เมื่อปลายเดือนที่แล้วและต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมเกี่ยวกับการจัดทำ
Internal Compliance
Programme หรือที่เรียกย่อว่า
ICP
ของกรมการค้าต่างประเทศ
เรียกว่าเป็นการอบรมในเนื้อหาส่วนที่ผมไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการองค์กรเพื่อปฏิบัติตามข้อกฎหมาย
ในการส่งสินค้า
(ที่ต้องมีการระบุว่าเป็นหรือไม่เป็นสินค้าสองทาง)
ไปยังผู้รับที่ต่างประเทศ
ผู้ที่เข้าร่วมอบรมในงานนี้เกือบทั้งหมดจะเป็นตัวแทนจากบริษัทต่าง
ๆ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
มีบ้างบางส่วนที่เป็นผู้ที่มาใหม่
มาจากบริษัทที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ด้วยหรือไม่
ในขณะที่ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นผมเองจะเข้าอบรมในส่วนของการพิจารณาคุณลักษณะสินค้าว่าเข้าข่ายเป็นสินค้าสองทางหรือไม่
โดยผู้เข้าร่วมนั้นจะเป็นนักวิชาการเสียมากกว่า
ในการประชุมทั้งสองครั้งที่ผ่านมานั้นก็ได้ทำให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันระหว่าง
บริษัทที่ทำการส่งออก
และผู้ที่จะมาทำหน้าที่พิจารณาว่าสินค้าเข้าข่ายหรือไม่
ซึ่งในช่วงเวลาแรกนั้นการทำงานทั้งสองฝั่งคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเริ่มมีการสะสมประสบการณ์ที่มากพอ
งานทั้งสองฝั่งก็คงจะรวมเข้าด้วยกันเอง
สำหรับวันนี้ก็จะเป็นการบันทึกความเห็นและคำถามส่วนตัวที่ยังไม่มีคำตอบ
(แค่บันทึกไว้กันลืม)
ที่ระบบคงต้องค่อย ๆ
พิจารณาปรับแก้กันไป
รูปที่ ๑
ความหมายของ ICP
(จากไฟล์เอกสารการประกอบการอบรมเมื่อวันจันทร์ที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓)
อันที่จริงเรื่องนี่มันเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาด้วย
และงานนี้เขาก็ได้ส่งจดหมายเชิญไปยังสถาบันการศึกษาหลายแห่งด้วย
แต่การอบรมในรอบวันจันทร์ที่ผ่านมา
ไม่ยักมีสถาบันการศึกษาไหนส่งตัวแทนเข้าร่วม
จากรายชื่อที่เห็นมีผมสมัครไปเข้าฟังเองเพียงคนเดียว
(เพราะเขาส่งอีเมล์ชวนผมให้เข้าร่วม)
ต่อไปก็จะเป็นการบันทึกสิ่งที่ได้ไปเรียนรู้มา
และสิ่งที่คาดว่าจะเป็นปัญหา
ที่ต้องคอยทำการแก้ไขปรับปรุงระบบกันต่อไปในอนาคต
๑.
EU List กับ
HS code
สินค้า
(ที่รวมถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้เช่น
องค์ความรู้และซอร์ฟแวร์)
ใดจะถูกจัดเป็นสินค้าใช้ที่ใช้ได้สองทางหรือไม่นั้น
ต้องไปดูคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในรายการที่เรียกว่า
EU List
(ที่มีการปรับปรุงแก้ไขเป็นระยะ)
รายการนี้เป็นรายการที่ผู้ตรวจสอบจะใช้พิจารณาว่าสินค้านั้นเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทางหรือไม่
แต่การส่งออกสินค้านั้น
เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน
(เช่นการเก็บภาษีศุลกากร)
จะมีการให้เลขรหัสสินค้าที่เรียกว่า
HS code
กล่าวคือสินค้าชนิดเดียวกันก็จะมีเลขรหัส
HS code
(ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นเลข
๖ ตัวแรก)
แบบเดียวกัน
รายการนี้เป็นรายการที่ผู้ส่งออกใช้ในการดำเนินเรื่องการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ
(เช่นเกี่ยวกับพิกัดภาษีศุลกากร)
EU
List มันมีการกำหนด
คุณสมบัติทางกายภาพ,
ความสามารถในการทำงาน,
วัสดุที่ใช้สร้าง ฯลฯ
สินค้าเหล่านั้น เช่น
ท่ออะลูมิเนียมที่เข้าข่าย
EU List
ก็จะมีการกำหนดความสามารถในการรับแรงของท่อนั้น
แต่คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏใน
HS code
จากการฟังการอบรมที่ผ่านมา
เข้าใจว่าสิ่งที่ทางกรมการค้าต่างประเทศได้เริ่มทำขึ้นมาแล้วก็คือ
การพยายามเทียบเคียงว่ารายชื่อที่ปรากฏใน
EU List
นั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับ
HS code ตัวใดบ้าง
ซึ่งแน่นอนว่า ๑ รายชื่อใน
EU List
จะเกี่ยวข้องกับ HS
code หลายรายการด้วยกัน
ส่วนที่ว่าจะมีครบหรือไม่นั้นก็คงต้องช่วยกันปรับปรุงกันต่อไป
๒.
เข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย
"ถ้าตรวจสอบแล้ว
สินค้านั้นไม่ได้มีคุณสมบัติตรงตาม
EU List
ก็สามารถส่งออกได้เลยใช่ไหม"
ประเด็นนี้น่าสนใจอยู่ตรงที่
ถ้าชนิดของสินค้าที่จะส่งออกไปนั้น
มันมีรายชื่อปรากฏอยู่ใน
EU List
แต่สินค้าที่ผู้ผลิตจะส่งออกไปนั้น
ไม่ได้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ใน
EU List ทุกข้อ
(คืออาจมีเพียงบางข้อเท่านั้นที่ตรง)
จะตีความว่าสินค้านั้นไม่เป็นสินค้าควบคุมได้หรือไม่
ตอนที่ไปอบรมที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมเมื่อปีแล้ว
ก็ได้มีการกล่าวถึงประเด็นนี้
เพราะมันมีประเด็นที่ว่าความแตกต่างนั้นเกิดจากดัดแปลงสินค้าเพื่อเลี่ยงกฎระเบียบหรือไม่
เช่นการเคลือบผิวด้านนอกที่สัมผัสกับสารเคมี
เพื่อไม่ให้มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของสินค้าควบคุม
โดยผู้รับสามารถกำจัดผิวเคลือบนั้นออกไปได้
หรือการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนบางชิ้น
(ที่อาจมีการแยกส่งต่างหาก)
เพื่อให้ไม่เข้าข่าย
แต่ผู้รับนั้นสามารถถอดเอาชิ้นส่วนนั้นออกและใส่ชิ้นส่วนใหม่
(ที่อาจได้รับมาอีกทางหนึ่ง)
ทำให้กลับกลายเป็นสินค้าควบคุมได้
หรือด้วยการแยกออกเป็นชิ้นส่วนย่อย
ๆ ที่แต่ละชิ้นส่วนย่อยสามารถทำงานได้อย่างอิสระ
และไม่ตรงตามข้อกำหนดของสินค้าควบคุม
แต่ทางผู้รับสามารถนำเอาชิ้นส่วนย่อยเหล่านั้นมาประกอบรวมกัน
ทำให้เมื่อประกอบเสร็จแล้วสิ่งที่ได้นั้นจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์สินค้าควบคุม
(เช่นการแยกส่งหม้อแปลงไฟฟ้า
๓ เฟสในรูปของหม้อแปลงไฟฟ้าเฟสเดียว
๓ ตัว)
กรณีนี้เคยเล่าไว้ในเรื่อง
"สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items - DUI) ตอนที่ ๕)"
(วันพฤหัสบดีที่ ๒๙
สิงหาคม ๒๕๖๒)
"สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items - DUI) ตอนที่ ๖)"
(วันพุธที่ ๔ กันยายน
๒๕๖๒)
และ
"สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items - DUI) ตอนที่ ๗)"
(วันศุกร์ที่ ๖ กันยายน
๒๕๖๒)
๓.
การหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
ตัวนี้อาจเป็นปัญหาของการใช้
HS code ก็ได้
ลองดูกรณี HS
code 870323 ที่เป็นของรถยนต์เครื่องเบนซินขนาดความจุกระบอกสูบ
1,500 - 3000 cc
ในรูปที่ ๒
จะเห็นนะครับว่าในรายการต่าง
ๆ นั้นจะกล่าวถึงเพียงแค่จำนวนผู้โดยสาร
(รวมคนขับ)
ชนิดของเครื่องยนต์
(ที่ยกมาคือเป็นเครื่องยนต์เบนซิน)
และขนาดของเครื่องยนต์
(ความจุกระบอกสูบ)
โดยไม่กล่าวถึงอุปกรณ์ย่อยอื่น
ๆ ที่ทางผู้ผลิตรถยนต์อาจติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไป
เช่นระบบเซนเซอร์ตรวจจับระยะห่าง
ระบบเซนเซอร์ตรวจจับอัตราเร่ง
ระบบระบุตำแหน่ง GPS
อุปกรณ์เข้ารหัสเพื่อการควบคุมหรือสั่งการ
ฯลฯ อุปกรณ์ย่อยเหล่านี้ที่เป็นส่วนประกอบของสินค้าหลัก
อาจมีคุณสมบัติที่เป็นไปตามข้อกำหนด
EU List ก็ได้
สิ่งที่ทางศุลกากรมองเห็นจะมีเพียง
"รถยนต์"
และ "เครื่องยนต์"
เพราะ HS
code ไม่ได้มีการระบุถึงรายละเอียดปลีกย่อยส่วนประกอบต่าง
ๆ ของรถยนต์ที่จะส่งออก
ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตรถที่ต้องตรวจสอบว่า
ส่วนประกอบย่อยที่ติดตั้งเข้ากับผลิตภัณฑ์หลักนั้นอยู่ในบัญชีรายชื่อ
EU List ด้วยหรือไม่
กรณีนี้เคยเล่าไว้ในเรื่อง
"สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items - DUI) ตอนที่ ๓)"
(วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม
๒๕๖๒)
รูปที่ ๒
รายละเอียด HS
Code 870323 ที่เป็นของรถยนต์เครื่องเบนซินขนาดความจุกระบอกสูบ
1,500 - 3000 cc
๔.
เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง
ในระหว่างการอบรม
วิทยากรได้ถามผู้เข้าร่วมการอบรมท่านหนึ่งว่ามาจากไหน
ผู้เข้าร่วมท่านนั้นก็บอกว่ามาจากโรงงานผลิตเบียร์แห่งหนึ่ง
ซึ่งก็โดนท่านวิทยากรแซวว่า
มาทำไม
โรงงานผลิตเบียร์เกี่ยวอะไรกับการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
อันที่จริงในการอบรมวันนั้นก็มีตัวแทนมาจากโรงงานต่าง
ๆ ที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอย่างไร
เพราะผลิตภัณฑ์ที่เขาผลิตนั้นเป็นเพียงแค่สินค้าธรรมดา
(เช่นกระจก
น้ำมันพืช)
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ที่โรงงานเขาผลิตจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการผลิตอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง
แต่มันไปมีประเด็นตรงที่ตัวอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต
เช่น อุปกรณ์ควบคุมความเที่ยงตรงของการทำงาน
อุปกรณ์ปรับอากาศ (เช่นที่ใช้ในห้อง
clean room
ในโรงงานผลิต อาหาร
เครื่องสำอาง ยา)
อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปลอดเชื้อ
ถังหมัก เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
เครื่องกรอง spray
dryer ฯลฯ ซึ่งอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่เหล่านี้อาจไม่เป็นสินค้าควบคุมเลยก็ได้
หรือมีเพียงแค่บางชิ้นที่เข้าข่ายเป็นสินค้าควบคุม
แต่มีประเด็นสิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ
ตัวโรงงานเองนั้นอาจไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติสูงขนาดเป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง
แต่ต้องการสั่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทางมาใช้งาน
(ซึ่งอาจทำไปเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้ดีขึ้น)
หรือ
"เป็นทางผ่านของอุปกรณ์ตัวนั้นไปยังแหล่งอื่น"
ในรูปของอุปกรณ์ใช้งานแล้ว
ดังนั้นการพิจารณาว่าโรงงานใดจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น
จะพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ที่เขาผลิตเท่านั้นไม่ได้
ควรต้องพิจารณาไปถึงกระบวนการผลิตที่ใช้ด้วย
และความเป็นไปได้ที่จะใช้อุปกรณ์ที่เข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทางในการผลิตสินค้าของเขาด้วย
กรณีนี้เคยเล่าไว้ในเรื่อง
"การเลือกวัสดุสำหรับ F2 และ HF" (วันพุธที่
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น