ผมเคยนั่งฟังการบรรยายการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้แสง
ไม่ว่าจะเป็น photocatalysis
หรือการเลี้ยงสาหร่าย
สิ่งหนึ่งที่ผมพบก็คือเวลาทำการทดลองนั้นผู้ทำการทดลองมักจะเน้นไปที่
"ความเข้ม
-
Intensity"
ของแสงว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการทดลองเป็นหลัก
ไม่ค่อยจะมีการกล่าวถึง
"ความยาวคลื่น
-
Wavelength" ของแสง
ทั้ง ๆ ที่ในการทดลองเหล่านี้
"ความยาวคลื่น"
ควรจะเป็นปัจจัยที่สำคัญมากกว่า
"ความเข้ม"
ตัวอย่างเช่นในการเลี้ยงสาหร่ายในห้องทดลองนั้น
เพื่อให้การทดลองเป็นไปได้รวดเร็วภายใต้การควบคุมก็จะใช้แสงจากหลอดไฟฟ้าในการให้แสงสว่าง
ซึ่งให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ส่วนจะใช้หลอดอะไรนั้นพบว่าผู้ทำการทดลองเลือกใช้หลอดที่หาได้สะดวก
หรือไม่ก็เลือกใช้ตามงานของคนอื่น
พอเจอคำถามว่า "ถ้าใช้หลอดต่างชนิดกันแต่ให้
"ความเข้ม"
ของแสงเท่ากัน
จะมีผลต่อการทดลองหรือไม่"
ก็ไม่สามารถให้คำอธิบายได้
สำหรับคนที่ศึกษาการถ่ายรูปและได้ถ่ายรูปเป็นประจำนั้นจะพบว่าแสง
"สีขาว"
นั้นไม่เหมือนกันเสมอไป
แสงแดดที่เห็นเป็นสีขาวจะให้สีต่าง
ๆ ที่เป็นธรรมชาติ
(อันที่จริงเราใช้แสงแดดเป็นตัวอ้างอิง)
แสงสีขาวที่เราเห็นจากหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นถ้าถ่ายรูปโดยไม่ใช้แฟลชจะพบว่ามันออกโทนสีเหลือง
(รูปจะออกมาเหลือง)
พวกหลอดทังสเตน
(หลอด
day
light) ก็จะให้โทนสีขาวอีกแบบหนึ่ง
ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็ลองไปศึกษาเรื่องเกี่ยวกับ
"อุณหภูมิสี
-
Colour temperature" ดู
กลับมาที่เรื่องการเลี้ยงสาหร่าย
เราทราบกันดีว่าสาหร่ายนั้นสามารถใช้แสงแดดในการสังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโต
สาหร่ายส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันนั้นมีสีเขียว
การที่เราเห็นสีเขียวแสดงว่าเมื่อแสงอาทิตย์ส่องไปที่สาหร่าย
เฉพาะแสงสีเขียวเท่านั้นที่สามารถเดินทางมาถึงดวงตาของเรา
แสดงว่าสาหร่ายนั้นดูดกลืนแสงสีอื่นยกเว้นสีเขียว
แต่เวลาที่เราวัดความเข้มของแสงนั้นเราวัดความเข้มของแสงทุกความยาวคลื่น
แต่ในการนำไปใช้งานนั้นสาหร่ายนำไปใช้งานได้เพียงแค่ความยาวคลื่นในช่วงหนึ่งเท่านั้น
(คือช่วงที่อยู่นอกเหนือช่วงความยาวคลื่นแสงสีเขียว)
ดังนั้นถ้าเราให้แสงที่มีความเข้มเท่ากันแต่ช่วงความยาวคลื่นต่างกัน
ผลการทดลองก็มีสิทธิที่จะแตกต่างกันออกไปได้
รูปที่
๑ การดูดกลืนแสงเลเซอร์สีแดงด้วยน้ำแดง
จะเห็นว่าลำแสงสีแดงนั้นสามารถส่องผ่านทะลุน้ำแดงในขวดจากทางด้านก้นขวดไปยังฝาขวดได้
(จะเห็นด้านฝาขวดที่อยู่ในกรอบมีความสว่าง)
เช่นถ้าคนหนึ่งทำการทดลองโดยให้แสงสีแดง
ส่วนอีกคนทำการทดลองโดยให้แสงสีเขียว
ผลการทดลองของคนที่ใช้แสงสีแดงควรที่จะออกมาดีกว่าผลการทดลองของคนที่ใช้แสงสีเขียว
เพราะคลอโรฟิลล์ในสาหร่ายสามารถดูดกลืนแสงสีแดงเอาไปใช้ประโยชน์ได้
แต่คลอโรฟิลล์ไม่สามารถดูดกลืนแสงสีเขียวไปใช้ประโยชน์ได้
ศุกร์ที่แล้วบังเอิญผ่านไปทางห้องปฏิบัติการเคมี
เห็นในห้องพักมีน้ำอัดลมอยู่
๓ สี เลยคิดว่าน่าจะเอามาสาธิตให้เห็นการดูดกลืนแสงได้
ก็เลยทดลองเอา laser
pointer
สีแดงที่ใช้งานประจำมาทดลองยิงผ่านน้ำอัดลมแต่ละสีในห้องที่ค่อนข้างมืดสักนิด
และถือโอกาสถ่ายรูปมาให้ดูกัน
ในการทดลองนั้นผมเอาขวดน้ำอัดลมวางนอน
เอาด้านฝาขวด (ด้านขวาในรูป)
ยันไว้กับผนัง
จากนั้นแนบ laser
pointer เข้าที่กดขวด
(ด้านซ้ายในรูป)
ใช้มือซ้ายกดเปิดเลเซอร์
ส่วนมือขวาใช้ถ่ายรูปด้วยกล้องโทรศัพท์
ผลการทดลองกับน้ำสี ๓
สีก็ออกมาดังแสดงในรูปที่
๑-๓
ในกรณีของน้ำแดง
(รูปที่
๑)
พบว่าลำแสงเลเซอร์สีแดงสามารถวิ่งไปจนถึงฝั่งฝาขวด
โดยจากทางเข้าไปจนถึงฝาขวดนั้นมองไม่เห็นลำแสง
ที่เห็นด้านฝาขวดสว่างนั้นเพราะลำแสงเลเซอร์สีแดงกระทบและกระเจิงออกมา
รูปที่
๒ การดูดกลืนแสงเลเซอร์สีแดงด้วยน้ำส้ม
จะเห็นว่าลำแสงสีแดงค่อย
ๆ จางลงเนื่องจากถูกดูดกลืน
(เห็นเป็นลำแสงที่มีความเข้มค่อย
ๆ ลดลงจากซ้ายมาขวาในกรอบ)
รูปที่ ๓ การดูดกลืนแสงเลเซอร์สีแดงด้วยน้ำเขียว
จะมองไม่เห็นแม้แต่ลำแสงเลเซอร์สีแดง
แสดงว่าน้ำเขียวดูดกลืนแสงสีแดงเอาไว้หมดตั้งแต่ทางก้นขวด
พอเปลี่ยนมาเป็นน้ำส้มพบว่า
จะเห็นลำแสงเลเซอร์สีแดงพุ่งออกมาจากก้นขวด
(ด้านซ้ายมือในรูปที่
๒)
โดยลำแสงสีแดงจะค่อย
ๆ จางลงและหายไป โดยไปไม่ถึงฝาขวด
แสดงว่าน้ำส้มนั้นสามารถดูดกลืนแสงสีแดงได้บ้าง
แต่พอเปลี่ยนมาเป็นน้ำเขียวพบว่าจะไม่เห็นน้ำเขียวในขวดสว่างขึ้นเลย
(รูปที่
๓)
ทั้งนี้เพราะน้ำเขียวนั้นดูดกลืนแสงสีแดงเอาไว้ทั้งหมด
ในการทดลองเกี่ยวกับแสงนั้นบ่อยครั้งที่ผู้ทำการทดลองมักจะรายงานในรูป
"พลังงานแสงต่อหน่วยพื้นที่"
ซึ่งคำนวณได้จาก
((nhv)/(At))
เมื่อ
n
คือจำนวนโฟตอน
h
คือค่าคงที่ของพลังค์
v
คือความถี่
A
คือพื้นที่
และ t
คือเวลา
ดังนั้นตามสมการนี้พื้นที่ที่มีแสงความถี่สูง
(ความยาวคลื่นสั้น)
ตกกระทบ
แต่ความเข้มต่ำ (โฟตอนจำนวนน้อย)
ก็มีสิทธิที่จะมีค่าพลังงานแสงต่อหน่วยพื้นที่เท่ากับพื้นที่ที่มีแสงความถี่ต่ำ
(ความยาวคลื่นสูง)
ตกกระทบ
แต่ความเข้มสูง (โฟตอนจำนวนมาก)
และถ้าในการทดลองที่ศึกษานั้น
"ความยาวคลื่น"
เป็นตัวกำหนดว่าจะเกิดการดูดกลืนหรือไม่ดูดกลืน
การทดลองด้วยแสงที่มีความยาวคลื่นแตกต่างกัน
แม้ว่าจะมีความเข้มเท่ากัน
ก็สามารถให้ผลที่แตกต่างกันไปได้