ผู้ใหญ่เขาเล่าว่าบริเวณนี้เป็นที่ราบเหมาะแก่การทำนา
(ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
เพราะมีน้ำหลากท่วมประจำ)
และชาวบ้านเคยเอาหนัง
(น่าจะเป็นหนังวัว)
มาตากแห้ง
หมู่บ้านนี้ก็เลยมีชื่อว่า
"บ้านทุ่งขึงหนัง"
ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางเส้นทางระหว่างตัวอำเภอเมืองกับอำเภอควนขนุน
ตอนเด็ก ๆ (ก็เมื่อกว่า
๔๐ ปีที่แล้ว)
ตอนไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย
ยังจำได้ว่าพอตกค่ำที่นั่นก็จะเงียบมาก
นาน ๆ ทีจะมีรถวิ่งผ่านไปบนถนนสักคัน
ท้องฟ้ามืดมากขนาดมองเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจน
แต่ในความมืดและเงียบสงบนั้นก็มีความน่ากลัวอยู่
เพราะช่วงนั้นบริเวณดังกล่าวแม้ว่าจะห่างจากตัวจังหวัดเพียงแค่
๑๐ กิโลเมตร
ก็จัดว่าเป็นเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือ
ผกค.
(น่าจะเป็นพื้นที่สีชมพู)
แถวนี้ก็เคยมีโรงพักตั้งอยู่
แต่โดนผกค.ยกพวกมาปิดล้อมและเผาทิ้ง
นับแต่นั้นก็ไม่เคยมีสถานีตำรวจอีกเลย
พอตกค่ำก็จะอยู่กันแต่ในบ้าน
(เพราะไม่รู้จะไปไหน)
โทรทัศน์ก็มีดูเพียงช่องเดียวคือช่อง
๑๐ หาดใหญ่ (ที่สถานีอยู่ห่างออกไป
๑๐๐ กิโลเมตร)
แต่ละบ้านจึงต้องมีเสาอากาศสูง
และยังต้องมีบูสเตอร์ช่วยขยายสัญญาณอีก
ไม่งั้นก็ดูไม่ได้
ตัวโคมหลอดฟลูออเรสเซนต์ก็ไม่เหมือนกับที่เห็นที่กรุงเทพ
เพราะมันมีกระบอกอะไรไม่รู้ติดตั้งเพิ่มเข้ามา
เพิ่งจะมารู้ตอนโตว่านั่นคือตัวเก็บประจุที่ใช้ปรับค่าตัวประกอบกำลัง
(power
factor) เพื่อลดการใช้กระแส
นั่นคงเป็นเพราะสมัยนั้นระบบไฟฟ้าในต่างจังหวัดของเรายังไปไม่ทั่วถึง
การลดการสูญเสียการส่งกำลังแม้จะดูว่าเป็นเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าสำคัญ
รูปที่
๑
วัดทุ่งขึงหนังและโรงเรียนวัดทุ่งขึงหนังอยู่ที่มุมล่างของแผนที่
แนวเขาด้านขวาคือเขาพนมวังก์
เขาพนมวังก์ที่เห็นตอนเด็ก
ๆ นั้นยังมีการทำเหมืองหินอยู่
ครอบครัวคุณน้าครอบครัวหนึ่งทำกิจการระเบิดหินและโม่หินขาย
บางปีที่ไปก็มีโอกาสได้เห็นเขาระเบิดภูเขาจากหลังบ้านที่ไปพัก
เสียงระเบิดดังดี
แต่กิจการนี้ก็เลิกทำไปนานแล้ว
และดูเหมือนว่าตัวเขาพนมวังก์เองก็ถูกจัดให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติไปแล้ว
จำได้ว่าปีหนึ่งมีไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดในตัวเมือง
มีการมาเอาระเบิดที่บ้านคุณน้า
เขาบอกว่าจะเอาไปทำลายบ้านบางหลังทิ้งเพื่อกันไม่ให้ไฟลุกลาม
จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้
แต่นั่นคือเรื่องที่ได้เห็นมาตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่
ตรงบริเวณที่เป็นโรงโม่หินตรงนี้คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าแถวนี้แต่ก่อนเคยมีที่เผาศพ
เรียกว่า "ที่เปลว"
ตอนคุณแม่ยังเด็กนั้นเวลาที่มีการเผาศพทีก็จะช่วยกันหยิบไม้ฟืนไปช่วยงาน
ถือว่าเป็นการทำบุญ
ที่มาเผาตรงนี้อาจเป็นเพราะว่าสมัยนั้นวัดยังไม่มีเมรุ
และบริเวณนี้ก็เป็นที่ห่างไกลชุมชน
วันก่อนเดินทางกลับนั้นคุณน้าที่พาเที่ยวอ่างเก็บน้ำก็พานั่งรถเล่นวนรอบเขาลูกนี้
พร้อมกับเล่าเรื่องต่าง ๆ
ให้ฟัง
ทำให้รู้ว่าแต่ก่อนนั้นเคยมีการปีนขึ้นไปเก็บขี้ค้างคาวลงมาขาย
และมีการขุดยิปซัมไปขายด้วย
นอกจากนี้ใต้เขาลูกนี้ยังมีทางน้ำไหลลอดใต้ผ่าน
ทางออกนั้นอยู่ฝั่งฟากตะวันตก
แต่ยังไม่มีใครสำรวจ
แม้ว่าจะขึ้นไปสำรวจว่าบนเขาลูกนี้มีถ้ำหรืออะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่บ้างนั้นก็ยังไม่มีคนทำ
อาจเป็นเพราะว่างูชุม
แถมเป็นงูเห่าด้วย
ถนนจากควนขนุนไปยังตัวจังหวัดนั้นเส้นเดิมเขาว่าเป็นที่ที่ได้จากการบริจาคของชาวบ้าน
แบบว่าใครอยากมีที่ดินติดถนนก็บริจาคที่ส่วนหนึ่งให้รัฐทำถนน
ถนนมันก็เลยคดไปคดมา
พอโครงการถนนสายเอเชียเข้ามา
ก็เลยมีการปรับแนวถนนบางช่วง
ช่วงไหนที่มันเลี้ยวเข้าชุมชนก็ตัดเส้นใหม่เป็นทางตรงเลี่ยงออกมา
การเดินทางก็เลยสะดวกขึ้น
แต่สำหรับบ้านเรือนที่สร้างอยู่บนแนวถนนเส้นเดิมนั้นดูเหมือนว่ากาลเวลาจะหยุดนิ่งไป
บรรยากาศสองข้างทางที่มีไม้ใหญ่ร่มรื่นก็ยังคงเป็นแบบนั้น
เว้นแต่บางช่วงที่ใกล้ชุมชนได้มีการขยายถนนจาก
๒ ขึ้นเป็น ๔ ช่องทางจราจร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยทักษิณมาตั้งที่อำเภอควนขนุนหรือเปล่า
จึงทำให้ตัวเมืองพัทลุงค่อนข้างจะมีการขยายตัวขึ้นเหนือมาตามแนวถนนเส้นนี้
แทนที่จะไปทางตะวันตกเส้นที่มุ่งไปตรัง
หรือลงใต้เส้นที่มุ่งไปหาดใหญ่
มีร้านอาหารโผล่ขึ้นหลายร้าน
แถวนี้จะมีร้านสเต็กอยู่ร้านหนึ่ง
ท่าทางจะขึ้นชื่อมาก
ขนาดมีคนขับรถมาจากหาดใหญ่หรือนครศรีธรรมราชเพื่อมากินอาหารที่ร้านนี้
ผมเองก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปกินเป็นครั้งแรกก็คราวนี้เอง
แต่ไม่ขอให้ความเห็นใด ๆ
ถนนเส้นนี้ยังทำหน้าที่เป็นคันกั้นน้ำด้วย
เวลาที่ฝนตกหนัก
น้ำจะไหลหลากมาจากเขาบรรทัดที่อยู่ทางตะวันตก
ดังนั้นชุมชนที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของถนนก็จะโดนน้ำท่วมก่อน
ก่อนที่จะไหลหลากข้ามมาท่วมทางฝั่งตะวันออก
จะว่าไปชุมชนทั้งสองฝั่งถนนแถวนี้
สามารถนับลำดับญาติกันได้ทั้งนั้น
ลำดับที่อยู่ใกล้กับผมหน่อยจะอยู่ทางฝั่งตะวันออก
ทางฝั่งตะวันตกก็จะเป็นอีกสายหนึ่งที่อยู่ห่างหน่อย
เรียกว่าต้องย้อนขึ้นไปถึงรุ่นทวดก่อนแล้วค่อยนับลงมาอีกทางหนึ่ง
ที่บ้านทุ่งขึงหนังนี้จะมีวัดทุ่งขึงหนังเป็นวัดประจำหมู่บ้าน
ญาติฝ่ายคุณแม่ของผมเวลามีงานอะไรก็จะไปจัดกันที่วัดนี้เป็นประจำ
ไม่ว่าจะเป็นงานทำบุญหรืองานศพ
ก็เรียกได้ว่าได้แวะเวียนไปเป็นประจำตั้งแต่เด็กเวลาที่ได้ไปเที่ยวที่นั่น
หลายสิ่งในวัดก็เปลี่ยนไป
ที่เห็นเหมือนเดิมอยู่ก็มีแต่หอระฆัง
ตอนเด็ก ๆ
นั้นเห็นเขาไปโปรยทานจากหอระฆังก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นหอสูง
แต่ทำไมตอนนี้จึงรู้สึกว่ามันเตี้ยจังก็ไม่รู้
หรือเป็นเพราะว่าในบริเวณตัววัดมีการถมที่ให้สูงขึ้น
เพื่อที่เวลาน้ำท่วมจะได้ไม่รู้สึกว่าน้ำมันท่วมสูงมาก
(คือมันก็ยังท่วมอยู่ดี)
ด้านหลังวัดที่ติดกับเมรุจะเป็นสวนยาง
ไม่รู้ว่าเป็นธรรมเนียมของคนทางด้านนี้หรือเปล่า
ที่ว่าเวลามีงานศพหรืองานวัดใด
ๆ มักจะมีการไปตั้งบ่อนในสวนยางหลังวัดกันเป็นประจำ
มีอยู่ปีหนึ่งไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่วัดแห่งหนึ่ง
บนศาลานั้นพระท่านก็กำลังสวดให้ศีลให้พรระหว่างการเลี้ยงพระเพล
ด้านหลังศาลานั้นก็มีการเตรียมตัวกันหลายวง
ทั้งไฮโลและน้ำเต้าปูปลาและอื่น
ๆ อีก ตอนงานศพคุณยายของผมเมื่อกว่า
๑๐ ปีที่แล้วที่วัดนี้
ก็ดูเหมือนจะมีการตั้งวงอยู่ในสวนยางหลังวัดเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าใครจากไหนเป็นเจ้ามือเพราะไม่ได้เข้าไปดู
แต่ถึงเข้าไปดูก็คงไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร
พอผมโตขึ้นก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสลงไปที่นี่เท่าไรนัก
ก็เลยต้องขอบันทึกเรื่องเหล่านี้เอาไว้กันลืม
ว่าตอนเด็ก ๆ
นั้นเคยได้ยินหรือได้เห็นอะไรมาบ้าง
สิ่งใดบ้างที่เคยมี
และชีวิตชุมชนคนที่นี่เป็นอย่างไร
รูปที่
๒ เขาพนมวังก์ ถ่ายเมื่อตอนเช้า
มองจากสวนหลังบ้านของคุณน้าที่ไปพักอยู่
รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่
๒๐ พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนรูปอื่น
ๆ ที่เหลือถ่ายเอาไว้เมื่อวันพุธที่
๒๒ พฤษภาคม
รูปที่
๓ โรงเรียนวัดทุ่งขึงหนัง
ตั้งอยู่คนละฟากถนนของวัดทุ่งขึงหนัง
ปัจจุบันมีนักเรียนลดลงไปมาก
สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการเดินทางที่สะดวกขึ้น
ทำให้การเดินทางไปเรียนยังโรงเรียนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปนั้นทำได้ง่ายขึ้น
รูปที่
๑๐ เมรุเผาศพที่อยู่ทางด้านหลังติดสวนยาง
เมรุนี้มีมาทีหลัง
ตอนผมยังเด็กที่วัดยังไม่มีเมรุ
ตอนงานเผาศพคุณตามีคุณลุงคนหนึ่งไปจ้างเมรุชั่วคราวมาใช้
รูปที่
๑๓ เขาพนมวังก์เมื่อมองจากทางเข้าวัดไปทางตะวันออก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น