วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๒๐ การทิ้งระเบิดสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว MO Memoir : Tuesday 3 July 2555


ชาวยุโรปเป็นพวกที่ชอบบันทึกเหตุการณ์ ทำให้บ่อยครั้งหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปรกติที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราในอดีตต้องไปหาอ่านจากบันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยในสมัยนั้น

ในการอ่านสิ่งที่ชาวต่างชาติเขียนนั้น ต้องแยกเป็นสิ่งที่เขาเห็นหรือสัมผัสจริง สิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่นหรือผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ และสิ่งที่เขาสรุปเอาโดยใช้ภูมิหลังทางสังคมของเขาเอง

Memoir ฉบับนี้เลยขอย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และมีการนำเอาสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนต์ ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่าเนื้อหาในภาพยนต์นั้นไม่ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักสถานที่ดังกล่าว ซึ่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควที่เคยได้เล่าไปแล้ว คราวก่อนนั้นเป็นเรื่องของการสร้าง (Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๔๔ วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๑๗ สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควมีสองสะพาน) คราวนี้เป็นเรื่องของการทำลายดูบ้าง

รูปที่ ๑ หนังสือเรื่อง "Burma Road" เขียนโดย Donovan Webster และแผนที่เส้นทาง Burma Road (ในกรอบสีน้ำเงิน) อันที่จริง Burma Road มี ๒ ส่วนคือส่วนจากเมือง Ledo ในอินเดียมาจนถึงพรมแดนจีนในพม่าจะชื่อ Ledo Road และส่วนจากพรมแดนพม่าเข้าไปในจีนจะเรียก Burma Road
(รูปแผนที่เอามาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Burma_and_Ledo_Road_1944_-_1945.jpg

ผมไปได้หนังสือเล่มข้างบนจากร้านหนังสือลดราคาที่อยู่ชั้นใต้ดินอาคารจัตุรัสจามจุรี หลังจากอ่านประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ภาคพื้นยุโรปตะวันออกมาหลายเล่มแล้วก็เลยลองเปลี่ยนมาอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมรภูมิที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงเท่าไรนัก แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมาก นั่นก็คือสมรภูมิในพม่า

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทยเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปบุกมาเลเซียและพม่าของอังกฤษนั้น สงครามทางด้านมาเลเซียจบลงอย่างรวดเร็วเมื่อกองทัพญี่ปุ่นยึดสิงคโปร์ได้ ส่วนสงครามในประเทศพม่านั้นยังยืดเยื้ออยู่เพราะกองทัพอังกฤษหลบหนีเข้าไปในเขตอินเดีย ทำให้บริเวณป่าดงดิบบริเวณชายแดนระหว่างพม่ากับอินเดียนั้นเป็นบริเวณที่อาจเรียกได้ว่าไม่มีกองกำลังฝ่ายใดมีอำนาจยึดครองเต็มที่

สหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมรบกับอังกฤษเพื่อทำสงครามกับญี่ปุ่นนั้นมองไม่เห็นเหตุผลใดที่จะช่วยอังกฤษรบเอาชนะญี่ปุ่นเพื่อให้อังกฤษได้พม่าที่เป็น "ประเทศเมืองขึ้น" ของอังกฤษกลับไปปกครองเหมือนเดิม เพราะจะว่าไปการกระทำของอังกฤษที่ส่งกองทัพเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับกองทัพของฮิตเลอร์ที่ส่งกองทัพเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเช่นเดียวกัน แต่อเมริกาก็ยังจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นเข้าครอบครองพม่าเอาไว้ทั้งหมด สาเหตุก็เพราะ ........

อันที่จริงสงครามโลกครั้งที่สองด้านเอเซียอาจเรียกได้ว่าเกิดก่อนทางยุโรปถึง ๘ ปี คือเริ่มจากการที่กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศจีนในปีค.ศ. ๑๙๓๑ (พ.ศ. ๒๔๗๔) และเริ่มขยายอาณาเขตในประเทศจีนออกไปเรื่อย ๆ ผลการกระทำดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งทางการฑูตกับมหาอำนาจตะวันตกที่เคยมีบทบาทอยู่เดิมในย่านเอเซียตะวันออกว่าญี่ปุ่นจะเข้ามามีบทบาทแทน จนนำไปสู่การปิดกั้นทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การส่งกองเรือไปโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาเบอร์ในเดือนธันวาคมปีค.ศ. ๑๙๔๑ (พ.ศ. ๒๔๘๔) พร้อม ๆ กับการส่งกำลังเข้ายึดดินแดนต่าง ๆ ทางเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ในปีค.ศ. ๑๙๔๑ นี้ ผู้แสดงนำของสงครามโลกครั้งที่สองถ้าเป็นภาพพื้นยุโรปก็มีการเปลี่ยนผู้แสดงหลักจากระหว่างเยอรมันกับอังกฤษเป็นระหว่างเยอรมันกับสหภาพโซเวียตแทน (เมื่อเยอรมันบุกรัสเซียในเดือนมิถุนายนในยุทธการ Barbarossa) และด้านภาพพื้นเอเซียก็มีการเปลี่ยนจากญี่ปุ่นกับจีนเป็นญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกาแทน

ในการรบกับญี่ปุ่นนั้น สหรัฐอเมริการู้ดีว่าสงครามจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อกองทัพสหรัฐฯ สามารถยกพลขึ้นบกได้ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่การจะยกพลขึ้นบกได้นั้นจำเป็นต้องมีฐานที่มั่นที่อยู่ใกล้กับเกาะญี่ปุ่นก่อน ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่ ๒ แนวทางคือ ผ่านทางเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก หรือไม่ก็ใช้จีนแผ่นดินใหญ่เป็นฐาน

ในช่วงแรกนั้นเมื่อยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางใด สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นบนแผ่นดินใหญ่จึงมีความสำคัญต่อการทำสงครามของสหรัฐอเมริกา เพราะตราบเท่าที่จีนอยู่ในสงคราม กองทัพญี่ปุ่นก็ต้องคงกองกำลังจำนวนมากเอาไว้ในจีน ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายกองกำลังเหล่านี้ไปรบกับสหรัฐอเมริกาในสมรภูมิภาคพื้นแปซิฟิก และถ้าหากกองทัพจีนสามารถเอาชนะกองทัพญี่ปุ่นได้ สหรัฐอเมริกาก็จะสามารถใช้จีนแผ่นดินใหญ่เป็นฐานเพื่อบุกประเทศญี่ปุ่นได้

เพื่อให้กองทัพจีนสามารถยันกองทัพญี่ปุ่นเอาไว้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการลำเลียงยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไปให้จีนโดยใช้ฐานที่มั่นของอังกฤษในอินเดีย ขนส่งทางเครื่องบินบินข้ามภูเขาหิมาลัย ซึ่งเรียกว่าแทบจะเกินความสามารถของเครื่องบินในยุคนั้น (นักบินพวกนี้เรียกตัวเองว่า Hump pilot) อีกแนวความคิดหนึ่งก็คือการสร้างถนนจากอินเดีย ตัดผ่านบริเวณภูเขาตอนเหนือของประเทศพม่า และเข้าไปยังจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "Burma Road" 
 
(ตอนนั้นญี่ปุ่นยึดเมืองท่าต่าง ๆ ของจีนและแนวฝั่งทะเลจากญี่ปุ่นลงมาถึงอินโดนีเซียก็ถูกญี่ปุ่นคุมเอาไว้หมด เส้นทางไปอินเดียจากสหรัฐต้องเริ่มจากสหรัฐอเมริกา ลงไปทางอเมริกาใต้ แล้วจึงเข้าแอฟริกา จากนั้นจึงมายังตะวันออกกลางและเข้าสู่อินเดียอีกที)

ถึงแม้ว่าในช่วงถัดมาทางสหรัฐอเมริกาจะตัดสินใจเลือกว่าจะบุกประเทศญี่ปุ่นโดยการเข้ายึดเกาะต่าง ๆ ที่อยู่รอบประเทศญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นสำหรับยกพลขึ้นบก (น่าจะเป็นเพราะทนไม่ไหวกับการคอรัปชั่นของผู้นำทัพจีน เพราะไม่ยอมส่งสิ่งของให้ลูกน้องสู้รบ ด้วยกลัวว่าลูกน้องจะมีกำลังเหนือตน) แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องคงความสามารถของกองทัพจีนให้รบกับกองทัพญี่ปุ่นได้เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนย้ายกองกำลังในจีนไปรบกับสหรัฐ ในขณะเดียวกันกองทัพสหรัฐอเมริการ่วมกับกองทัพจีนก็ช่วยกันกดดันกองทัพญี่ปุ่นลงมาจากทางเหนือของประเทศพม่า ในขณะที่กองทัพอังกฤษซึ่งใช้ทหารอินเดียเป็นหลักก็กดดันกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า

บรรยากาศการถอยหนีของกองทัพญี่ปุ่นนั้นเรียกว่าสยดสยองมาก ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ก็จะถูกปล่อยทิ้งเอาไว้หรือไม่ก็ฉีดยาให้ตายเพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเชลย หรือไม่ก็ได้รับแจกลูกระเบิดมือเพื่อให้ฆ่าตัวตาย (วิธีที่นิยมทำกันคือนั่งกอดคอหรือล้อมวงกันแล้วดึงสลักลูกระเบิดที่ถือเอาไว้กลางวง)
ในขณะเดียวกันก็มีการตัดการส่งกำลังบำรุงของกองทัพญี่ปุ่นด้วยการทิ้งระเบิดทำลายสะพานข้ามแม่น้ำต่าง ๆ ในประเทศพม่า รวมถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควในประเทศไทย

เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นไม่มีสินแร่เหล็กที่เป็นวัตถุดิบ ในการสร้างสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำแควนั้นจึงต้องใช้วิธีรื้อเอารางและโครงสร้างเหล็กจากเส้นทางรถไฟที่ไม่ใช้ประโยชน์หรือเห็นว่าไม่ประโยชน์สำหรับทางทหารมาใช้ ในการทิ้งระเบิดถล่มสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นทางกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาใช้วิธีบินจากฐานทัพในอินเดีย เลียบตามชายฝั่งทะเล (หลบปืนต่อสู้อากาศยาน) เพื่อมาทิ้งระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำแคว จากนั้นก็บินกลับ

สะพานข้ามแม่น้ำแควคงจะถูกทิ้งระเบิดทำลายหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่ครั้ง แต่เมื่อถูกทำลายลงไปก็ถูกซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิมทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายในวันจันทร์ที่ ๒ เมษายนปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 บินโดยนักบินอายุ ๒๐ ต้น ๆ ชื่อ Charles F. Linamen นำเครื่องบินทิ้งระเบิดสะพานเหล็กขาดไปสองช่วงสะพาน ซึ่งทำให้สะพานเหล็กต้องปิดการถาวรอย่างสิ้นเชิงเพราะญี่ปุ่นไม่มีเหล็กที่จะนำมาซ่อมสะพาน (ดูมุมบนซ้ายหน้า 302 ของหนังสือ)

แต่ก็ยังมีสะพานไม้ที่อยู่ห่างออกจากสะพานเหล็กไปเพียง ๑๐๐ เมตรยังคงอยู่ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นในวันอังคารที่ ๓ เมษายนปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ด้วยเครื่องบินลำเดิมและนักบินชุดเดิมก็ได้รับหน้าที่ให้กลับไปทำลายสะพานไม้อีก ตามแผนการนั้นจะมีการบินวนทิ้งระเบิดหลายรอบ โชคดีที่การบินวนทิ้งในรอบแรกนั้นลูกระเบิดลงเป้าหมายพอดี (ในหนังสือบอกว่าเข้าตรงกลางเป้า คือระหว่างกลางรางรถไฟสองรางบนสะพาน) ทำให้สะพานไม้ใช้งานไม่ได้ไปอีกสะพาน (ดูมุมล่างซ้ายหน้า 303 ของหนังสือ) การบินวนทิ้งในรอบที่สองและสามนั้นไม่เข้าเป้าหมาย แถมเครื่องบินถูกยิงได้รับความเสียหายในการวนรอบที่สามเสียอีก

ความเสียหายดังกล่าวทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินกลับฐานได้ ต้องร่อนลงฉุกเฉิน แต่ก็โชคดีที่เป็นการร่อนลงในเขตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอังกฤษ

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสแวะไปที่ร้านหนังสือดังกล่าว ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้ที่เคยเห็นวางขายเอาไว้หลายเล่มกลับไม่มีเหลือแล้ว ก็เลยถือโอกาสสแกนเอาเฉพาะหน้าที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เล่ามาข้างต้นมาให้อ่านกันเล่น ๆ เป็นตัวอย่าง เกรงว่าถ้าทำมากกว่านี้จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ไป

รูปที่ ๒ ประวัติของนักบินเล่าไว้ในหน้าที่ 299

รูปที่ ๓ ในหน้า 301 กล่าวถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควที่เป็นสะพานไม้และสะพานเหล็กทั้งสองสะพาน

รูปที่ ๔ เหตุการณ์ช่วงทิ้งระเบิดสะพานเหล็ก (หน้า 302) และทิ้งระเบิดสะพานไม้ (หน้า 303)