เมื่อประมาณ
๒๐
ปีที่แล้วทางทบวงมหาวิทยาลัยได้ทำการกู้เงินจากแหล่งสองแหล่งเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย
แหล่งแรกคือการกู้เงินจากธนาคารโลก
(World
Bank) เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี
ซึ่งโครงการนี้ทุกมหาวิทยาลัยต่างได้รับไป
โครงการที่สองคือโครงการเงินกู้จากประเทศญี่ปุ่นเรียกชื่อย่อว่า
OECF
เป็นโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและการวิจัยในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ซึ่งมหาวิทยาลัยของเราก็ได้รับมาสำหรับคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
ในส่วนของโครงการเงินกู้
OECF
นั้น
ทางญี่ปุ่นยังได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค
มีรายการหนึ่งที่ผมเห็นว่าดีมากแต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเท่าใดนัก
คือการที่เขาส่งนักประวัติศาสตร์
(คนหนุ่มผู้หนึ่ง)
มาทำการศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์การพัฒนารถไฟของไทยเทียบกับของญี่ปุ่น
ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นนั้นโดนบังคับให้เปิดประเทศในเวลาไล่เรี่ยกัน
และได้รับรถไฟขบวนแรกมาในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย
แต่การพัฒนานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประเด็นนี้คนไทยที่สนใจเรี่องประวัติศาสตร์รถไฟไทยมักชอบเอาไปเปรียบเทียบโดยมักมองภาพเป็นลบแต่เพียงด้านเดียว
แต่นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เขามาศึกษานั้นเขากลับมองภาพและให้ภาพที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงกับที่คนไทยชอบมอง
(ผมว่าคนไทยชอบมองแบบดูถูกพวกเดียวกันเอง)
ในการศึกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาการขนส่งทางรถไฟนั้นจะมองแต่แง่เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้
ต้องมองภาพของเหตุการณ์ทางการเมืองรอบข้าง
การทหาร อิทธิพลจากประเทศมหาอำนาจ
รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคนในขณะนั้นร่วมด้วย
ซึ่งประเทศไทยเมื่อเริ่มต้นคิดจะมีรถไฟนั้น
ผลของอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจแตกต่างไปจากญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง
ญี่ปุ่นเองนั้นมีแต่สหรัฐอเมริกาที่หวังเข้ามาหาผลประโยชน์
และต่างชาติก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะใช้เส้นทางขนส่งทางบกของญี่ปุ่น
ส่วนในประเทศไทยเองนั้นมีทั้งอังกฤษทางฝั่งตะวันตกและฝรั่งเศสทางฝั่งตะวันออก
ที่หวังจะใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางเดินทางทางบกด้วยรถไฟเพื่อเข้าไปยังจีนตอนใต้
การให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนสร้างทางรถไฟในประเทศไทยนั้นอาจเป็นการเปิดช่องให้ต่างชาติใช้เป็นข้ออ้างในการส่งทหารเข้ามารักษาผลประโยชน์ของคนของชาติตนที่เข้าไปลงทุนในประเทศอื่น
ในขณะเดียวกัน (ในสมัยนั้น)
การขนส่งทางรถไฟเป็นวิธีการขนส่งทางบกที่ทำให้กองทัพสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล
ยุทโธปกรณ์ และสัมภาระ
จำนวนมากไปยังสนามรบได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเมื่อไทยเริ่มคิดจะมีรถไฟ
จึงได้มีการนำปัจจัยเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาการวางแผนเส้นทางเดินรถไฟ
รวมทั้งขนาดรางที่จะใช้สำหรับประเทศไทย
การตัดสินใจเรื่องขนาดรางและเส้นทางเดินรถในช่วงแรกของไทยทำให้รถไฟไทยถูกขนานนามว่าเป็น
"รถไฟการเมือง
หรือ Political
Railways"
คือให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านการเมืองและความมั่นคงของประเทศมากกว่าทางด้านเศรษฐกิจ
และทำให้ทางภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็นก่อสร้างเส้นและควบคุมเส้นทางเอง
รายงานการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นผู้นั้นผมไม่สามารถตามหาได้ว่ามีเก็บไว้ที่ไหน
แต่เมื่อปลายปีที่แล้วไปได้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ
"Rails
of the Kingdom - The History of Thai Railways" เขียนโดย
Ichiro
Kakizaki จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์
Whit
Lotus ในปีที่แล้ว
ที่ได้ให้ภาพเดียวกันกับที่ผมเคยได้ฟังมาเมื่อเกือบ
๒๐ ปีก่อนหน้านั้น
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเขียนหนังสือเล่มนี้กับคนที่มาบรรยายให้ผมฟังในวันนั้นเป็นคน
ๆ เดียวกันหรือเปล่า
เมื่อเริ่มมีรถไฟ
การสร้างทางรถไฟนั้นจัดเป็นธุรกิจใหม่ที่มีเอกชนหลายรายทั้งคนไทยเองและต่างชาติที่หวังเอามาลงทุนทำกำไร
ในหนังสือของ Ichiro
Kakizaki หน้า
๒๕ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนี้เอาไว้
เพื่อป้องกันไม่ให้เอกชน
(โดยเฉพาะต่างชาติ)
ใช้ประโยชน์จากเส้นทางหลักที่ทางภาครัฐลงทุนสร้างเอาไว้
จึงได้มีการกำหนดให้เส้นทางที่เอกชนจะลงทุนนั้นใช้ความกว้างของรางที่
"แคบ"
กว่าความกว้างของรางของเส้นทางหลักที่เรียกว่า
Narrow
gauge ความกว้างของราง
(ที่เรียกว่า
gauge
เป็นการวัดจากขอบด้านในของรางฝั่งหนึ่งไปยังขอบด้านในของรางอีกฝั่งหนึ่ง)
ที่ไทยใช้อยู่ในขณะนั้นคือ
Standard
gauge ที่กว้าง
1435
mm (เส้นทางไปโคราช
ส่วนเส้นทางสายใต้ที่สร้างทีหลังใช้ขนาด
Metre
gauge ที่กว้าง
1000
mm)
รถไฟเอกชนสายแรกที่ได้รับอนุญาตให้ทำการสร้างคือรถไฟสายท่าเรือ-พระพุทธบาท
ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟจากริมแม่น้ำป่าสักใกล้กับทางรถไฟสายเหนือในท้องที่อำเภอท่าเรือจังหวัดพระนาคศรีอยุธยา
ไปยังพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี
ขนาดความกว้างของรางที่
Ichiro
Kakizaki รายงานไว้ในหนังสือของเขาคือ
600
mm แต่ตรงนี้ที่มีคนศึกษาไว้กล่าวว่าขนาดที่แท้จริงคือ
750
mm
(http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=18)
ซึ่งเมื่อดูรูปที่แสดงในหนังสือของ
Ichiro
Kakizaki แล้ว
(รูปที่
๑)
ผมว่าขนาดความกว้างน่าจะเป็น
750
mm มากกว่า
รูปที่
๒-๕
เป็นแผนที่แนบท้ายราชกิจจานุเบกษาที่ปรากฏเส้นทางรถไฟสายดังกล่าวที่ผมค้นเจอ
เส้นทางสายนี้ความยาวตลอดเส้นทางประมาณ
๑๙ กิโลเมตร
รูปที่
๑ รถไฟจากท่าเรือไปพระพุทธบาทสระบุรี
จากหนังสือ "Rails
of the Kingdom - The History of Thai Railways" เขียนโดย
Ichiro
Kakizaki ซึ่งเขาไปนำมาจากหนังสือครบรอบ
๑๐๐ ปีการรถไฟแห่งประเทศไทยอีกที
(เขาระบุแหล่งที่มาว่ามาจาก
RFT
1997 หน้า
137)
รูปที่
๒
แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาท
ตำบลขุนโขลน ตำบลหนองโดน
จังหวัดสระบุรี พ.ศ.
๒๔๗๙
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม
๕๓ หน้า ๑๒๘๐ วันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๔๗๙ ปรากฏแนวทางรถไฟทางด้านซ้ายของแผนที่
รูปนี้แสดงส่วนปลายทางของเส้นทางรถไฟทางด้านพระพุทธบาท
ในกรอบสีเหลืองคือศาลเจ้าพ่อเขาตกที่มีเล่าไว้ในนิยายของ
เหม เวชกร
รูปที่
๓ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินในท้องที่
ตำบลบ้านหมอ อำเภอหนองโดน
จังหวัดสระบุรี พ.ศ.
๒๔๘๑
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่
๕๖ หน้า ๒๒๗ วันที่ ๓ เมษายน
๒๔๘๒
รูปที่
๔
แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์ที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอท่าเรือ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และอำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี
พ.ศ.
๒๔๘๒
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่
๕๖ หน้า ๖๘๘ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม
๒๔๘๒
จะปรากฏสถานีท่าเรือที่เป็นสถานีต้นทางของทางรถไฟสายพระพุทธบาทตรงแม่น้ำป่าสัก
ที่วิ่งแยกออกจากทางรถไฟสายเหนือไปทางด้านขวา
รูปที่
๕
แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาถอนการหวงห้ามที่ดินบางส่วนบริเวณพระพุทธบาท
ตำบลขุนโขลน ตำบลหนองโดน
จังหวัดสระบุรี พ.ศ.
๒๔๙๗
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ
เล่ม ๗๑ ตอน ๒ หน้า ๑ วันที่
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗
ปรากฏแนวทางรถไฟทางด้านซ้ายของแผนที่
ส่วนหนึ่งที่รูปนี้แตกต่างไปจากรูปที่
๑ คือมีถนนพหลโยธินตัดผ่านบริเวณพระพุทธบาทแล้ว
บรรยากาศการเดินทางด้วยรถไฟในเส้นทางสายนี้คงหาไม่ได้จากเอกสารทางราชการ
แต่ไปมีปรากฏในนิยายเรื่อง
"อ้ายบักสอย"
ที่แต่งโดยเหม
เวชกร ข้อความข้างล่างผมคัดมาจากหนังสือเปิดกรุผีไทย
๑ ตอนผ้าป่าผีตาย
ฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
"พอรุ่งขึ้นเราสามคนได้ขึ้นรถไฟมาลงที่ท่าเรือพระพุทธบาท
ผมตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก
ดูผู้คนช่างคึกคักเอาการ
รถไฟสายเล็กของพระพุทธบาทน่าดูมาก
เป็นรถคันเล็ก ๆ ไม่มีตัวถัง
มีม้านั่งกันโล่ง ๆ
มองเห็นกันสนุกกันอย่างว่าไปเที่ยวป่าเที่ยวเขาเน้อ!
เธอก็มองเห็นฉัน
ฉันก็มองเห็นเธอ
โปร่งไปทุกคันรถน่าสนุก
แต่เราไม่มีเรื่องจะขึ้นกับเขา
เราจะใช้กำลังความแข็งแกร่งกล้าเดินไปสู่โดยทางทุรกันดาร
เสียงรถไฟสายเล็กเปิดหวีดเสียงยาวเสียงถี่
เป็นการเรียกร้องให้เร่งไปซื้อตั๋วหรือเป็นการโฆษณาการเที่ยวผ่านดงพงพี
บรรดาคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ใจเต้นตูม
อยากจะรีบขึ้นนั่งรถ"
ส่วนเมื่อเข้าไปใกล้ถึงพระพุทธบาทแล้วบรรยากาศจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น
เหม เวชกร ได้เล่าเอาไว้ดังนี้
".....
และเขาแนะทางเดินให้เราว่า
ควรจะยึดแนวทางรถไฟสายเล็กนี้เดินไปจะพบสถานีอีกหลายสถานีแล้วจะไปผ่านศาลเจ้าพ่อเขาตก
ที่ตรงนั้นรถไฟจะหยุดให้คนไหว้เจ้าพ่อกันมีดอกไม้ธูปเทียนขาย
เมื่อถึงศาลเจ้าพ่อแล้วจะไม่เดินตามทางรถไฟไปก็ได้
เดินตามทางป่าละเมาะและทุ่งบ้างละเมาะบ้าง
เป็นทางลัดเข้าพระพุทธบาทเลย
....."
และสมัยนั้นที่พระพุทธบาทมีอะไรให้เที่ยวบ้าง
เหม เวชกร ก็ได้เล่าเอาไว้เช่นเดียวกัน
(ดูรูปที่
๒ หรือ ๕ ประกอบ)
"เมื่อเสร็จอาหารเช้าแล้วเราก็ออกเดินทางตามที่ผีบอก
เลาะไปตามทางรถไฟจนถึงตำบลเจ้าพ่อเขาตก
เราก็แวะเข้าไปที่ศาล
ผลทำการสัการบูชาคนเดียว
พระท่านไหว้และบูชาใครไม่ได้นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียว
เรานั่งกันแถว ๆ
นั้นจนเห็นคนเดินทางมาจากพระพุทธบาทเพื่อจะผ่านไปถ้ำมหาสนุก
เราก็ถือโอกาสเดินสวนทางกับพวกนั้นเข้าพระพุทธบาทดีกว่าจะเดินสุ่มไป
...........
กะว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะขึ้นปิดทองรอยพระพุทธบาท
ในวันนี้ไปเที่ยวแค่ถ้ำประทุนก่อน
เป็นครั้งแรกในชีวิตได้เข้าถ้ำและได้ชมบ่อพรานล้างเนื้อ
รอยปักปอก
และที่คุกเข่าลับหอกของพรานบุญพร้อมทั้งถ้ำกินนร
ถ้ำระฆัง
ต่อวันรุ่งขึ้นก็ไปต่อยังถ้ำวิมานจักรี
ถ้ำชาละวัน รุ่งอีกวันไปถ้ำมหาสนุก
พุกร่าง ตามที่พระทั้งสองเล่าให้ฟังจนครบทุกแห่ง
ผู้รู้คราวหลังว่ายังมีที่เที่ยวอีก
หากแต่ไม่มีเวลาและก็ไปกันไม่ถูกจึงเดินทางกลับ
คือกลับรถไฟ
มาเดินด้วยเท้าเอาเพียงบ้านภาชีกลับบ้านมาบโพธิ์เท่านั้นเอง"
ปัจจุบันเส้นทางสายนี้คือทางหลวงสาย
๓๐๒๒ อ.ท่าเรือ
-
อ.พระพุทธบาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น