วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ Appendix ที่ไม่ใช่ภาคผนวก MO Memoir : Sunday 21 July 2556

หายหน้าหายตาไปกว่าอาทิตย์ด้วยสาเหตุที่ใครต่อใครหลายคนได้ทราบกันดีอยู่แล้ว และต้องขอขอบคุณในน้ำใจที่อุตส่าห์เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจถึงโรงพยาบาล วันนี้หลุดออกจากชั้น ๙ ของโรงพยาบาลที่แวดล้อมไปด้วยนางฟ้าชุดขาวมานอนพักผ่อนที่บ้านได้แล้ว ก็ขอเล่าบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ครั้งนี้เอาไว้สักหน่อย

ผมเริ่มมีอาการปวดท้องตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว ตอนเช้าวันศุกร์ตอนขับรถออกจากบ้านเพื่อจะไปร่วมงานรับปริญญาสมาชิกของกลุ่มที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรผมยังไม่มีอาการใด ๆ ระหว่างทางก็เกิดการปวดท้องขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้า เพราะปรกติจะกินข้าวเช้าก่อนออกจากบ้าน แต่ช่วงเวลานั้นทางบ้านมีเรื่องวุ่น ๆ ผมก็เลยกะว่าจะมากินที่ทำงานแทน ถึงที่ทำงานได้กินข้าวเช้าแล้วอาการก็ยังไม่หาย แถมยังมีอาการอาเจียนอีก ตอนสายก็เลยไปหาหมอที่หน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัย อาการตอนแรกนั้นมันปวดไปทั่วทั้งช่องท้อง หมอก็เลยสงสัยว่าคงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ก็เลยให้ยามารับประทาน อันที่จริงผมก็เคยมีอาการแบบเดียวกันเช่นนี้มาก่อน ก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร กินยาเข้าไปแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น พอบ่ายสองก็เลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านก่อนรถจะติด

ค่ำวันนั้นภรรยาเดินทางจากกลับต่างจังหวัด มาเห็นอาการผมแล้วก็ทักผมแล้วว่าสงสัยจะเป็นไส้ติ่ง ผมก็บอกไปว่าไปหาหมอมาแล้วแต่หมอบอกว่าเกี่ยวกับกระเพาะ และตอนนั้นเวลากดที่สีข้างด้านขวามันก็ไม่ได้เจ็บแตกต่างไปจากการกดที่ตำแหน่งอื่นเท่าใดนัก ก็เลยนอนพักอยู่ที่บ้านจนวันเสาร์ อาการตอนเช้าวันเสาร์นั้นอาการที่มันเคยปวดทั่วท้องมันหายไป เหลือปวดอยู่เพียงบางบริเวณเท่านั้นก็เลยคิดว่าอาการมันคงจะดีขึ้น และมีอาการปวดเป็นพัก ๆ ตอนแรกภรรยาก็มาทักแล้วว่าให้พักอยู่บ้านหรือไม่ก็ไม่หาหมอให้ตรวจไส้ติ่ง แต่ก็ยังดันทุรังยังอุตส่าห์ขับรถไปส่งลูกไปเรียนภาษาตอนเช้า แล้วมานอนพักผ่อนรอสอนตอนนิสิตภาคนอกเวลาในช่วงบ่ายอีก ปรากฏว่าสอนได้เพียงชั่วโมงเศษอาการปวดชายโครงล่างด้านขวามันกำเริบถี่ขึ้น ก็เลยต้องเลิกสอนกลางคัน ขับรถกลับบ้าน และให้ทางบ้านส่งโรงพยาบาลในเย็นวันนั้น ทางภรรยาผมก็จัดเตรียมกระเป๋าเพื่อมานอนค้างที่โรงพยาบาลด้วยเลย (ด้วยความมั่นใจแน่นอนว่าผมต้องโดนขึ้นเขียงและไม่ได้กลับบ้านแน่)

พี่ชายขับรถมาส่งให้ที่โรงพยาบาล ส่งตรงหน้าแผนกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินเลย สิ่งแรกที่โดยตอนขั้นตอนปรกติก็คือวัดไข้และความดัน แพทย์ประจำแผนกมาตรวจ ซักถามอาการ แล้วก็ลองกดที่ตำแหน่งต่าง ๆ ของท้องดู พร้อมถามว่าเจ็บไหม กดตรงไหน ๆ ก็ไม่เจ็บ แต่พอมาถึงชายโครงล่างด้านขวาเท่านั้นแหละ หน้าเบี้ยวเลย พอเห็นอาการเช่นนี้เข้าสิ่งที่คุณหมอทำก็คือ "กดซ้ำที่เดิมอีกพร้อมทั้งถามอีกว่าเจ็บไหม" ผมก็ตอบกลับไปว่าเจ็บมาก คุณหมอก็เลยกดซ้ำที่เดิมอีกเป็นครั้งที่สามพร้อมทั้งถามคำถามซ้ำเดิมอีก พอได้คำตอบเดิมก็หยุดกด (สงสัยต้องการมติ ๓ ใน ๕) จากนั้นก็หันไปสั่งเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะ พร้อมทั้งถามว่ากินน้ำกินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อใด ได้ยินคำถามเช่นนี้ก็มั่นใจแล้วว่าโดนผ่าแน่ ส่วนเวลาที่จะโดนผ่านั้นคงจะไม่เร็วกว่าเวลาที่กินน้ำกินอาหารครั้งสุดท้ายบวกไปอีก ๖ ชั่วโมง จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่นำไปนอนรอในห้องพักชั้น ๙ พร้อมทั้งสั่งงดอาหารและน้ำ เพื่อรอผ่าตัดในคืนนั้น ระหว่างนั้นก็จะยังไม่มีการให้ยาแก้ปวดใด ๆ

สามทุ่มครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็มารับตัวพาไปห้องผ่าตัดที่ชั้น ๓ ภรรยาก็ตามมาส่งได้แค่ถึงหน้าห้องผ่าตัดแล้วก็กลับไปรอบนห้องพัก ตอนเข้าไปในห้องผ่าตัดนี้ต้องมีการเปลี่ยนรถเข็นจากรถที่พามาจากห้องพักเป็นรถพาเข้าห้องผ่าตัด ผ่านเข้าไปในห้องรอคอยการผ่าตัดก็มีการสวมหมวกคลุมผมก่อน จากนั้นก็มีวิสัญญีแพทย์หญิงมาแนะนำตัวและทักทายว่าจะทำอะไรบ้าง พร้อมทั้งขอตรวจ "ฟัน" ในปาก ถามว่ามีการใส่ฟันปลอมหรือครอบฟันที่ไม่ติดแน่นบ้างไหม ขอดูฟันเสร็จก็บอกว่าอาจมีปัญหาในการสอดท่อเล็กน้อย (เข้าใจว่าเป็นท่อช่วยหายใจที่สอดเข้าทางปาก) แต่หมอจะพยายามไม่ให้เจ็บและจะไม่ทำให้ฟันบิ่น เรื่องตรวจฟันนี้พอจะเข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะถ้าการเรียงตัวของฟันมีปัญหาก็จะทำให้สอดท่อได้ยาก เรื่องนี้ผมโดนภรรยาขู่เอาไว้เยอะก่อนผ่าตัด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมโดนผ่า ระหว่างเส้นทางพอเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รับตัวแต่ละครั้งก็จะมีการถามซ้ำคำถามเดิม ๆ คงเป็นเพื่อการยืนยันว่ารับคนไข้ไม่ผิดตัว

พอห้องผ่าตัดพร้อมเจ้าหน้าที่ก็เข็นรถเข้าไปในห้องผ่าตัด ก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายอีก จากรถเข็นเป็นเตียงผ่าตัด เตียงผ่าตัดเป็นเตียงเล็ก ๆ พอแค่นอนได้ วางแขนข้างตัวยังไม่ได้เลย จากนั้นก็มีการเปลี่ยนชุดจากชุดคนไข้เป็นชุดผ่าตัด มีการปูผ้าอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้คลุมตัวเต็มไปหมด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เอาที่วางแขนมาเสียบเข้าข้างเตียงผ่าตัด ให้นอนกางแขนแผ่ออกไปทั้งสองข้าง แล้วก็มันแขนเอาไว้ไม่ให้หล่น มันขามัดตัวเอาไว้ไม่ให้ตกจากเตียงด้วย สักพักหนึ่งก็วิสัญญีแพทย์ก็เอาหน้ากากมาครอบที่จมูก พร้อมทั้งบอกให้หายใจเข้าลึก ๆ จำได้ว่าระหว่างที่หายใจดมยานั้นยังมองดูไฟในห้องผ่าตัดอยู่เลย แล้วก็วูบไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ในห้องพักฟื้นหลังการผ่าตัด มองไปทางปลายเท้าก็เห็นมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฟากหนึ่งของห้อง ชำเลืองไปทางหัวเตียงข้างซ้ายก็มีเครื่องวัดอัตราเต้นหัวใจกับความดันโลหิตที่มีการวัดเป็นพัก ๆ (รู้จากแรงบีบที่แขนข้างซ้าย) มีท่อคาอยู่ในรูจมูกข้างซ้ายและมีถุงระบายอยู่ที่หน้าท้องข้างขวา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาทักทายถามว่าเป็นยังไงบ้าง ตอนนั้นรู้อยู่อย่างเดียวว่าอาการปวดท้องนั้นหายไปแล้ว ลุ้นแต่ว่าจะมีอาการปวดแผลกำเริบขึ้นแทนหรือเปล่า นอนอยู่ในห้องนั้นนานเท่าใดไม่ทราบ รู้แต่ว่าพอกลับไปถึงห้องพักอีกทีก็เที่ยงคืนแล้ว มาทราบในตอนเช้าจากภรรยาว่าใช้เวลาผ่าตัวประมาณชั่วโมงเดียว พอผ่าตัดเสร็จคุณหมอผ่าตัดก็ให้คนโทรเรียกให้ลงไปดูไส้ติ่ง คุณหมอตัดใส่ขวดเล็ก ๆ มาให้ดูพร้อมกับบอกว่าไส้ติ่งแตก (ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ผมคิดว่าเหมือนอู่ซ่อมรถเลย ที่ต้องเอาชิ้นส่วนเก่ามาให้ดูว่ามีการถอดเปลี่ยนจริง) ผมได้ยินอย่างนี้เข้าก็รู้แล้วว่าได้อยู่โรงพยาบาลนานแน่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ยังรอดมาได้ ระหว่างผ่าตัดคุณหมอถ่ายรูปเอาไว้ด้วย เป็นรูปตอนดึงไส้ติ่งที่เป็นปัญหาออกมา และเป็นรูปเจ้าตัวปัญหาที่ตัดออกมาแล้ว ก็เลยเอามาลงบันทึกไว้ในที่นี้

รูปที่ ๑ รูปนี้คุณหมอเอามาให้ดูหลังการผ่าตัด ตรงที่วงกลมเหลือภรรยาผมบอกว่านั้นเป็นรูที่มันแตกทะลุ 


รูปที่ ๒ ไส้ติ่งเจ้าปัญหาที่ตัดออกมา

เนื่องจากมีปัญหาไส้ติ่งทะลุ ทำให้ยังไม่สามารถเย็บแผลผ่าตัดได้ ต้องเปิดแผลเอาไว้ก่อนเพื่อระบายเอาของเหลวในช่องท้องออกก่อน และยังมีการใส่ผ้าก๊อซซับของเหลวเอาไว้ในแผลด้วย ระหว่างพักฟื้นนี้คุณหมอที่ทำการผ่าตัดก็มาทำความสะอาดและตรวจบาดแผลให้วันละครั้งตอนค่ำ กว่าที่คุณหมอจะตัดสินใจเย็บแผลก็เย็นวันอังคาร

วันแรกที่ออกมานั้นยังต้องงดน้ำและอาหาร ริมฝีปากแห้งมาก เรื่องหิวนั้นไม่รู้สึกหิวเพราะวันมีน้ำเกลือ (+ น้ำตาล) ให้ตลอดทั้งวันทั้งคืน แถมบางช่วงเวลายังมียาปฏิชีวนะเสริมร่วมอีก ช่วงนี้ก็ได้ภรรยาช่วยเอาน้ำใส่หลอดกาแฟมาหยดให้ที่ริมฝีปากเพื่อไม่ให้มันแห้งเกินไป ที่รำคาญมากก็คือท่อที่คาจมูกอยู่ ทำให้หายใจลำบากเล็กน้อย และยังมีปัญหาเรื่องเสมหะในคออีก บ้วนออกมาทีมีเลือดติดมาด้วย (คงมาจากบาดแผลที่ได้รับตอนสอดท่อในระหว่างการผ่าตัด) สิ่งแรกที่ดีใจที่คุณหมอเอาออกไปก่อนคือท่อที่สอดคาจมูกนี้ มาเอาออกไปตอนทำแผลในวันจันทร์ เอาออกไปทีรู้สึกมันโล่งขึ้นเยอะ แถมยังอนุญาตให้ดื่มน้ำได้ แต่ต้องเป็นแบบค่อย ๆ จิบ ไม่ใช่ซดเอาซะเต็มที่

อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหลังผ่าตัดคือปัสสาวะไม่ออก แม้ไม่ได้กินน้ำแต่น้ำที่เข้าไปกับน้ำเกลือก็ต้องถูกขับออกอยู่ดี ภรรยาอธิบายให้ฟังว่ายาสลบมันไปทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนหยุดการทำงาน พวกที่ฟื้นตัวช้าหน่อยจะเป็นพวกกล้ามเนื้อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย กระเพาะปัสสาวะก็เลยโดนผลกระทบไปด้วย ผลก็คือจะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ แต่จะปัสสาวะไม่ออกเพราะกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะยังไม่ฟื้นจากการวางยา ในกรณีผมอาจจะโชคดีหน่อยที่ไม่ได้เป็นการผ่าตัดใหญ่ โดยวางยาสลบเป็นเวลาสั้น ๆ ก็เลยไม่โดนใส่สายสวนปัสสาวะ พอช่วงสายวันหลังวันผ่าตัดก็ปัสสาวะได้ตามปรกติ ส่วนระบบขับถ่ายนั้นยังต้องรอไปอีก ๑-๒ วันกว่ามันจะเริ่มทำงาน

พอจะเย็บแผลก็ต้องกลับที่ห้องผ่าตัดอีก คราวนี้เป็นคนละห้องกับห้องผ่าตัดไส้ติ่ง มีการฉีดยาชารอบ ๆ แผลก่อนทำการเย็บ ตอนที่เจ็บก็ตอนฉีดยาชาที่แหละ (เจ็บเหมือนโดนฉีดยา) ที่เขาต้องฉีดไปรอบ ๆ แผล ระหว่างที่เย็บแผลคุณหมอก็ถามเป็นระยะว่าเจ็บไหม ซึ่งมันก็ไม่รู้สึกอะไร (คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาชา) แต่ท่อระบายของเหลวที่ช่องท้องยังคงเอาไว้อยู่

เย็นวันพุธคุณหมอมาดูใหม่ พอเห็นแผลที่เย็บไว้เมื่อวานก็บอกให้เผื่อใจไว้นิดนึง ว่าเผลอ ๆ อาจมีการต้องรื้อรอยเย็บทั้งหมดออกแล้วเริ่มต้นใหม่ (หมายถึงเปิดแผลเพื่อทำการระบายหนองใหม่) ภรรยาผมที่ยืนดูคุณหมอทำแผลอยู่ด้วยก็หันมาพยักหน้าให้ (ทำนองว่าให้ทำใจไว้ด้วย) เพราะแผลยังมีการซึมของน้ำเหลืองอยู่และยังดูแดงอยู่มาก ผ้าก๊อซที่ใส่ไว้ซับน้ำเหลืองนั้นพอดึงออกมาก็เห็นชุ่มไปหมด สิ่งที่คุณหมอทำก็คือตัดไหมออกเส้นหนึ่งและยัดผ้าก๊อซผืนใหม่เข้าไปแทนก่อนปิดแผล แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมาลุ้นกันต่อ

ค่ำวันพฤหัสบดีคุณหมอมาตรวจใหม่ ปรากฏว่าผลออกมาดีเกินคาด ทำให้คุณหมอประเมินว่าถ้ายังคงเป็นอย่างนี้ไม่วันเสาร์หรืออาทิตย์ก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้ พอเย็นวันศุกร์คุณหมอมาตรวจอีกทีก็บอกว่าวันรุ่งขึ้นก็ออกจากโรงพยาบาลไปนอนพักที่บ้านได้ แต่ยังต้องมาทำแผล ล้างแผล เปลี่ยนผ้าก๊อช อยู่วันละครั้ง

ผมเขียน Memoir ฉบับนี้เอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วค้างเอาไว้ เพิ่งจะมาต่อให้จบเมื่อกลับจากทำแผลที่โรงพยาบาล ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อเป็นการบันทึกประสบการณ์ของตนเอง และเป็นการเล่าประสบการณ์การโดนผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตจากมุมมองของผู้ที่เป็นผู้ป่วย

ไม่มีความคิดเห็น: