ในฉบับที่แล้วได้แนะนำให้รู้จักกระบวนการ
Hydrotreating
และ
Hydrocraking
ว่าคืออะไร
ทีนี้เรามาดูกันต่อว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนเกิดการระเบิด
๑.
ในวันศุกร์ที่
๑๓ มีนาคม
(วันเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ระบบ
flare
และมีผู้เสียชีวิต
๒ ราย -
ดู
Case
1 ไฟไหม้ที่ระบบ
Flare)
มีการหยุดการทำงานของหน่วย
hydrocracking
เพื่อการซ่อมบำรุง
และเริ่มเดินเครื่องใหม่ในวันเสาร์ที่
๒๑ มีนาคม ณ เวลาที่กะดึกเข้ารับงานช่วงเวลา
๒๒.๐๐
น กำลังการผลิตอยู่ที่สภาวะคงตัวที่
20,000
b/day (บาร์เรลต่อวัน
โดย 1
b = 158.987 l)
รูปที่
๖ ในวงกลมสีเหลืองคือฐานตั้ง
V306
Low pressure separator ที่เกิดการระเบิด
จะเห็นว่าเหลือแต่ขาตั้งคอนกรีตรูปตัว
T
เท่านั้น
เพราะตัว vessel
กระจัดกระจายทั่วไปหมด
๒.
พอล่วงเข้าวันอาทิตย์ที่
๒๒ มีนาคม เวลาประมาณ ๑.๓๐
น มีสัญญาณดังขึ้นในห้องควบคุม
ตัวหน่วยผลิต (ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า
plant)
หยุดการทำงาน
(ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า
trip)
ปั๊มและคอมเพรสเซอร์หลายตัวหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติ
(คงเป็นไปตามระบบ
interlock
ที่ออกแบบไว้)
การป้อนสารต่าง
ๆ (น้ำมันและไฮโดรเจน)
เข้ามายังเครื่องปฏิกรณ์
(reactor)
หยุดการทำงาน
และระบบเริ่มทำการลดความดันในระบบลง
(ระบายแก๊สทิ้ง)
จากการตรวจสอบพบว่า
temperature
cut out หรือ
TCO
(ที่จะทำงานเมื่อตรวจวัดอุณหภูมิได้สูงเกินกว่า
425ºC)
ตัวหนึ่งที่ติดตั้งอยู่ที่
V303
(Hydrocracking reactor) เป็นตัวทำสั่งให้หน่วยผลิตหยุดการทำงาน
ปฏิกิริยา
hydrocracking
ประกอบด้วยปฏิกิริยา
hydrogenation
หรือการเติมไฮโดรเจนให้กับพันธะที่ไม่อิ่มตัว
ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
และปฏิกิริยา cracking
หรือการแตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลงที่เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน
ถ้าสัดส่วนของปฏิกิริยา
hydrogenation
สูงกว่า
ภาพรวมของการทำปฏิกิริยาก็จะเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
รูปที่
๗ แผนผังของหน่วย Hydrocracker
ที่เกิดการระเบิด
(1)
คือตำแหน่ง
V306
Low pressure separator ที่เกิดการระเบิด
(2)
คือตำแหน่งที่พบผู้เสียชีวิต
และ (4)
คือตำแหน่งห้องควบคุมและพักรับประทานอาหาร
๓.
การตรวจสอบไม่พบความผิดปรกติที่ตัว
hydrocracker
จึงเชื่อว่า
TCO
ทำงานผิดพลาด
และด้วยการที่ตรวจไม่พบอุณหภูมิสูงเกิน
จึงได้ทำการผ่านข้าม (override)
สัญญาณเตือนและเริ่มทำการไหลเวียนแก๊สไฮโดรเจนใหม่อีกครั้ง
และเวลาประมาณ ๒.๐๐
น โอเปอร์เรเตอร์กะดึกก็เริ่มเพิ่มความดันให้กับระบบให้เข้าสู่
working
pressure ใหม่
เพื่อรักษาอุณหภูมิของเครื่องปฏิกรณ์ให้มีเสถียรภาพเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินเครื่อง
จากเวลานี้จนกระทั่งถึงเวลาที่เกิดเหตุ
ตัวโรงงานเองอยู่ในสภาพ
standby
หรือเตรียมความพร้อม
โดยไม่มีการป้อนน้ำมันเข้ามา
และไม่มีการพบเห็นอะไรพิเศษ
นอกจากพบการสั่นที่ผิดปรกติที่ตัว
C301
(Recycle hydrogen gas compressor ที่ดึงเอาแก๊สไฮโดรเจนจาก
V305
High pressure separator วนกลับไปยังเครื่องปฏิกรณ์
hydrotreating
และ
hydrocracker)
ในรายงานไม่ได้บอกว่าตัว
TCO
นั้นมีจำนวนเท่าใดและติดตั้งไว้ที่ตำแหน่งใดบ้าง
แต่กรณีที่ไม่ต้องการให้การทำงานเกิดปัญหาอันเป็นผลจากการที่อุปกรณ์วัดคุมทำงานผิดพลาดนั้น
อาจใช้การติดตั้งอุปกรณ์วัดคุมหลายตัวทำหน้าที่เดียวกัน
เช่นติดตั้ง ๓ ตัว
โดยจะพิจารณาว่าสัญญาณเตือนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสัญญาณเตือนที่ถูกต้องเมื่ออุปกรณ์วัดคุมอย่างน้อย
๒ ตัวส่งสัญญาณเตือนออกมา
วิธีการเช่นนี้พอจะช่วยลดการหยุดการทำงานอันเป็นผลจากการทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์วัดคุมเพียงตัวเดียวได้
รูปที่
๘ แผนผังของโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมด
(1)
คือตำแหน่ง
V306
Low pressure separator ที่เกิดการระเบิด
(2)
คือตำแหน่งที่พบผู้เสียชีวิต
และ (3)
คือตำแหน่งของท่อ
flare
ที่เกิดเพลิงไหม้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต
๒ รายเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า
๔.
ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำที่มีอยู่
โอเปอร์เรเตอร์จึงยังไม่ป้อนน้ำมันเข้าหน่วยผลิตจนกว่า
hydrocracker
supervisor จะมาถึงโรงงาน
(คงรอระดับหัวหน้างานที่สูงขึ้นไปมาสั่งการ)
จนกระทั่งเวลา
๖.๐๐
น ก็มีการเปลี่ยนกะเป็นกะกลางวัน
กะกลางวันได้รับแจ้งว่าตัวโรงงานมีการหยุดการเดินเครื่องเนื่องจากการทำงานของ
TCO
ที่ยังไม่มีคำอธิบาย
และขณะนั้นตัวคอมเพรสเซอร์
C301
มีการสั่นที่มากเกินปรกติ
ทำให้ตัวโรงงานยังอยู่ในสภาพเตรียมความร้อน
(standby)
และอยู่ระหว่างรอให้
supervisor
เดินทางมาถึง
ระหว่างช่วงเวลา
๖.๔๕
และ ๖.๕๕
น
โอเปอร์เรเตอร์ส่วนใหญ่เข้าไปพักรับประทานอาหารเช้าในห้องพักรับประทานอาหาร
(mess
room) ที่อยู่ในอาคารเดียวกันกับห้องควบคุม
(control
room)
รูปที่
๙
ในการอ่านรายงานการสอบสวนอุบัติเหตุนั้นบางครั้งก็จำเป็นบ้างเหมือนกันที่ต้องทราบว่าศัพท์ที่ใช้นั้นเป็นศัพท์อังกฤษของทางฝั่งประเทศอังกฤษ
(หรือสหราชอาณาจักร)
หรือประเทศสหรัฐอเมริกา
เพราะมีหลายอุปกรณ์ที่เป็นอุปกรณ์ตัวเดียวกันแต่ใช้ชื่อเรียกต่างกัน
หรือศัพท์คำเดียวกันแต่มีความหมายที่แตกต่างกัน
(ซึ่งอาจเป็นตัวอุปกรณ์หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน)
ตารางที่นำมาแสดงนั้นนำมาจากหนังสือ
"What
went wrong? Case histories of process plant disasters."
ที่เขียนโดย
Prof.
T.A. Kletz
เป็นตารางเปรียบเทียบศัพท์ที่ใช้ในเรียกชื่อตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบ
จะเห็นว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่ง
"Supervisor"
และ
"Plant
manager" ของทางอังกฤษนั้นแตกต่างจากของทางสหรัฐอเมริกา
โดยทางฝั่งอังกฤษจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบในระดับที่ต่ำกว่า
๕.
เวลาประมาณ
๗.๐๐
น เกิดการระเบิดที่รุนแรงตามด้วยไฟไหม้รุนแรง
เสียงจากการระเบิดนั้นรับรู้ได้ไปถึงระยะ
๓๐ กิโลเมตร
แรงระเบิดทำให้ผู้รับเหมารายหนึ่งที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารและเพิ่งเดินออกจากห้องพักรับประทานอาหารเสียชีวิต
(ดูตำแหน่งที่พบร่างในรูปที่
๗)
การระเบิดมีศูนย์กลางอยู่ที่
V306
Low pressure separator ที่สร้างขึ้นจากเหล็กกล้าหนา
๑๘ มิลลิเมตรและหนัก ๒๐ ตัน
บริเวณที่ตั้ง V306
เหลือเพียงฐานคอนกรีตรูปตัว
T
(รูปที่
๖)
ตัว
V306
แตกเป็นชิ้นส่วนย่อยที่กระจายไปทั่วบริเวณ
มีการพบเศษชิ้นส่วนหนึ่งที่หนักเกือบ
๓ ตันห่างออกไป ๑ กิโลเมตร
เศษชิ้นส่วนหนึ่งปลิวข้ามถนนไปตกในอีกโรงงานหนึ่งและทำให้ท่อไอน้ำได้รับความเสียหาย
และยังมีอีกเศษชิ้นส่วนหนึ่งที่ปลิวข้ามห้องควบคุมก่อนตกลงในบริเวณใกล้เคียง
(รูปที่
๑๐ และ ๑๑)
ตำแหน่งของเศษชิ้นส่วนที่พบแสดงไว้ในรูปที่
๘ ที่เป็นจุดกลมสีเทา
จะเห็นว่าเศษชิ้นส่วนส่วนใหญ่จะปลิวไปทางทิศตะวันตก
โดยมีส่วนน้อยที่กระจายไปในทิศทางเหนือใต้
ส่วนทางด้านทิศตะวันออกที่ไม่มีชิ้นส่วนปลิวไปคงเป็นเพราะ
V306
ตั้งอยู่ติดโครงสร้างที่มีความสูงกว่าทางด้านทิศตะวันออก
(รูปที่
๖ ที่เป็นภาพมองจากทางทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก)
รูปที่
๑๐ เศษชิ้นส่วนของ V306
Low pressure separator ที่ปลิวไปไกลถึง
๓๔๐ เมตร
พึงสังเกตความเสียหายที่ขอบบนของถังที่มีหลายเลข
91
ในรูป
แสดงว่าเศษชิ้นส่วนคงจะปลิวมาตกกระแทกขอบบนของถังก่อนที่จะกระดอนลงพื้น
๖.
ในระหว่างที่เกิดการระเบิดนั้น
มีโอเปอร์เรเตอร์อยู่ ๙
คนในบริเวณหน่วย hydrocracker
๒
คนอยู่ในห้องควบคุม (คงเป็น
board
man) อีก
๖ คนอยู่ในห้องพักรับประทานอาหารที่อยู่ติดกัน
และคนที่ ๙ อยู่ในบริเวณตัวโรงงาน
ห้องควบคุมที่สร้างจากอิฐได้รับความเสียหายพอสมควร
แต่ไม่ถึงขั้นพังลงมา
ผู้ที่อยู่ภายในไม่ได้รับบาดเจ็บใด
ๆ และสามารถหนีออกได้ทางประตูหลัง
ส่วนผู้ที่อยู่ในบริเวณตัวโรงงานนั้นอยู่ห่างออกไปและไม่ได้รับอันตรายจากแรงระเบิด
ผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียวคือผู้รับเหมาที่บังเอิญไปอยู่ใกล้กับจุดระเบิด
ณ เวลานั้น
รูปที่
๑๑ เศษชิ้นส่วนของ V306
Low pressure separator อีกชิ้นส่วนหนึ่งที่ปลิวไปไกล
๗๕ เมตรลอยข้ามห้องควบคุมไป
๗.
ความพยายามที่จะดับเพลิงมีปัญหาเนื่องจากวัสดุข้นเหนียวที่รั่วไหลออกมาจากท่อที่พังนั้น
ไปอุดตันระบบระบายน้ำ
ทำให้เกิดการสะสมของน้ำดับเพลิง
ผลที่ตามมาคือน้ำมันที่รั่วออกมานั้นลอยแผ่ไปบนผิวหน้าน้ำ
และภายใน ๕ ชั่วโมงหลังจากเกิดการระเบิด
น้ำมันเหล่านี้ก็ลุกติดไฟ
ทำให้หน่วยผลิตอื่น ๆ
ที่อยู่ในกลุ่มของหน่วย
hydrocracker
ถูกล้อมรอบด้วยเปลวไฟตามไปด้วย
โชคดีที่หน่วยดับเพลิงสามารถกลับมาควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
และภายในเย็นวันเดียวกันก็สามารถดับไฟลงได้
น้ำมันไม่ละลายน้ำ
แถมยังมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
ดังนั้นเมื่อน้ำมันหยดลงบนผิวน้ำ
น้ำมันก็จะแผ่กระจายออกไปบนผิวหน้าน้ำได้อย่างรวดเร็ว
น้ำมัน
๑ หยดถ้าหยดลงบนพื้นของแข็ง
ก็จะแผ่กระจายออกไปได้ไม่กว้าง
แต่ถ้าหยดลงบนผิวหน้าน้ำ
จะแผ่กระจายออกไปได้กว้างมาก
(ตรงนี้ลองเอาน้ำมันพืชหยดลงพื้น
เปรียบเทียบกับหยดลงบนผิวหน้าน้ำดูก็ได้)
สิ่งที่ตามมาก็คือพื้นผิวหน้าที่น้ำมันระเหยได้จะเพิ่มมากขึ้น
ทำให้น้ำมันที่ปรกติจุดติดไฟยาก
(เพราะมีอุณหภูมิจุดวาบไฟหรือ
flash
point สูง)
จะติดไฟได้ง่ายขึ้น
ในกรณีที่น้ำมันรั่วไหลลงระบบท่อระบายน้ำนั้น
ถ้าหากระบบท่อระบายน้ำไม่มีการออกแบบให้ดักน้ำมันเอาไว้
ระบบท่อระบายน้ำนั้นก็จะเป็นเสมือนซุปเปอร์ไฮเวย์ชั้นดีให้กับน้ำมันที่จะไหลไปยังส่วนต่าง
ๆ ของโรงงาน
และยังช่วยรักษาความเข้มข้นของไอน้ำมันเอาไว้ไม่ให้ฟุ้งกระจายออกไปได้ง่ายด้วย
(พูดง่าย
ๆ คือทำให้ความเข้มข้นสูงถึงขั้น
lower
explosive limit ได้ง่ายขึ้น)
ในกรณีของบ้านเรานั้น
เท่าที่ทราบมีกรณีที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรคาร์บอนรั่วไหลลงระบบท่อระบายน้ำและตามมาด้วยการระเบิดถึง
๒ เหตุการณ์ด้วยกัน
ซึ่งต่างก็มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งสอง
ตรงนี้สามารถอ่านได้ใน
Memoir
ต่อไปนี้
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๖๐๐ วันอาทิตย์ที่
๒ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง "UVCE case 2 TOC 2539(1996)" และ
สำหรับเรื่องการป้องกันไม่ให้น้ำมันที่รั่วไหลลงระบบท่อระบายน้ำนั้นแพร่กระจายออกไปก็ได้เคยเขียนไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๘๑๔ วันพฤหัสบดีที่
๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ เรื่อง
"Flooded drain"
๘.
เหตุการณ์นี้โชคดีที่เกิดในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดและมีผู้มาทำงานไม่มาก
การระเบิดเกิดจาก V306
ฉีกขาดทางด้านล่างบริเวณใกล้กับฐานตั้ง
ทำให้แรงดันส่วนใหญ่นั้นพุ่งลงพื้นและส่งชิ้นส่วน
V306
ลอยขึ้นฟ้า
ตรงนี้ในรายงานบอกว่าถ้าเป็นกรณีที่ตรงข้ามกัน
คือเกิดการฉีกขาดทางด้านบน
ซึ่งจะทำให้แรงดันนั้นกดให้ชิ้นส่วน
V306
พุ่งลงกระแทกพื้น
จะทำให้ความเสียหายมากขึ้น
และอาจทำให้ตัวห้องควบคุมได้รับความเสียหายรุนแรงมากขึ้นด้วย
(เดาว่าคงเป็นเพราะแทนที่เศษชิ้นส่วนจะลอยข้ามห้องควบคุมไป
จะเป็นการกระเด็นเข้าไปกระแทกห้องควบคุมแทน)
ตอนนี้เราก็ได้สถานที่เกิดเหตุแล้ว
ตอนต่อไปจะมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนเกิดการระเบิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น