ฉบับแรกของปีที่
๕ นี้ออกล่าช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับปัญหาพีค
NO
ของ
GC-2014
ECD & PDD ซึ่งตอนนี้หลังจากโทรคุยโทรศัพท์กับสาวน้อยหน้าบาน
(คนใหม่)
เมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมาก็คิดว่าปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เครื่อง
GC
แล้ว
แต่น่าจะอยู่ที่ระบบ tubing
ของอุปกรณ์ทดลอง
(ปัญหาเดิมกลับมาใหม่อีกครั้ง)
นอกจากนี้ยังโดยไข้หวัดเล่นงานเสียอีก
ติดจากลูกมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
จนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี
อยู่ได้ด้วยการกินยาพาราเซตามอลทีละ
๒ เม็ดทุก ๖ ชั่วโมง
วันศุกร์ที่แล้วต้องเข้าไปประชุมในห้องสำนักงานของหัวหน้าใหญ่
ห้องประชุมนี้นาน ๆ
จะโดนเรียกเข้าไปที
(ไม่จำเป็นไม่อยากจะเข้าไป
เพราะถ้าต้องไปทีไรแสดงว่ามีเรื่องปวดหัวให้ต้องทำ)
ในห้องนั้นจะมีแผนที่ทางหลวงประเทศไทยเก่า
ๆ ใส่กรอบแขวนไว้ข้างฝาอยู่ฉบับหนึ่ง
ผมเห็นมานานแล้ว
ตอนเดินออกจากห้องนั้นทีไรก็มักจะแวะหยุดดูทุกที
แผนที่ทางหลวงเก่า
ๆ
นั้นผมว่ามันบอกให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรในประเทศของเราหลายอย่าง
จากบริเวณที่เคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่หรือมีอยู่บางตา
กลับกลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อมีถนนตัดผ่าน
การตัดถนนแต่ก่อนนั้นเข้าใจว่าจะตัดไปยังชุมชนต่าง
ๆ ตอนเด็ก ๆ ไปเยี่ยมญาติทางใต้
ผู้ใหญ่ก็เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนพอชาวบ้านรู้ว่าจะมีโครงการตัดถนน
ก็จะยกที่ตัวเองให้
เพื่อที่จะได้มีถนนผ่านแถวบ้านตัวเอง
ถนนเส้นเดิมก็เลยคดไปคดมา
ถนนตามแนวเดิมนั้นจะวางแนวไปบนพื้นผิวภูมิประเทศ
ตรงไหนลงต่ำก็ต่ำตาม
ตรงไหนขึ้นสูงก็ขึ้นสูงตาม
ดังนั้นจะเห็นว่าความสูงของระดับถนนกับระดับพื้นข้างถนนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก
ในช่วงหลังการตัดถนนเปลี่ยนแปลงไป
ใช้วิธีการวางแนวให้ตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้
จะหลบโค้งเมื่อจำเป็น
ตรงไหนเป็นเนินดินสูงก็จะใช้วิธีตัดผ่านกลางให้มันเตี้ยลง
ตรงไหนเป็นที่ต่ำก็ใช้การถมให้มันสูงขึ้น
ผลออกมาก็คือใครมีบ้านที่อยู่ตรงที่เป็นเนินดินก็จะเห็นระดับพื้นดินบ้านตัวเองนั้นอยู่สูงเหนือพื้นถนนหรือไม่ก็สูงกว่าหลังคารถที่วิ่งผ่านเสียอีก
แต่ถ้าใครมีบ้านอยู่ตรงที่ต่ำก็อาจจะได้เห็นว่ารถดับพื้นถนนอยู่ระดับเดียวกับหลังคาบ้านตัวเอง
ผมมีโอกาสได้ขับรถไปเที่ยวทางใต้หลายครั้ง
ปรกติก็จะขับลงทางฝั่งอ่าวไทยและกลับทางฝั่งอันดามัน
ตอนขับลงก็จะลงไปตามถนนเพชรเกษม
(ทางหลวงสาย
๔)
ถึงแยกปฐมพรที่จังหวัดชุมพร
ก็ขับต่อไปตามทางหลวงสาย
๔๑ ลงไปทางสุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช พัทลุง
ซึ่งเป็นจุดที่ทางหลวงสาย
๔๑ มาบรรจบถนนเพชรเกษมใหม่
และต่อลงไปยังสงขลา
พอตอนกลับก็จะออกจากจังหวัดพัทลุงไปทางจังหวัดตรังตามทางถนนเพชรเกษม
จำความได้ตอนเด็ก ๆ
เคยนั่งรถจากพัทลุงไปทางตรัง
ตรงรอยต่อระหว่างสองจังหวัดนี้ถนนเพชรเกษมต้องข้ามเขาบรรทัด
เส้นทางช่วงนี้คดเคี้ยวมากจนชาวบ้านเรียกว่าถนนช่วงนี้ว่าเป็นช่วงขึ้น
"เขาพับผ้า"
(มันคดเหมือนผ้าที่เขาพับทบเอาไว้)
ด้านหนึ่งของถนนเป็นภูเขา
อีกด้านลึกต่ำลงไปมีลำธารน้ำไหลผ่าน
แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว
เพราะมีการตัดแนวถนนดังกล่าวใหม่
แต่ถ้าใครสังเกตดูข้างทางให้ดี
ๆ ก็จะพอเห็นร่องรอยของถนนเส้นเดิมหลงเหลืออยู่
(เช่นแนวถนนหรือสะพานเก่า
ถ้าไม่โดนต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนหมดเสียก่อน)
ช่วงที่ยังให้บรรยากาศเก่า
ๆ ใกล้เคียงบรรยากาศเขาพับผ้าเดิมเห็นจะเป็นทางหลวงหมายเลข
๔ ช่วงอ.ทับปุด
ถึง อ.เมือง
จ.พังงา
ถนนเส้นดังกล่าวมีคนใช้น้อยมาก
คงเพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขาและคดเคี้ยวมาก
หาช่วงที่เป็นทางตรงแทบไม่ได้เลย
รถใหญ่จะผ่านไปลำบาก
คนก็เลยไปใช้เส้น ๔๑๕
ที่ตัดผ่านป่าชายเลนกันมากกว่า
ขับรถมาหลายถนนแล้ว
(ขาดแต่ภาคอีสาน)
เส้นทางที่ชอบมากเส้นทางหนึ่งคือถนนเพชรเกษมช่วงระหว่างจังหวัดระนอง
ต่อไปยัง พังงา กระบี่ และตรัง
เพราะให้บรรยากาศที่ไม่ทำให้รู้สึกแห้งแล้ง
มีอะไรต่อมิอะไรให้ชมตลอดสองข้างทาง
ถนนไม่ตรงดิ่งเป็นทางยาวที่ทำให้ขับแล้วน่าเบื่อ
แต่สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเมารถและพวกที่ชอบขับรถเร็วแล้ว
คงจะไม่ชอบเส้นทางนี้แน่
เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นถนนสองเลนอยู่
(แต่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ายังเป็นสองเลนเหมือนเดิมหรือเปล่า
แต่ถ้าถูกขยายขึ้นเป็น ๔
เลนเมื่อใดจะรู้สึกเสียดายบรรยากาศสองข้างทางมาก
เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไปถนนเพชรเกษมถึงได้ตัดอ้อมไปมา
จากกรุงเทพพอมาถึงชุมพรที่อยู่ฝั่งอ่าวไทยก็เลี้ยวขวาไปยังจังหวัดระนอง
ไปวิ่งเลียบฝั่งอันดามันจนถึงจังหวัดตรัง
จากนั้นจึงค่อยวกกลับมาฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดพัทลุงใหม่อีกครั้ง
แต่พอได้เห็นแผนที่ฉบับนี้แล้ว
(รูปที่
๑)
ก็คิดว่าที่คำตอบที่เคยคิดไว้น่าจะถูกต้อง
จังหวัดที่อยู่ริมด้านอ่าวไทยนั้นมี
"ทางรถไฟ"
วิ่งผ่านอยู่แล้ว
นอกจากนี้ถ้าไม่ใช้รถไฟก็ยังใช้เรือเดินทางมายังกรุงเทพได้
แต่จังหวัดด้านทะเลอันดามันนั้นไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน
ถ้าจะมาเรือก็ต้องไปอ้อมที่สิงคโปร์
ดังนั้นจุดนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อตัดถนนเพชรเกษมนั้นพอตัดไปถึงชุมพรก็ให้เลี้ยวไปทางจังหวัดที่อยู่ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน
ส่วนเส้นทางจากชุมพรตรงไปยังสุราษฎ์ธานี
นครศรีธรรมราช และพัทลุง
ซึ่งก็คือทางหลวงสาย ๔๑
นั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน
ในแผนที่จะเห็นว่าทางหลวงสาย
๔๑ ทำเสร็จสมบูรณ์มาแค่ปากน้ำหลังสวน
ชุมพร จากนั้นก็เป็นแค่จุดประ
ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าความหมายคือถนนในโครงการหรือเป็นทางลูกรัง
(แต่คิดว่าน่าจะเป็นทางลูกรังมากกว่า
เพราะบ้านเกิดของคุณแม่ของผมนั้นอยู่ริมถนนเส้นดังกล่าว
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก
ๆ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยังได้เห็นทหารญี่ปุ่นนั่งรถผ่านถนนหน้าบ้าน)
ดังนั้นแต่ก่อนถ้าใครจะเดินทางไปสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราชทางรถยนต์ก็ต้องเดินทางกว่าพันกิโลเมตร
เพราะต้องขับรถไปทางชุมพร
ระนอง ลงไปถึงอ.ตะกั่วป่า
จ.พังงา
จากนั้นจึงค่อยเลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินสาย
๔๐๑ (ที่ปัจจุบันมีเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภาอยู่)
ผ่านคีรีรัฐนิคม
แล้วค่อยไปโผล่ที่อ.พุนพิน
และเข้าตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกที
ถ้าจะไปนครศรีธรรมราช
ก็ต้องขับลงต่อไปยังจังหวัดพังงา
จังหวัดกระบี่ ไปถึงอำเภอห้วยยอด
จังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อย้อนขึ้นตามทางหลวงสาย
๔๐๓ ไปยังอำเภอทุ่งสง
อำเภอร่อนพิบูลย์
แล้วค่อยเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช
นั่นเป็นอดีตที่เคยได้ยินผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง
เลยเอามาบันทึกไว้กันลืม
รูปที่
๑ แผนที่ทางหลวงสายใต้ไม่ทราบปีพ.ศ.
รู้แต่ว่าตอนนั้นทางหลวงสาย
๔๑ จากชุมพรไปยังพัทลุงพึ่งสร้างไปได้แค่อำเภอหลังสวน
ดังนั้นถ้าใครจะเดินทางโดยรถยนต์ไปยังสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราช
ต้องนั่งรถกันร่วมพันกิโลเมตรหรือมากกว่า