เมื่อวานได้นั่งคุยกับศิษย์เก่าที่ทำงานเป็น
process
engineer อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวมาบตาพุด
สิ่งหนึ่งที่เขาบอกกับผมคือการที่เขาที่ได้งานทำที่บริษัทนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทความที่ผมเขียนลง
blog
โดยเฉพาะเนื้อหาภาคปฏิบัติและทางด้านเครื่องกล
เพราะโดนเข้าอย่างจังตอนสอบสัมภาษณ์
(ดีใจจังเลยที่ทราบว่าสิ่งที่เขียนไปนั้นมีคนเอาไปใช้ประโยชน์ได้)
เสียดายที่ตอนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไม่ได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนและส่งให้เขาอ่าน
(คงเห็นว่ามันไม่อยู่ในเนื้อหาวิชาที่จะสอบมั้ง)
เพิ่งจะเร่งอ่านก็ตอนจะไปสอบสัมภาษณ์งานและตอนที่กำลังทำงานนี่แหละ
หน่วยงานที่เขาเข้าไปทำด้วยนั้นเป็นวิศวกรเครื่องกลเกือบทั้งหมด
มีวิศวกรเคมีเพียงแค่ ๒
คนเท่านั้นเอง
ตรงนี้ผมก็บอกกับเขาว่าจะว่าไปแล้ววิศวกรเคมีกับเครื่องกลนั้นก็เรียนคล้ายกันมาก
เนื้อหาหลาย ๆ เรื่องนั้นมันซ้ำซ้อนกันอยู่
ไม่ว่าจะเป็นพวกปั๊ม
คอมเพรสเซอร์ การทำความเย็น
ท่อ วาล์ว ฯลฯ
จะแตกต่างกันก็ตรงที่การออกแบบอุปกรณ์แยกสาร
แต่ว่าวิศวกรรุ่นหลัง ๆ
(เท่าที่เจอ
ไม่ว่าสาขาใดก็ตาม)
มักจะชอบใช้ข้ออ้างว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องในสาขาวิชาที่ฉันเรียน
และตัวอาจารย์ผู้สอนเองก็มักคิดว่ามันไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาเฉพาะทางที่เขาจบมา
(บางทีในการรับอาจารย์
ทางมหาวิทยาลัยก็ดูที่ว่าจะทำ
paper
ได้กี่ฉบับ
คือมุ้งเน้นไปที่การทำวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาเป็นหลัก
ไม่ได้เน้นว่าจะสามารถสอนเนื้อหาปริญญาตรีให้บัณฑิตที่จบนั้นไปทำงานในสภาพเจอของจริงได้หรือไม่)
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาระหว่างงานทำบุญที่วัด
ผมก็ได้พบกับญาติที่ทำงานเป็นวิศวกรโยธา
คุมงานก่อสร้าง เขาก็พูดเหมือน
ๆ กันว่าไม่ว่าวิศวกรจะจบสาขาใดก็ตาม
ก็จำเป็นต้องมีความรู้ในศาสตร์ของวิศวกรสาขาอื่นบ้าง
ไม่เช่นนั้นจะทำงานประสานกันไม่ได้
คนทำงานด้านโยธาก็ต้องรู้เรื่องไฟฟ้ากำลังบ้าง
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เข้าใจความต้องการของวิศวกรไฟฟ้า
งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเคมี
มันเป็นงานที่รวบรวมศาสตร์ทางวิศวกรรมศาสตร์หลากหลายสาขาเข้าด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นโยธา
(ที่ต้องออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน)
ไฟฟ้า
(ทั้งไฟฟ้ากำลัง
อิเล็กทรอนิกส์ และวัดคุม)
เครื่องกล
(ระบบท่อ
ระบบปรับอากาศ ไอน้ำ
และอุปกรณ์จักรกลต่าง ๆ)
สิ่งแวดล้อม
(ระบบสาธารณูปโภคต่าง
ๆ และการจัดการด้านของเสีย)
เคมี
(กระบวนการผลิตและการออกแบบอุปกรณ์)
วิศวกรที่จบมาจากแต่ละสาขานั้นคงไม่สามารถเรียนรู้ลึกในศาสตร์สาขาอื่นที่ต้องทำงานร่วมกันได้หมด
แต่อย่างน้อยเขาก็ควรมีความรู้พอที่พูดคุยกับวิศวกรสาขาอื่นและทำความเข้าใจในสิ่งที่วิศวกรศาสตร์สาขาอื่นต้องการสื่อนั้นได้
สิ่งต่าง
ๆ ที่ผมเขียนไปนั้น
สำหรับคนที่มีประสบการณ์การทำงานมานานก็คงจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
แต่วัตถุประสงค์ของสิ่งที่เขียนก็คือเพื่อให้คนที่ไม่มีประสบการณ์
(ซึ่งอาจจะเป็นวิศวกรจบใหม่
หรือคนที่ต้องมาเริ่มงานด้านใหม่ที่ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านนี้โดยตรง)
ได้พอมีจุดเริ่มต้นบ้างหรือพอมองเห็นภาพบ้าง
ว่าสิ่งที่เขามีโอกาสจะต้องเผชิญนั้นมีอะไรได้บ้าง
แต่ก็อย่าไปยึดถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว
เพราะบางเรื่องมันก็เปลี่ยนไปตามเวลา
ตามกฎข้อบังคับและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
ถือเสียว่าเป็นเรื่องในอดีตเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน
Memoir
ฉบับนี้เป็นตอนที่
๓ ของเรื่อง "ทำความรู้จัก
Project
Design Questionnaire" โดยเป็นคำถามในส่วนของงานโครงสร้าง
และงานไฟฟ้ากำลัง ส่วนตอนที่
๔ จะเป็นตอนจบของบทความชุดนี้
เริ่มจากหน้า
Page
10 of 21 ที่เป็นส่วนของโครงสร้างในหัวข้อ
4.0
STRUCTURES
โครงสร้างในที่นี้เป็นโครงสร้างที่เป็นอาคารหรือรองรับน้ำหนักอุปกรณ์
(ไม่เกี่ยวข้องกับถนน)
วัสดุหลัก
ๆ ที่ใช้ทำโครงสร้างมีอยู่ด้วยกันสองชนิดคือคอนกรีตและเหล็ก
ในกรณีของโครงสร้างคอนกรีตนั้น
ส่วนที่เป็นเสาและคานก็มักต้องหล่อขึ้นรูปกันหน้างาน
ชิ้นส่วนพื้นและผนังอาจทำเป็นแผ่นสำเร็จรูปมาประกอบที่หลังก็ได้
(แต่ที่เห็นเป็นประจำคือทำพื้นสำเร็จรูปมาปู
ส่วนผนังก็ก่ออิฐเอาหน้างาน)
ที่เคยเห็นมียกเว้นก็เป็นกรณีของพื้นอาคารที่ต้องรองรับน้ำหนักมากหรือกำแพงที่ต้องรับแรงระเบิด
(เช่นกำแพงห้องควบคุมของพนักงานปฏิบัติการที่ตั้งอยู่ในหรือใกล้กับ
process
area) ก็ใช้วิธีผูกเหล็กเส้นต่อเชื่อมกับเข้ากับเหล็กเส้นของคาน/เสา
แล้วเทปูนหล่อพร้อมกันให้เป็นชิ้นเดียว
อาคารคอนกรีตนั้นมันต้องสร้างชั้นล่างให้เสร็จก่อนแล้วจึงสร้างชั้นบนต่อขึ้นไปได้
และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงก็คือระยะเวลาที่ต้องรอให้คอนกรีต
(หลังการเท)
นั้นมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะถอดแบบได้
ซึ่งเวลาตรงนี้เราไปเร่งไม่ได้
(อย่างน้อย
๗ หรือ ๑๔ วันก็ขึ้นอยู่กับชนิดของปูนซิเมนต์ที่ใช้)
โครงสร้างเหล็กมันมีข้อดีอย่างคือสามารถขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนย่อย
ๆ ในโรงประกอบ
แล้วค่อยขนมาประกอบให้เป็นโครงสร้างสำเร็จรูปที่หน้างานได้
สำหรับโครงสร้างที่มีหลายชั้นก็สามารถขึ้นรูปคู่ขนานกันไปได้
การทำแบบนี้มันก็ดีตรงที่การขึ้นรูปนั้นทำในโรงประกอบ
ทำให้ไม่ต้องกังวลกับสภาพอากาศ
(ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนหรือหิมะ)
แต่ต้องมั่นใจหน่อยว่าเมื่อขึ้นรูปแต่ละชิ้นส่วนเสร็จแล้วจะสามารถขนมาประกอบที่หน้างานได้
ไม่ใช่ประกอบเป็นชิ้นใหญ่เกินไปแล้วขนเข้าสถานที่ก่อสร้างไม่ได้เพราะเส้นทางไม่เอื้ออำนวย
ในกรณีแบบนี้ก็ต้องมาขึ้นรูปกันหน้างานอยู่ดี
บ้านเรานั้นไม่ค่อยนิยมการใช้โครงสร้างเหล็กเท่าใดนัก
เข้าใจว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะต้นทุนที่สูงกว่า
และอีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการขึ้นรูปโครงสร้างเหล็กต้องใช้ช่างฝีมือที่ฝึกมาเฉพาะทางในการเชื่อมโลหะ
(แต่ละคนค่าแรงสูง)
ไม่เหมือนงานคอนกรีตที่ไม่ต้องการแรงงานมีฝีมือเท่าใดนัก
จุดหนึ่งที่อยากชี้ให้เห็นของคำถามในหน้านี้ก็คือมีการถามว่าสำหรับโครงสร้างคอนกรีตแล้วจะให้สร้างจนมีระดับความสูงเท่าใด
(Concrete
To Elev.) และที่ระดับความสูงเท่าใดจะใช้โครงสร้างเหล็ก
(Steel
Above Elev.)
อันที่จริงตั้งแต่ระดับพื้นขึ้นไปเราจะใช้โครงสร้างคอนกรีตหรือโครงสร้างเหล็กเพียงอย่างเดียวก็ได้
แต่มีมันมีประเด็นในเรื่องของเพลิงไหม้ที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย
ตรงนี้ขอให้ลองไปดูคำถามในหน้าถัดไปหรือหน้า
Page
11 of 21 ที่เป็นคำถามเกี่ยวกับการป้องกันไฟในหัวข้อ
5.0
FIREPROOFING
เสาและคานคอนกรีตนั้นทนไฟได้ดีกว่าเหล็ก
เหล็กนั้นเมื่อเจอเปลวไฟจะสูญเสียความแข็งแรงอย่างรวดเร็ว
ถ้าใช้เหล็กเป็นเสา
เสาก็จะยุบตัวลงมา
ถ้าใช้เป็นโครงหลังคา
โครงหลังคาก็จะยุบตัวลงมา
และนี่คือสิ่งที่พนักงานดับเพลิงต้องระมัดระวังเวลาที่เข้าไปดับเพลิงในอาคารที่มีการใช้โครงสร้างเหล็กเป็นโครงหลังคา
(เช่นโกดังสินค้าหรือห้างร้านขนาดใหญ่)
เปลวไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงเหลวที่ไหม้อยู่บนพื้น
(เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง)
จะมีความสูงของเหลวไฟในระดับหนึ่ง
(ไม่ขึ้นอยู่กับชนิดสาร)
ถ้าใช้โครงสร้างเหล็กเป็นเสาตั้งแต่ระดับพื้นขึ้นมาจำเป็นต้องมีการหุ้มเหล็กที่เป็นเสานั้นด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนกันไฟ
(อันนี้รวมไปถึง
skirt
ของ
pressure
vessel ที่ตั้งในแนวดิ่งเช่นหอกลั่นด้วย)
ที่เคยเห็นเขาทำก็คือจะใช้นอตตัวเมียตัวใหญ่หน่อย
เชื่อมติดไว้รอบ ๆ เสาเหล็กนั้น
จากนั้นก็นำตะแกรงลวดมาพันรอบเสาโดยใช้นอตเหล็กที่เชื่อมยึดเข้าไปนั้นเป็นจุดสำหรับมัดตะแกรงลวดให้อยู่ในตำแหน่ง
จากนั้นก็ทำแม่แบบล้อมรอบตะแกรงลวดอีกชั้นแล้วจึงค่อยหล่อคอนกรีตกันไฟรอบเสาต้นนั้น
ถ้าไม่อยากทำเช่นนี้ก็สร้างเป็นโครงคอนกรีตจากพื้นขึ้นไปจนถึงความสูงระดับหนึ่ง
จากนั้นขึ้นไปจึงค่อยเปลี่ยนเป็นโครงสร้างเหล็ก
(pipe
rack ในบางที่ก็เห็นเป็นเช่นนี้)
โครงเหล็กของหลังคาอาคารก็จำเป็นต้องมีการหุ้มฉนวนความร้อนจากเปลวไปเช่นเดียวกัน
เพราะในระหว่างเกิดเพลิงไหม้
แก๊สร้อนจากการเผาไหม้จะลอยขึ้นด้านบนและสะสมใต้หลังคา
ความร้อนดังกล่าวสามารถทำให้โครงเหล็กของอาคารสูญเสียความแข็งแรงจนอาคารยุบตัวลงมาได้
ตรงนี้จะแตกต่างจากพวก pipe
rack ที่อยู่ในที่โล่ง
เพราะแก๊สร้อนจะกระจายออกไป
ต่อไปเป็นหน้า
Page
12 of 21 หัวข้อ
3.0
BUILDINGS ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร
คำถามตรงนี้เริ่มจากคำถามว่ามีการใช้อาคารเพื่อวัตถุประสงค์ใดบ้าง
ต้องการพื้นที่เท่าใด
จะใช้วัสดุอะไรสร้าง
แต่คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่อง
"ความดัน"
เรื่องเกี่ยวกับการปรับความดันภายในตัวอาคารนี้เคยเล่าไว้บ้างแล้วใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๐๔ วันพุธที่ ๑๒
กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง
"การปรับความดันในห้องทำงาน-ห้องปฏิบัติการ"
ซึ่งเป็นเรื่องของการปรับความดันในระหว่างการทำงานตามปรกติ
แต่คำถามที่อยู่ท้ายหน้า
12
นั้นเป็นการรับความดันเมื่อมีความผิดปรกติเกิดขึ้น
เช่น เกิดการระเบิด
(ไม่ว่าจะในหรือนอกอาคาร)
ถ้าคาดหวังว่าจะเกิดการระเบิดในอาคาร
(Internal
over-pressure เช่นในห้องทดลอง)
ก็ต้องหาทางระบายแรงระเบิดออกสู่ภายนอก
(เช่นยอมให้มีหน้าต่างหรือผนังด้านใดด้านหนึ่งเปิดออกไปเพื่อไม่ให้โครงสร้างส่วนใหญ่เสียหาย)
แต่ถ้าคาดหวังว่าจะเกิดการระเบิดนอกอาคาร
(External
over-pressure เช่นห้องควบคุมของโรงงานที่ตั้งอยู่กลาง
process
area) ก็ต้องออกแบบให้โครงสร้างอาคารรับแรงอัดจากภายนอกได้
(คนอยู่ภายในห้องไม่ควรได้รับผลจากแรงอัดของการระเบิด)
HVAC
ในที่นี้เข้าใจว่าย่อมาจาก
Heating,
Ventilation, and Air Conditioning
เป็นการระบุว่าตัวอาคารต้องการการปรับอากาศในรูปแบบใดบ้าง
คำว่า
Hazardous
Area Class นี้ไม่ชัดเจนว่าเป็นอันตรายแบบไหน
(สารเคมี
ชีวภาพ หรือกัมมันตภาพรังสี)
หรือเกี่ยวข้องกับการออกแบบอุปกรณ์ไฟฟ้า
อาคารบางอาคารก็อาจมีความต้องการพิเศษเกี่ยวกับเสียง
เช่นอาคารที่สร้างให้กับเครื่องจักร
(เช่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล)
อาจต้องคำนึงถึงความการป้องกันไม่ให้เสียงเครื่องจักรในขณะทำงานดังออกมาภายนอกนมากเกินไป
ในขณะที่อาคารที่ใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์ทดลอง
อาจต้องคำนึงการไม่ให้เสียงจากภายนอกดังเข้ามารบกวนสัตว์เลี้ยงที่อยู่ข้างใน
ถัดไปเป็นหน้า
Page
14 of 21 หัวข้อ
7.0
ELECTRICALS ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า
เริ่มจากคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาของไฟฟ้า
(ผลิตเองหรือรับจากภายนอก)
ความต่างศักย์
ความถี่ ตำแหน่งที่จะเชื่อมต่อเข้าโรงงาน
ฯลฯ
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความต่างศักย์ของระบบไฟฟ้าแรงสูงในบ้านเราเคยเล่าเอาไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๘๐ วันศุกร์ที่
๔ เมษายน ๒๕๕๗ เรื่อง
"เก็บตกงานไฟฟ้ากำลัง"
ส่วนทางโรงงานเมื่อรับไฟฟ้าแรงสูงเข้ามาแล้วจะลดความต่างศักย์ให้เหลือเท่าใดนั้นคงขึ้นอยู่กับขนาดของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้
พวกมอเตอร์ขนาดใหญ่ก็อาจต้องใช้ไฟแรงสูงอยู่
(เพื่อลดปริมาณกระแส)
ส่วนความถี่นั้นจะไปส่งผลต่อความเร็วรอบการหมุนของมอเตอร์เหนี่ยวนำ
(induction
motor)
ซึ่งอาจส่งผลต่อสมรรถนะที่จะได้ของอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้มอเตอร์เหนี่ยวนำขับเคลื่อน
เช่นปั๊มหอยโข่ง (centrifugal
pump)
ตรงขนาดของหม้อแปลง
(transformer)
นั้นจะระบุเป็น
kVA
(ผลคูณระหว่างกระแสกับความต่างศักย์)
ในกรณีของบ้านเรานั้นจะกำหนดให้ระบบไฟฟ้าของโรงงานต้องมี
power
factor ไม่ต่ำกว่า
0.8
ดังนั้นถ้าความต้องการพลังงานของทั้งโรงงานรวมกันได้เท่ากับ
120
kW ก็ต้องใช้หม้อแปลงขนาดที่เล็กที่สุดคือ
150
kVA (มาจาก
120/0.8)
แต่ในทางปฏิบัติเท่าที่เคยเห็นนั้นมักจะเผื่อเอาไว้อีกเท่าตัว
คือจะติดตั้งหม้อแปลงขนาด
300
kVA แต่ถ้าเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองก็จะใช้ขนาดเพียงแค่
120
kW ก็พอ
หน้า
Page
15 of 21
ก็ยังอยู่ในหัวข้อไฟฟ้ากำลังอยู่โดยเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับระบบไฟฉุกเฉิน
ระบบไฟฉุกเฉินนั้นไม่จำเป็นต้องสำรองให้กับทั้งโรงงาน
แต่อาจเลือกเฉพาะหน่วยที่สำคัญเท่านั้นที่ทำให้สามารถหยุดเดินเครื่องโรงงานได้อย่างปลอดภัย
(เช่น
ระบบทำความเย็น ระบบควบคุม
แสงสว่างเท่าที่จำเป็น)
"Switch
gear" คืออุปกรณ์สำหรับตัดต่อไฟแรงสูง
ปรกติการเปิดวงจรไฟฟ้าทำโดยการแยกขั้วสัมผัสที่เป็นโลหะออกจากกัน
แต่สำหรับไฟแรงสูง
(ความต่างศักย์สูง)
แม้ว่าขั้วโลหะจะแยกออกจากกันแล้วก็ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้อยู่
โดยไหลผ่านทางประกายไฟฟ้าที่กระโดดข้ามระหว่างขั้วโลหะ
(หรือที่เรียกว่าอาร์ค
-
arcs) ดังนั้นระบบตัดไฟแรงสูงจึงต้องสามารถจัดการกับ
(คือดับ)
ประกายไฟฟ้าที่กระโดยข้ามขั้วโลหะนี้ได้เพื่อเป็นการตัดการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าที่ปลอดภัย
วิธีการดับประกายไฟฟ้านี้มีด้วยการหลายวิธี
เช่นใช้แก๊ส SF6
ใช้สุญญากาศ
ใช้น้ำมัน หรือใช้อากาศฉีดพ่นผ่าน
ซึ่งขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ด้วยเหตุผลว่าเพราะรู้แต่เพียงคร่าว
ๆ ไม่ได้รู้ละเอียด
Page
16 of 21 เป็นหน้าคำถามสุดท้ายของระบบไฟฟ้า
คำถามเริ่มจากการจำแนกพื้นที่ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า
(Area
classification) เรื่องนี้เคยเล่าไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๔๐ วันพุธที่ ๓๑
มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "Electricalsafety for chemical process"
ต่อไปเป็นคำถามเกี่ยวกับไฟแสงสว่าง
ถามถึงความสว่างที่ต้องการซึ่งแต่ละบริเวณอาจต้องการความสว่างขั้นต่ำที่แตกต่างกัน
(เช่นในสำนักงานที่ต้องอ่านหนังสือหรือเขียนแบบ
ต้องการความสว่างที่มากกว่าตามทางเดินหรือห้องน้ำ)
และชนิดของหลอดไฟที่จะใช้
(เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้และสีของแสง)
และการติดตั้งไฟเตือนอากาศยานสำหรับโครงสร้างที่สูง
(เช่นปล่องระบายแก๊สทิ้ง
flare
stack หอกลั่นที่สูงมาก)
คำถามถัดไปเกี่ยวข้องกับการเดินสายไฟว่าจะเดินปักเสาบนพื้นดินหรือเดินใต้ดิน
ระบบการติดต่อสื่อสาร
ความต้องการพิเศษสำหรับฤดูหนาว
(บ้านเราไม่มีปัญหาเรื่องฤดูหนาว
แต่จะมีปัญหาเรื่องฤดูฝนมากกว่า)
และความต้องการพิเศษอื่น
ๆ
และตอนที่
๓ ของเรื่องนี้คงต้องจบแค่นี้
ตอนที่ ๔ ในฉบับต่อไปจะเป็นตอนจบของเรื่องนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น