากขดลวดทองแดงร้อนจัดจนน้ำยาเคลือบเส้นลวด
(ที่เป็นฉนวนไฟฟ้า)
ทนความร้อนไม่ได้จนไหม้หรือหลอมละลาย
ตรงนี้ต้องอย่าเอาเรื่องนี้ไปปนกับกรณีของมอเตอร์ที่มีจำนวนขั้วมากกว่าที่หมุนช้ากว่ามอเตอร์ที่มีจำนวนขั้วน้อยกว่านะครับ
อย่าไปสรุปว่ามอเตอร์ที่มีจำนวนขั้วมากกว่าจะกินกระแสมากกว่ามอเตอร์ที่มีจำนวนขั้วน้อยกว่า
มันคนละเรื่องกัน
ในกรณีของการปรับความถี่ของกระแสไฟฟ้าเพื่อให้มอเตอร์หมุนช้าลงนี้
มันมีเรื่องของภาระงานที่ลดลงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นว่าต้องเกิดเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาในย่อหน้าก่อนหน้านี้
เรื่องเกี่ยวกับการใช้การปรับความถี่กระแสไฟฟ้าในการลดการใช้พลังงานที่เกิดจากการเผื่อขนาดปั๊มไว้มากเกินไปนั้น
เอกสารเรื่อง "Variable
speed pumping - A guide to successful applications, Executive
summary" ที่จัดทำขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่าง
the
Hydraulic Institute, Europump และ
U.S.
Department of Energy's (DOE) industrial technologies program
ที่ค้นเจอทางอินเทอร์เน็ตและเท่าที่ดูคร่าว
ๆ ก็เห็นว่าให้ภาพที่ดีของวิธีการดังกล่าว
(ดาวน์โหลดได้ที่
https://www1.eere.energy.gov/manufacturing/tech_assistance/pdfs/variable_speed_pumping.pdf)
และที่สำคัญคือมันเป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นแบบเป็น
"Executive
summary" คือให้ความชัดเจนโดยไม่ลงลึกมากนัก
เพื่อให้ระดับผู้บริหารทำความเข้าใจได้ดีขึ้น
(มีการกล่าวถึงข้อดีและข้อเสียของเทคนิคนี้ด้วย)
ในเอกสารนี้มี
๒
เรื่องที่อยากจะยกมาเล่าให้ฟังในที่นี้ในกรณีของข้อพึงคำนึงเมื่อคิดจะใช้การปรับเปลี่ยนความถี่ในการลดพลังงานที่ปั๊มใช้งาน
รูปที่
๒ และ ๓ นั้นเป็นกรณีของระบบที่
ความต้านทานส่วนใหญ่เกิดจากการไหล
ที่ความดันด้านขาออกไม่สูง
หรือระบบท่อด้านขาออกไม่มีการยกตัวสูงกว่าระดับติดตั้งปั๊มมาก
ในกรณีนี้การปรับเปลี่ยนความถี่เพื่อให้ปั๊มหมุนช้าลงตามอัตราการไหลที่ต้องการจะทำได้ในช่วงกว้าง
ลองพิจารณาระบบที่มอเตอร์หมุนด้วยความเร็วรอบ
1480
rpm และเราต้องการลดอัตราการไหลจาก
720
m3/h (จุด
A)
ลงเหลือ
600
m3/h ถ้าเป็นระบบเดิมที่ใช้การหรี่วาล์วด้านขาออก
การทำงานของปั๊มก็จะย้ายจากจุด
A
มายังจุด
B
แต่ถ้าใช้การปรับความเร็วรอบการหมุนจาก
1480
rpm มาเป็น
1184
rmp การทำงานจะย้ายจากจุด
A
มายังจุด
C
ที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่า
รูปที่
๒ ระบบที่ความต้านทานส่วนใหญ่เกิดจากการไหล
ที่ความดันด้านขาออกไม่สูง
หรือระบบท่อด้านขาออกไม่มีการยกตัวสูงกว่าระดับติดตั้งปั๊มมาก
(เช่นการสูบน้ำทิ้ง)
รูปที่
๓ Pump
curve ของระบบที่ความต้านทานการไหลขึ้นกับอัตราการไหลเป็นหลัก
ในกรณีนี้เส้น system
curve (คือความต้านทานการไหลของระบบ)
จะเริ่มจากตำแหน่งความดันด้านขาออกที่เป็นศูนย์หรือใกล้ศูนย์
รูปที่
๔ และ ๕
เป็นตัวอย่างกรณีที่ความต้านทานการไหลด้านขาออกส่วนใหญ่เป็นผลจากความดัน
เช่นการสูบของเหลวจ่ายเข้าระบบที่มีความดันสูง
หรือจ่ายของเหลวขึ้นที่สูง
(เช่น
reflux
pump ของหอกลั่นที่สูงมาก)
ในกรณีนี้
system
curve จะเริ่มจากตำแหน่งความดันด้านขาออกที่สูง
ในกรณีนี้ความดันด้านขาออกจะเป็นตัวกำหนดว่าใบพัดของปั๊มจะต้องหมุนด้วยความเร็วรอบขั้นต่ำเท่าใดจึงจะเอาชนะความดันด้านทานด้านขาออกได้
(ปั๊มหอยโข่งให้พลังงานจลน์กับของเหลวที่มันเหวี่ยงออกไป
แล้วค่อยเปลี่ยนพลังงานจลน์นั้นเป็นความดันอีกที)
อย่างเช่นในกรณีของรูปที่
๕ ที่นำมาแสดง
ถ้าเราต้องการลดอัตราการไหลจากประมาณ
720
m3/h (จุด
A)
ลงเหลือ
600
m3/h (จุด
B)
ความเร็วรอบการหมุนของใบพัดจะต้องไม่ต่ำกว่า
1350
rpm
และจะประหยัดพลังงานได้ไม่มากเท่าใดนักเมื่อเทียบกับการใช้การหรี่วาล์วด้านขาออก
รูปที่
๔
ระบบที่ความต้านทานด้านขาออกมีความดันที่สูงต้านอยู่ในระดับหนึ่งตลอดเวลา
เช่นการสูบของเหลวเข้าถังความดันสูง
หรือการที่ท่อด้านขาออกนั้นมีการยกตัวสูงกว่าระดับติดตั้งปั๊มอยู่มาก
รูปที่
๕ Pump
curve
ของระบบที่ความต้านทานด้านขาออกมีความดันที่สูงต้านอยู่ในระดับหนึ่งตลอดเวลา
หวังว่าบทความนี้คงพอมีประโยชน์ในการปูพื้นฐานให้กับผู้ที่ทำงานด้านนี้บ้าง
:)
:) :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น