เรื่องการขาดอากาศเมื่อต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อับหรือที่เรียกกันติดปากว่า
confined
space นั้น
เป็นเรื่องที่มีการย้ำกันอยู่เสมอสำหรับผู้ที่ต้องเข้าไปปฏิบัติงานภายในอุปกรณ์ต่าง
ๆ ของกระบวนการผลิต
แต่ก็มีกรณีพิเศษเหมือนกันที่ดูแล้วไม่น่าจะเกิดปัญหาดังกล่าวได้เพราะเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่น่าจะมีการถ่ายเทอากาศได้ดี
รูปที่
๑ หอกลั่นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
4
เมตร
สูงประมาณ 70
เมตร
(สูงกว่าตึก
20
ชั้น)
คนงานคนหนึ่งเกิดอาการหมดสติเมื่อเปิดหน้าแปลนปิด
manhole
ที่อยู่ที่ยอดหอกลั่น
หน้า
๘ ของวารสาร Loss
Prevention Bulletin ฉบับที่
๑๑๐ ปีค.ศ.
๑๙๙๓
เล่าถึงกรณีที่คนงานสองคนหมดสติชั่วคราวเมื่อเปิดหน้าแปลนที่ปิด
manhole
บนยอดหอกลั่น
หอกลั่นดังกล่าวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
4
เมตร
สูงประมาณ 70
เมตร
ได้รับการไล่สารอินทรีย์
(สารที่ทำการกลั่นแยก)
ออกจนหมด
แล้วแทนที่แก๊สภายในด้วยไนโตรเจน
ก่อนที่จะทำการเปิดหน้าแปลนปิด
manhole
(ทั้งด้านล่างและด้านบน)
ก็ได้ทำการระบายความดันภายในหอออกให้หมดก่อน
(คือให้มีความดันเท่ากับความดันบรรยากาศข้างนอก)
การถอดหน้าแปลนที่ปิด
manhole
ตัวล่างนั้นไม่มีปัญหาอะไร
แต่พอคนงานสองคนขึ้นไปถอดหน้าแปลนตัวบน
พอถอดหน้าแปลนออก
คนงานรายหนึ่งก็หมดสติล้มฟุบลงไป
เพื่อร่วมงานอีกคนหนึ่งก็รีบเข้าไปพยุงออกมาแล้วทั้งคู่ก็ล้มตัวลงต่ำไปยังพื้น
platform
ที่ยืนทำงานอยู่ตรงหน้า
manhole
และด้วยการกระทำอย่างทันทีทันใดของเพื่อนร่วมงาน
ทำให้คนงานคนแรกที่หมดสติฟุบลงไปนั้นมีสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
งานที่สองคนนี้ได้รับมอบหมายให้ไปกระทำก็คือถอดหน้าแปลนที่ปิด
manhole
ด้านบนออกเท่านั้น
ไม่มีการเข้าไปในตัวหอกลั่น
และตอนเกิดเหตุ
ทั้งคู่ก็ยังอยู่ภายนอกหอกลั่น
ตัวอุปกรณ์
(เช่นพวก
pressure
vessel, tank หรือหอกลั่น)
ที่บรรจุสารอันตรายนั้น
ก่อนที่จะเข้าไปทำงานข้างในจำเป็นต้องมีการกำจัดสารอันตรายเหล่านั้นออกก่อน
(สารอันตรายอาจเป็นสารเคมีที่เป็นพิษหรือติดไฟได้ก็ได้)
ถ้าสารนั้นเป็นของเหลวก็ต้องเริ่มจากการระบายส่วนที่เป็นของเหลวออกก่อน
(ซึ่งต้องคำนึงถึงพวกที่ยังคงตกค้างอยู่ตามพื้นผิวหรือมุมอับต่าง
ๆ ภายในตัวอุปกรณ์หรือระบบท่อได้)
จากนั้นจึงค่อยไล่เอาส่วนที่เป็นไอระเหยออก
(รวมทั้งของเหลวที่ตกค้างอยู่)
ออก
ตัวอย่างเช่นในกรณีของไฮโดรคาร์บอนเบาที่เป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง
แต่เป็นของเหลวภายใต้ความดันในกระบวนการผลิต
(เช่นโพรเพนและบิวเทนที่เราใช้เป็นแก๊สหุงต้ม)
เมื่อเราลดความดันภายในภาชนะบรรจุ
สารพวกนี้ก็จะระเหยกลายเป็นไอออกมาจนหมด
จนกระทั่งความดันภายในภาชนะบรรจุนั้นเท่ากับความดันบรรยากาศภายนอก
จากนั้นจึงเอาแก๊สเฉื่อย
(ที่ใช้กันมากที่สุดคือไนโตรเจน)
เข้าไปไล่ไอระเหยของเชื้อเพลิงที่ตกค้างอยู่ออกให้หมด
(ขั้นตอนนี้ใช้อากาศไม่ได้
เพราะอาจทำให้ส่วนผสมของไอกลายเป็น
explosive
mixture ได้)
แล้วจึงทำการเปิดภาชนะออก
จากนั้นจึงค่อยเอาอากาศเข้าไปแทนที่ในโตรเจนก่อนที่จะอนุญาตให้คนงานเข้าไปปฏิบัติงานภายในได้
ในกรณีที่เป็นของเหลวที่มีจุดเดือดสูงเช่นน้ำมันหนักต่าง
ๆ
(ที่อาจเป็นของเหลวข้นเหนียวหรือของแข็งที่อุณหภูมิห้องเช่นน้ำมันเตา)
หลังจากที่ระบายเอาของเหลวส่วนใหญ่ออกไปแล้ว
ก็ต้องทำการล้างพวกน้ำมันหนักที่ตกค้างอยู่ด้วยการนำเอาน้ำมันที่ใสกว่า
(เช่นดีเซล)
เข้าไปไหลเวียน
(อาจต้องใช้ความร้อนช่วย)
เพื่อละลายเอาน้ำมันหนักที่ตกค้างอยู่ออกมา
จากนั้นจึงค่อยเอาไอน้ำเข้าไปไล่ไอน้ำมันและน้ำมันใสที่เอาเข้าไปชะล้างน้ำมันหนัก
(คือให้น้ำมันใสระเหยกลายเป็นไอด้วยความร้อนจากไอน้ำ)
ออกให้หมด
เมื่อไล่ไอน้ำมันออกจนหมดแล้วก็ต้องรีบเอาแก๊สไนโตรเจนเข้าไปแทนที่ไอน้ำ
เพราะถ้าปล่อยให้ไอน้ำเย็นตัวลงโดยไม่มีแก๊สไนโตรเจนเข้าไปแทนที่
จะเกิดสุญญากาศภายในตัวอุปกรณ์ที่อาจทำให้ตัวอุปกรณ์ได้รับความเสียหายจากแรงบีบอัดของความดันบรรยากาศภายนอกได้
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหอกลั่นถูกกำหนดโดยปริมาณของเหลวและไอที่ไหลสวนทางกันอยู่ภายในหอกลั่น
กล่าวคืออัตราการไหลที่สูงจะทำให้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้น
ส่วนความสูงของหอกลั่นถูกกำหนดโดยความยากง่ายในการกลั่นแยกและความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
กล่าวคือยิ่งแยกออกจากกันยากและ/หรือต้องการความบริสุทธิ์ที่สูง
ก็จะทำให้ความสูงเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเช่นหอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีนเพื่อที่จะให้ได้โพรพิลีนความบริสุทธิ์สูงพอสำหรับนำไปทำปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรซ์ได้นั้น
มีความสูงได้ถึงระดับแตะหอละ
100
เมตร
(แถมใช้สองหอคู่กันด้วย)
แก๊สร้อนจะลอยตัวขึ้นข้างบน
ตัวหอกลั่นที่เกิดเหตุก็ตั้งอยู่กลางแจ้ง
รวมทั้ง platform
ที่เกิดเหตุที่อยู่ด้านยอดหอก็เป็นพื้นที่เปิดกลางแจ้งด้วย
ตอนที่เปิดหน้าแปลน manhole
ตัวล่างนั้นไม่มีปัญหาเรื่องแก๊สไนโตรเจนรั่วออกมาในปริมาณมาก
เพราะมันมีแนวโน้มที่จะลอยขึ้นด้านบน
ในเหตุการณ์นี้ผลการสอบสวนคาดว่า
พอเปิดหน้าแปลน manhole
ตัวบน
แก๊สไนโตรเจนร้อนที่ลอยตัวขึ้นบนโดยธรรมชาติอยู่แล้วนั้นจึงไหละลักออกมาทางหน้าแปลนที่เปิดออกในปริมาณมาก
จนทำให้พื้นที่ที่พนักคนแรกยืนอยู่นั้นไม่มีออกซิเจน
(เรียกว่าลดจาก
21%
ลงมาแตะระดับ
0%
อย่างรวดเร็ว)
จึงทำให้พนักงานคนแรกนั้นหมดสติอย่างรวดเร็ว
พนักงานคนที่สองที่เข้าไปช่วยก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย
แต่ด้วยการที่ทั้งคู่ลดระดับตัวต่ำลงกว่าระดับ
manhole
จึงทำให้กลับเข้าสู่สภาพอากาศที่ปลอดภัย
(ไนโตรเจนที่รั่วออกมานั้นเนื่องจากมันร้อน
มันจึงไหลขึ้นด้านบน
ไม่ไหลต่ำลงมา)
การไหลออกของแก๊สร้อนทางด้านบนทำให้ความดันภายในนั้นลดต่ำลง
อากาศเย็นจากภายนอกจะไหลเข้าทดแทนทางช่องเปิดด้านล่างจนกระทั่งอุณหภูมิด้านบนของหอนั้นไม่สูงกว่าอุณหภูมิทางด้านล่างของหอ
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า
"Chimney
effect" หรือ
"Stack
effect"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น