เห็นช่วงนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเห็นว่าคำสั่งหรือประกาศใด
ๆ ของรัฐบาลที่ได้อำนาจมาโดยการยึดอำนาจจากผู้ปกครองเดิมนั้น
เป็นคำสั่งหรือประกาศที่ไม่ชอบธรรม
ก็ทำให้นึกสงสัยว่าเขาเหล่านั้นคงเห็นว่า
"พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
พุทธศักราช ๒๔๗๕"
และ
"รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม
พุทธศักราช ๒๔๗๕"
ก็เป็นกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมด้วย
เพราะว่าเป็นกฎหมายที่คณะผู้ที่ทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากผู้ปกครองเดิมนั้นเป็นผู้เขียนขึ้น
ผมเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางกฎหมายหรือรัฐศาสตร์โดยตรง
แต่จากที่ผ่านมานั้นก็เห็นว่าโดยปรกติแล้วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองประเทศ
อาจจะด้วยการใช้กำลังยึดอำนาจก็ตาม
ถ้าผู้ที่เข้ายึดอำนาจนั้นสามารถตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและทำการปกครองประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวได้
กฎหมายต่าง ๆ
ที่ออกโดยรัฐบาลชุดใหม่นั้นก็ถือว่าชอบตามกฎหมายและยังมีผลบังคับใช้
จนกว่าจะมีการประกาศยกเลิก
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในบ้านเราในปัจจุบันคือ
"ประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๒๕๓"
ลงวันที่
๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๑๕
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ
หน้า ๑๐ เล่มที่ ๘๙ ตอนที่
๑๗๔ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๑๕
ซึ่งต่อไปจะขอเรียกสั้น ๆ
ว่า "ประกาศฉบับที่
๒๕๓"
ในวันที่
๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๑๔
จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่ง
"นายกรัฐมนตรี"
ในขณะนั้น
ได้ทำการ "ปฏิวัติ"
ยึดอำนาจรัฐบาลของตนเอง
และตั้ง "คณะปฏิวัติ"
ขึ้นมาปกครองประเทศ
คณะปฏิวัติดังกล่าวได้ออกประกาศมาหลายฉบับ
ฉบับหนึ่งยังคงมีผลบังคับใช้ในปัจจุบันคือฉบับที่
๒๕๓ (มีสถานะเทียบเท่าพระราชบัญญัติ)
ที่กำหนดเวลาจำหน่ายสุราไว้ระหว่างระหว่างสองช่วงเวลาคือ
๑๑.๐๐
น.
- ๑๔.๐๐
น.
และ
๑๗.๐๐
น.
- ๒๔.๐๐
น.
ผมไม่รู้ว่าการเข้มงวดกวดขันเวลาจำหน่ายสุรานั้นมีต่อเนื่องยาวนานเท่าใด
แต่ที่เห็นมาแต่เด็กก็คือการซื้อขายสุราก็ทำได้ตลอดเวลา
เรียกว่าอยากจะซื้อเมื่อใดก็ทำได้
จนกระทั่งวันอังคารที่
๑๔ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๔๗
การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่
ณ ห้องประชุมสุพรรณิการ์
อาคารหลักศิลา มหาวิทยาลัยรามคํแหง
วิทยาเขตตรัง "พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร"
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
หนึ่งในมติคณะรัฐมนตรีได้แก่
การเห็นชอบกํหนดมาตรการควบคุมการบริโภคสุราและยาสูบตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้
๑.
ห้ามจำหน่ายสุราและยาสูบให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า
๑๘ ปีบริบูรณ์
๒.
ระยะเวลาในการจำหน่ายสุราควรกำหนดให้สอดคล้องกับนโยบายการแก้ปัญหาสังคมตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่
๒๕๓ ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน
๒๕๑๕ โดยกำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตขายสุราประเภทขายปลีก
(ประเภทที่
๓ และประเภทที่ ๔)
ขายสุราเฉพาะตั้งแต่เวลา
๑๑.๐๐
น.
ถึง
๑๔.๐๐
น.
และตั้งแต่เวลา
๑๗.๐๐
น.
ถึงเวลา
๒๔.๐๐
น.
๓.
ไม่อนุญาตให้จําหน่ายสุราในบริเวณสถานศึกษาและศาสนสถาน
ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๑ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ตรงนี้ขอตั้งประเด็นไว้ให้เป็นที่สังเกต
๒ ข้อคือ
(ก)
มติออกมาวันที่
๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๗ แต่ให้มีผลบังคับใช้
"ย้อนหลัง"
ไปตั้งแต่วันที่
๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
ตรงนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าในทางกฎหมายทำไมต้องบอกว่า
"ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่
..."
ในเมื่อประกาศฉบับที่
๒๕๓ ยังมีผลบังคับใช้อยู่
(ข)
มตินี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลในยุคนั้นก็ยอมรับว่า
"ประกาศคณะปฏิวัติ"
นั้นเป็นกฎหมาย
และเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตาม
เพราะว่ายังไม่มีการยกเลิก
แม้ว่ารัฐบาลที่เป็นผู้ออกประกาศดังกล่าวจะมาจากการ
"ปฏิวัติ"
ก็ตาม
ต่อมาเมี่อไม่นานนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่
๔ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๕๕
เริ่มเวลา ๙.๐๐
น ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี
ชั้น ๒ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ทำเนียบรัฐบาล "นางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร"
นายกรัฐมนตรี
เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
หนึ่งในมติการประชุมนั้นคือการให้ความเห็นชอบ
"ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น
พ.ศ.
...."
ที่มีสาระสำคัญคือให้ยกเลิกกฎหมายที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องบังคับใช้อีกต่อไปจำนวน
๙ ฉบับ
๑
ในกฎหมาย ๙ ฉบับที่จะถูกยกเลิกคือ
"ประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๒๕๓"
ทั้งนี้เนื่องจากพระราชบัญญัติสุรา
พ.ศ.
๒๔๙๓
และพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
พ.ศ.
๒๕๕๑
มีเนื้อหาครอบคลุมเอาไว้หมดแล้ว
"ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น
พ.ศ.
...." นี้ผมเข้าใจว่าในขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การประชุมของรัฐสภา
ดังนั้นจึงยังไม่น่าจะมีผลบังคับใช้
และประกาศฉบับที่ ๒๕๓
น่าจะยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
ข้อมูลล่าสุดที่ผมค้นได้ปรากฎในเว็บของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
(http://www.lrct.go.th/?p=6886)
กล่าวแต่เพียงว่าในวันที่
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
คณะทำงานได้มีการเชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นร่างกฎหมายดังกล่าวแค่นั้นเองเพื่อรวบรวมความเห็นนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายต่อไป
แต่มติคณะรัฐมนตรีทั้งสองมติก็เป็นตัวอย่างหลักฐานยืนยันได้ว่า
รัฐบาลทั้งสองชุดนั้นยอมรับว่าคำสั่งหรือประกาศใด
ๆ ที่ออกมาโดยผู้ที่มีอำนาจในการปกครองในขณะนั้น
แม้จะได้อำนาจมาโดยการปฏิวัติก็ตาม
ถือได้ว่าชอบด้วยกฎหมายและต้องพึงปฏิบัติตาม
จะมาอ้างว่าการปฏิบัติตามคำสั่งหรือประกาศเหล่านั้นเป็นการกระทำที่มิชอบไม่ได้
และประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้นยังคงมีผลบังคับใช้อยู่จนกว่าจะมีการออกกฎหมายอื่น
(และต้องมีสถานะที่ไม่ต่ำกว่า)
มายกเลิก
เพราะรัฐบาลทั้งสองชุดนั้นก็นำประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่
๒๕๓ มาบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น