รูปที่
๑ เส้นทางการผลิต Vinyl
chloride
สำหรับผู้ที่เริ่มเรียนวิชาเคมีอินทรีย์มักจะคิดว่าวิชานี้เต็มไปด้วยการท่องจำ
และผู้ที่กำลังเรียน
(บางครั้งรวมไปถึงผู้สอนด้วย)
ทางวิศวกรรมเคมีจำนวนไม่น้อย
ก็มักสงสัยว่าวิชานี้เอาไปใช้ในการทำงานอย่างไร
เพราะมักจะเห็นว่ากระบวนการการผลิตสารต่าง
ๆ ในระดับอุตสาหกรรมนั้น
จำนวนไม่น้อยที่มันไม่เหมือนกับที่เขียนไว้ในตำราเคมีอินทรีย์
ส่วนตัวผมเองนั้นเห็นว่าอันที่จริงปฏิกิริยาต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนั้นต่างก็เป็นปฏิกิริยาที่ปรากฏอยู่ในตำราเคมีอินทรีย์แทบทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าเรามองออกหรือเปล่าว่าปฏิกิริยาเหล่านั้นมันอยู่ตรงไหนในหนังสือ
ด้วยเหตุนี้
Memoir
ฉบับนี้จึงขอยกตัวอย่างมุมมองที่ขยายออกมาจากตำราเคมีอินทรีย์
เพื่อที่จะให้ผู้อ่านมีภาพที่กว้างขึ้นว่าในการผลิตผลิตภัณฑ์สักอย่างนั้น
มันไปเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมใดบ้าง
โดยตัวที่เลือกมานำเสนอคือ
Vinyl
chloride ที่ใช้เป็นสารตั้นต้นในการผลิตพลาสติก
Polyvinylchloride
หรือที่เราเรียกว่าพีวีซี
(PVC)
รูปที่
๑ ข้างบนเป็นแผนผังเส้นทางการผลิต
vinyl
chloride (H2C=CHCl)
ที่เป็นไปได้ที่ผมวาดขึ้นมาให้ดูเพื่อให้เห็นภาพปฏิกิริยาต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในอุตสาหกรรมนั้น
vinyl
chloride ได้มาจากสารตั้งต้นหลักสองสองตัวด้วยกันคือจาก
acetylene
(C2H2) และ
1,2-Dichloroethane
(H2ClC-CClH2)
จากนี้เรามาลองพิจารณาดูทีละเส้นทาง
๑.
ปฏิกิริยาระหว่าง
acetylene
(C2H2)
กับ
HCl
อะเซทิลีน
(acetylene
- C2H2) สามารถทำปฏิกิริยากับแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์
(hydrogen
chloride - HCl) ได้โดยตรง
กลายเป็นไวนิลคลอไรด์ (vinyl
chloride - H2C=CHCl) ได้ในปฏิกิริยาขั้นตอนเดียวดังสมการ
HCCH
+ HCl ->
H2C=CHCl
ปฏิกิริยานี้ใช้กันในยุคแรก
ๆ ของการผลิต vinyl
chloride
ในอดีต
อุตสาหกรรมถ่านหิน (coal)
เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการถลุงเหล็กกล้า
เพราะต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงและใช้ผลิตถ่าน
coke
เพื่อใช้ในการถลุงเหล็ก
และอุตสาหกรรมหนึ่งที่ใช้เหล็กจำนวนมากได้แก่อุตสาหกรรมการต่อเรือ
การเผาไหม้ถ่าน coke
ในภาวะที่มีอากาศจำกัดร่วมกับสินแร่เหล็ก
จะทำให้เกิดแก๊ส CO
(carbonmonoxide) ซึ่งแก๊ส
CO
นี้จะเป็นตัวไปรีดิวซ์เหล็กออกไซด์ให้กลายเป็นโลหะเหล็ก
ถ้านำถ่าน
coke
ไปเผากับ
CaO
จะได้สารประกอบ
calcium
carbide (CaC2) และเมื่อนำ
calcium
carbide นี้ไปทำปฏิกิริยากับน้ำก็จะได้
acetylene
ดังนั้นในบางประเทศที่เคยมีทั้งอุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้าเพื่อการต่อเรือ
พออุตสาหกรรมต่อเรือเริ่มถดถอย
ก็ส่งผลถึงความต้องการเหล็กกล้าและการผลิตถ่าน
coke
ที่ใช้เป็นสารตั้งตั้นในการผลิต
acetylene
แต่นี้ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้การผลิต
acetylene
ด้วยกระบวนการนี้ลดน้อยลงไป
เหตุผลหลักที่ต้องการลดการใช้แก๊ส
acetylene
เป็นสารตั้งต้นก็เพราะตัวแก๊ส
acetylene
เองเป็นสารที่มีเสถียรภาพต่ำตัวหนึ่งเนื่องจากเป็นสารที่มีพลังงานในตัวสูง
(พูดตามภาษาเคมีก็คือมีค่า
enthalpy
of formation เป็นบวกที่สูงมาก)
acetylene สามารถสลายตัวได้เองพร้อมทั้งคายพลังงานความร้อนออกมา
(หรืออาจเกิดระเบิดได้)
และภายใต้ความดันที่สูงพอ
(เกิน
1
atm) ก็อาจเกิดการสลายตัวเองได้เมื่อได้รับแรงกระแทก
ถังแก๊ส acetylene
ที่เราเห็นใช้งานกันทั่วไปนั้น
acetylene
จะละลายอยู่ในอะซีโตน
(acetone
- H3C-(CO)-CH3)
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีวิธีการผลิต
vinyl
chloride จากสารตั้งต้นตัวอื่นที่มีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า
การผลิต vinyl
chloride จาก
acetylene
จึงลดลงไป
เว้นแต่ในบางประเทศที่ยังพึ่งพาถ่านหินเป็นสารตั้งต้น
(เช่นในประเทศจีน)
๒.
ปฏิกิริยาการแตกตัวของ
1,2-dichloroethane
ในตำราเคมีอินทรีย์ในบท
alkene
หรือ
organic
halide มักจะกล่าวถึงวิธีการเตรียม
alkene
จาก
organic
halide ด้วยปฏิกิริยา
dehydrohalogenation
ดังสมการ
R1R2HC-CXR3R4 ->
R1R2C=CR3R4 + HX
ดังนั้นตามปฏิกิริยานี้เราควรที่จะสามารถเตรียม
vinyl
chloride ได้จาก
1,2-dichloroethane
ดังสมการ
H2ClC-CClH2 -> H2C=CHCl
+ HCl
คำถามก็คือเราจะเตรียม
1,2-dichloroethane
ได้อย่างไร
ซึ่งถ้าเราไปเปิดตำราเคมีอินทรีย์ก็จะเห็นว่ามีปฏิกิริยาง่าย
ๆ ที่สามารถเตรียม 1,2-dichloroethane
ได้อยู่
๓ ปฏิกิริยาด้วยกันคือ
ปฏิกิริยาที่
๑ ปฏิกิริยาระหว่าง
ethane
(C2H6) กับ
Cl2
ตามตำราเคมีอินทรีย์จะบอกว่าไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวหรือ
alkane
นั้นสามารถทำปฏิกิริยากับ
halogen
เช่น
Cl2
หรือ
Br2
ได้เมื่อมีแสงหรือความร้อนกระตุ้น
โดยอะตอม halgen
จะเข้าไปแทนที่อะตอม
H
ของ
alkane
พร้อมกับการเกิดสารประกอบ
HX
(ที่เรียกว่าปฏิกิริยา
electrophilic
substitution) ดังนั้นถ้าว่ากันตามตำราแล้วเราก็ควรที่จะสามารถเตรียม
1,2-dichloroethane
จากปฏิกิริยาระหว่าง
ethane
และ
Cl2
ได้ดังสมการ
H3C-CH3
+ 2Cl2 ->
H2ClC-CClH2 + 2HCl
แต่ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาที่ไม่เลือกเกิด
กล่าวคือเราไม่สามารถควบคุมได้ว่าในแต่ละโมเลกุล
ethane
ที่ป้อนเข้าไปนั้น
อะตอม H
จะถูกแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
กี่ตำแหน่ง
และการแทนที่จะเกิดที่ตำแหน่งอะตอม
C
ตัวไหนบ้าง
(เช่นอาจเกิดการแทนที่สองตำแหน่ง
แต่เกิดที่อะตอม C
ตัวเดิม
ก็จะได้
1,1-dichloroethane แทน) ทำให้ผลิตภัณฑ์ของการทำปฏิกิริยานั้นมีหลากหลายชนิด ก่อความยากลำบากในการแยกเอาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการออกมาและการจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องการ (เช่นการหาตลาดขายหรือกำจัด)
1,1-dichloroethane แทน) ทำให้ผลิตภัณฑ์ของการทำปฏิกิริยานั้นมีหลากหลายชนิด ก่อความยากลำบากในการแยกเอาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการออกมาและการจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องการ (เช่นการหาตลาดขายหรือกำจัด)
ดังนั้นในทางปฏิบัติ
ภาคอุตสาหกรรมจึงไม่นำเอาปฏิกิริยานี้มาใช้งาน
อีกเหตุผลหนึ่งคือ
ethane
นั้นเป็นไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวที่มีอยู่ในแก๊สธรรมชาติบางแหล่งเท่านั้น
ปฏิกิริยาที่
๒ ปฏิกิริยาระหว่าง
ethylene
(C2H4) กับ
Cl2
สารประกอบอินทรีย์ที่มีพันธะคู่หรือที่เราเรียกว่า
alkene
นั้นสามารถทำปฏิกิริยากับ
halogen
เช่น
Cl2
หรือ
Br2
ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีแสงหรือความร้อนกระตุ้นเหมือนพวก
alkane
โดยในกรณีของ
alkene
อะตอม
halgen
จะเข้าไปแทรกตรงตำแหน่งพันธะคู่ตามปฏิกิริยาที่ตำราเคมีอินทรีย์เรียกว่า
electrophilic
addition เช่นในกรณีของ
ethylene
ปฏิกิริยาที่เกิดคือ
H2C=CH2
+ Cl2 ->
H2ClC-CClH2
ethylene
เป็นสารที่สามารถเตรียมได้จากไฮโดรคาร์บอนตั้งแต่
C2
ขึ้นไปโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า
thermal
cracking ซึ่งเป็นการทำให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนขนาดใหญ่ร้อนมากพอ
โมเลกุลใหญ่ก็จะแตกตัวเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
ในกรณีของ ethane
ก็อาจต้องการอุณหภูมิที่สูงมากหน่อย
(เกินกว่า
800ºC)
แต่พอเป็นไฮโดรคาร์บอนตัวที่ใหญ่ขึ้น
อุณหภูมิที่ใช้ก็จะลดลง
และถ้าเป็นไฮโดรคาร์บอนที่มีความไม่อิ่มตัวค่อนข้างสูง
(เช่นมีโครงสร้างวงแหวนอะโรมาติกเยอะ)
ก็อาจต้องมีการเติมไฮโดรเจนและใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย
ปฏิกิริยาหลังนี้เรียกว่า
hydrocracking
ethylene
เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูงกว่า
acetylene
และ
ethylene
เองยังเป็นสารตั้งต้นที่มีการผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการผลิตสารอื่นอีก
ทำให้กระบวนการผลิต
1,2-dichloroethane
จากปฏิกิริยาระหว่าง
ethylene
และ
Cl2
กลายเป็นกระบวนการผลิตหลักในปัจจุบัน
ปฏิกิริยาที่
๓ ปฏิกิริยาระหว่าง
ethylene
(C2H4) กับ
HCl
และ
O2
การผลิต
vinyl
chloride จากปฏิกิริยา
dehydrohalogenation
ของ
1,2-dichloroethane
ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงคือ
HCl
มากตามจำนวน
vinyl
chloride ที่ผลิตขึ้น
ในอุตสาหกรรมการผลิต vinyl
chloride นั้นไม่ได้ทำการแยก
HCl
ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายอีกตัวหนึ่ง
แต่หาทางนำเอา HCl
ที่เกิดขึ้นมาหมุนเวียนใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต
ในยุคแรกของการหมุนเวียนเอา
HCl
มาใช้งานใหม่ก็คือการนำเอา
HCl
มาทำปฏิกิริยากับ
acetylene
ให้กลายเป็น
vinyl
chloride โดยตรง
(ตามข้อ
๑.)
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการในยุคแรกที่พยายามลดการใช้
acetylene
ในการผลิต
vinyl
chloride โดยแบ่งไปผลิต
vinyl
chloride จากเส้นทาง
ethylene
ส่วนหนึ่ง
และนำเอา HCl
ที่เกิดขึ้นจากการแตกตัวของ
1,2-dichloroethane
มาทำปฏิกิริยากับ
acetylene
เพื่อให้ได้
vinyl
chloride ดังนั้นเมื่อเทียบกับการผลิตจากเส้นทางการใช้
acetylene
เพียงอย่างเดียวแล้ว
ที่ปริมาณการผลิต vinyl
chloride ที่เท่ากัน
เส้นทางการใช้ ethylene
ร่วมกับ
acetylene
จะใช้
acetylene
น้อยกว่า
แต่ก็ยังคงต้องใช้อยู่ดี
การหาทางนำ
HCl
มาใช้โดยไม่ต้องพึ่ง
acetylene
ประสบความสำเร็จเมือมีการพัฒนาปฏิกิริยา
oxychlorination
ขึ้นมาก
ในปฏิกิริยานี้จะนำเอา HCl
ที่ได้จากปฏิกิริยาการแตกตัวของ
1,2-dichloroethane
มาทำปฏิกิริยากับ
ethylene,
HCl และ
O2
จะได้
1,2-dichloroethane
และ
H2O
ดังสมการ
H2C=CH2
+ HCl + O2 ->
H2ClC-CClH2 + H2O
1,2-dichloroethane ที่ได้ก็จะส่งไปยังกระบวนการแตกตัวเป็น
vinyl
chloride ส่วนน้ำที่เกิดขึ้นก็จะระบายออกจากระบบ
การผลิต vinyl
chloride ในปัจจุบันจึงประกอบด้วยปฏิกิริยาที่เริ่มจาก
ethylene
ทำปฏิกิริยากับ
Cl2
โดยตรง
โดยมีปฏิกิริยา oxychlorination
นี้เป็นตัวเสริม
-
จากเกลือแกงสู่อุตสาหกรรมการผลิต
vinyl
chloride
ที่กล่าวมาจะเห็นว่าสารตั้งต้นอีกตัวหนึ่งที่ใช้ในการผลิต
vinyl
chloride คือแก๊สคลอรีน
(chlorine
- Cl2) หรือไฮโดรเจนคลอไรด์
(HCl)
แล้วแก๊สคลอรีนกับไฮโดรเจนคลอไรด์นี้ได้มาจากไหน
ในอุตสาหกรรมนั้นแก๊ส
Cl2
เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตโซดาไฟ
(caustic
soda หรือ
NaOH)
ในการผลิตโซดาไฟนี้จะนำเอาเกลือแกง
(NaCl)
มาละลายน้ำ
แล้วใช้ไฟฟ้าแยกสารละลายเกลือแกงนี้ในกระบวนการที่เรียกว่า
chloralkali
process
เกลือที่ใช้จะนิยมใช้เกลือสินเธาว์เพราะมึความบริสุทธิ์สูงกว่าเกลือทะเล
ที่ขั้วลบจะเกิดแก๊ส Cl2
และที่ขั้วบวกจะเกิดแก๊ส
H2
ส่วนสารละลายก็จะกลายสภาพจากน้ำเกลือเป็นสารละลาย
NaOH
แทน
ถ้านำเอาแก๊ส
H2
และ
Cl2
ที่เกิดขึ้นมาเผาร่วมกัน
(แบบเดียวกับการเผา
H2
กับอากาศ)
ก็จะได้แก๊ส
HCl
ตำราเรียนเคมีอินทรีย์เกือบทั้งหมดที่เห็นเขียนกันขึ้นมานั้น
ผมเห็นว่าเขียนขึ้นจากมุมมองของนักเคมีเป็นหลัก
ปฏิกิริยาจำนวนไม่น้อย
(หรือเกือบทั้งหมด)
ที่ปรากฏในตำรา
มักจะปฏิบัติได้ง่ายในห้องปฏิบัติการ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นการเตรียมสารในปริมาณไม่มาก
ไม่ได้ใช้อุณหภูมิและความดันสูง
(เกิดจากขีดจำกัดของอุปกรณ์ที่ใช้ซึ่งมักเป็นพวกเครื่องแก้ว)
และไม่ได้คำนึงถึงผลิตภัณฑ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้นว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป
ซึ่งแตกต่างจากการผลิตในอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีข้อจำกัดมากทางด้านอุปกรณ์
(อุณหภูมิและความดันไม่ใช่ปัญหา)
แต่ต้องคำนึงถึง
ต้นทุนวัตถุดิบ แหล่งที่มา
การจัดการกับผลิตภัณฑ์ข้างเคียง
(จะขายหรือจะทิ้งอย่างไร)
และการทำงานกับสารอันตรายในปริมาณมาก
(อันตรายจากการรั่วไหลและการระเบิด)
และนี่คงเป็นหนึ่งในความแตกต่างระหว่างนักเคมีและวิศวกรเคมี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น