"...
เอ็นจิเนียร์
..(จับใจความไม่ได้)..
เหลือแต่เหล็กของบูทรองเท้าหัวเหล็ก
และยังมีเอ็นจิเนียร์อีกหลายคนที่หน้าแบบ
..
แบบนี้ครับ
ทุกวันนี้ยังมีชีวิตอยู่นะครับ
อายุก็ใกล้ ๆ กับผม
หลายคนก็ยังทำงานอยู่ที่นั่น
..."
ข้อความข้างต้นผมถอดมาจากส่วนหนึ่งของวิดิทัศน์บันทึกการบรรยายของผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่ง
ที่ท่านมาบรรยายให้กับนิสิตและคณาจารย์ของภาควิชาฟัง
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๘ มิถุนายน
๒๕๕๖ หรือเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว
เหตุการณ์การระเบิดครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม
๒๕๓๑ ผมเองเพิ่งจบได้ไม่ถึงปี
ตอนนั้นก็ทำงานอยู่ที่ระยองพอดี
รุ่งเช้ายังมีโอกาสได้ไปดูตัวโรงงานที่ได้รับความเสียหายจากภายนอก
และได้มีโอกาสได้ฟังข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นหนึ่งในผู้สวบสวนอุบัติเหตุ
ซึ่งตอนนั้นทางบริษัทที่ผมทำงานอยู่เขาเชิญมาบรรยายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะบริษัทที่ผมทำงานอยู่นั้นก็ใช้กระบวนการผลิตทำนองเดียวกัน
อีกราว
ๆ ครึ่งปีถัดมาผมก็ลาออกจากงานที่ระยองเพื่อรับทุนไปศึกษาต่อ
ตอนนั้นผมบอกกับอาจารย์ที่เขาอยากให้ผมรับทุนไปเป็นอาจารย์ว่า
ให้ไปขอกับกรรมการผู้จัดการบริษัท
เพราะเขาส่งผมไปอบรมที่ญี่ปุ่น
และผมยังไม่ได้อยู่ start
up โรงงานให้เขา
ถ้าเขาอนุญาตให้ผมไป
ผมก็ยินดีไป
แกก็เลยติดต่อไปยังกรรมการผู้จัดการบริษัทที่ผมทำงานอยู่โดยตรง
(เขาเป็นเพื่อนกัน)
ปรากฏว่ากรรมการผู้จัดการเขาอนุญาต
ผมก็เลยได้มานั่งทำงานอยู่ตรงนี้จนถึงทุกวันนี้
สาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าวค้างคาใจผมมาตลอด
จนกระทั่งเรียนจบและกลับมาทำงาน
ได้มีโอกาสพบกับผู้รอดชีวิตรายหนึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว
(เขามาเรียนโทภาคนอกเวลาราชการที่ภาควิชา)
แต่พอได้เห็นสภาพบาดแผลที่เขาได้รับจากการถูกไฟคลอก
ผมก็ไม่กล้าถามเขาเรื่องนั้น
ใช่แล้วครับ
ผมเข้าใจความหมายของข้อความที่ผมเน้นไว้ในย่อหน้าแรก
ถ้ายังสงสัยอยู่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไร
และยังไม่มีความรู้พื้นฐานในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง
ขอแนะนำให้อ่าน Memoir
ย้อนหลังต่อไปนี้ประกอบเพื่อเป็นการปูพื้นฐาน
ก่อนดูคลิปวิดิทัศน์ที่แนบมา
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๕๘ วันอาทิตย์ที่
๒๐ กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"Ethylene polymerisation"
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๔๔๑ วันเสาร์ที่
๒๘ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง
"เพลิงไหม้โรงงานผลิต HDPE เมื่อธันวาคม ๒๕๓๑"
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๔๓ วันศุกร์ที่
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"สาเหตุที่แก๊สรั่วออกจาก polymerisation reactor"
ฉบับที่
๕๘ นั้นเป็นพื้นฐานว่ากระบวนการสังเคราห์พอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง
(High
Density Polyethylene หรือ
HDPE)
มีรูปแบบใดบ้าง
และทำไมโรงงานที่ออกแบบมาเพื่อการผลิต
HDPE
จึงน่าจะเอามาประยุกต์ใช้ในการผลิตพอลิโพรพิลีน
(Polypropylene
หรือ
PP)
ได้
ส่วนฉบับที่ ๔๔๑
เป็นภาพที่ผมถ่ายจากด้านนอกโรงงาน
และฉบับที่ ๖๓๔
เป็นการสรุปจากข้อมูลที่จดเอาไว้จากที่ได้ฟังในการบรรยายในวันที่
๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖
นั้นและอิงจากข้อความที่ปรากฏในสไลด์เป็นหลัก
(ในรูปที่นำมาแสดง)
แต่สัปดาห์นี้เพิ่งจะได้บันทึกวิดิทัศน์การบรรยายดังกล่าวที่ภาควิชาเอาไปซุกเอาไว้
และต้องขอขอบคุณคุณกิจชัยที่ไปช่วยรื้อค้นมาให้
วันนี้ก็เลยขอนำเอาการบรรยายที่ตัดมาเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวมาบันทึกเอาไว้เพื่อไม่ให้ไฟล์ใหญ่เกินไป
การบรรยายในวันนั้นมีการพูดถึงการเกิดอุบัติเหตุสำคัญ
๗ ครั้งด้วยกัน เอาไว้จะค่อย
ๆ นำมาลงให้รับชมกัน โดย ๖
ครั้งเป็นการเกิดในประเทศไทย
และ ๑ ครั้งแม้ว่าจะเกิดที่ต่างประเทศ
(เพลิงไหม้แท่นขุดเจาะในทะเล)
แต่ก็เป็นของบริษัทไทยที่ไปทำกิจการที่นั่น
การที่เชื้อเพลิงจะลุกไหม้ได้นั้นต้องมีองค์ประกอบ
๓ ส่วนด้วยกันคือ (ก)
ตัวเชื้อเพลิงและ
(ข)
สารออกซิไดซ์
ที่ผสมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะ
(คือเชื้อเพลิงมีไม่น้อยเกินไป
หรือมีมากเกินไปจนปริมาณสารออกซิไดซ์มีไม่พอ)
และมักจะเป็นส่วนผสมที่อยู่ในรูปของไอหรือเฟสแก๊ส
และ (ค)
แหล่งพลังงานกระตุ้น
สำหรับการทำงานในโรงงานนั้นแหล่งพลังงานกระตุ้นมีมากไปหมด
เพราะเต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า
พื้นผิวที่ร้อน และเปลวไฟ
ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้จึงเน้นไปที่การลดโอกาสที่เชื้อเพลิงจะผสมกับอากาศ
(ที่เป็นสารออกซิไดซ์ที่มีอยู่รอบ
ๆ ตัวเราอยู่แล้ว)
เป็นหลัก
ด้วยการเก็บเชื้อเพลิงไว้ในระบบไม่ให้รั่วไหลออกมาผสมกับอากาศภายนอก
แต่สำหรับสารพวกอะเซทิลีน
(acetylene)
เอทิลีนออกไซด์
(ethylene
oxide) และวัตถุระเบิดนั้น
สารสองตัวแรกมีพลังงานในตัวเองที่สูง
ส่วนวัตถุระเบิดก็มีส่วนประกอบที่เป็นสารออกซิไดซ์อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้วสูง
ดังนั้นมันจึงสามารถระเบิดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในอากาศ
การป้องกันไม่ให้สัมผัสกับอากาศก็ไม่ได้ช่วยป้องกันการระเบิด
ในพื้นที่ปิดล้อม
(เช่นในอาคาร)
หรือเสมือนว่าเป็นพื้นที่ปิดล้อม
(เช่นพื้นที่กลางแจ้งที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดี)
ไอระเหยของเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมาจะไม่สามารถฟุ้งกระจายออกไปได้ง่าย
ทำให้ส่วนผสมนั้นมีความเข้มข้นถึงระดับ
Lower
Explosive Limit (LEL
คือความเข้มข้นต่ำสุดของเชื้อเพลิงในอากาศที่สามารถจุดระเบิดได้)
ได้เร็วแม้ว่าจะรั่วไหลออกมาในปริมาณที่ไม่มาก
การระเบิดในรูปแบบนี้เรียกว่า
Confined
Vapour Cloud Explosion หรือบางทีก็เรียกว่า
Vapour
Cloud Explosion (VCE)
แต่ถ้าเป็นกรณีของพื้นที่เปิดเช่นที่โล่งแจ้ง
ไอระเหยของเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมาจะสามารถฟุ้งกระจายออกไปได้ง่าย
โอกาสที่จะสะสมจนมีความเข้มข้นสูงถึงระดับ
LEL
จึงน้อย
เว้นแต่ว่าจะมีการรั่วไหลออกมาในปริมาณมาก
(จะหลายร้อยกิโลกรัมหรือหลายตันก็ไม่แปลก)
แพร่กระจายปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างก่อนพบกับแหล่งพลังงานที่เป็นตัวกระตุ้นการเผาไหม้
การระเบิดในรูปแบบนี้เรียกว่า
Unconfined
Vapour Cloud Explosion หรือย่อว่า
UVCE
และการระเบิดแบบ
UVCE
นี้จะมีความรุนแรงมากกว่าการระเบิดแบบ
VCE
มาก
เพราะปริมาณเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมานั้นมากกว่า
(แต่ทั้งนี้การระเบิดทั้งสองแบบก็ทำให้คนตายได้ทั้งคู่)
ในกรณีของการรั่วไหลของเชื้อเพลิงในที่โล่งนั้น
เมื่อไอเชื้อเพลิงที่ผสมกับอากาศในสัดส่วนพอเหมาะนั้นพบกับแหล่งพลังงาน
ไอผสมก็จะเกิดการลุกไหมที่แผ่ขยายออกจากจุดนั้น
เนื่องจากปฏิกิริยาการเผาไหม้นั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
ความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาจะทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงที่อยู่ถัดจากเปลวไฟนั้นรวดเร็วขึ้นไปอีก
ดังนั้นเปลวไฟที่เริ่มลุกไหม้จากแหล่งพลังงานกระตุ้นก็จะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อย
ๆ ในช่วงที่ความเร็วเปลวไฟนี้ยังต่ำกว่าความเร็วเสียง
จะเรียกว่าเป็น deflagration
ความเสียหายที่เกิดจาก
deflagration
นี้จะเกิดจากความร้อนจากเปลวเพลิงเป็นหลัก
แต่เมื่อใดก็ตามที่หน้าคลื่นการเผาไหม้นั้นเร็วจนถึงระดับความเร็วเสียงหรือสูงกว่า
จะเรียกว่าเป็นการระเบิดหรือ
detonation
ซึ่งจะมีอำนาจการทำลายล้างที่เกิดจากคลื่นกระแทกหรือ
shock
wave เพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ที่ทำให้โครงสร้างต่าง ๆ
เสียหายตามมาด้วย
ที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมตรงนี้นิดนึงก็เพราะกรณีอุบัติเหตุรถบรรทุกแก๊สหุงต้มที่พลิกคว่ำจนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้และมีผู้เสียชีวิตเกือบ
๑๐๐ รายที่จุดลงทางด่วนถนนเพชรบุรีเมื่อคืนวันจันทร์ที่
๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ นั้น
แม้ว่าจะมีการรั่วไหลของแก๊สออกมาในปริมาณมาก
แต่ในทางวิชาการยังจัดว่าเป็นแบบ
deflagration
อยู่
ยังไม่จัดว่าเป็น UVCE
ปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์มีการสร้างพันธะทางเคมีระหว่างโมเลกุลเข้าด้วยกัน
จึงเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
ยิ่งมีการต่อโมเลกุลเข้าด้วยกันมาเท่าใด
ความร้อนที่คายออกก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการผลิตพอลิเอทิลีน
กับพอลิโพรพิลีน
การผลิตพอลิเอทิลีนจะมีการคายความร้อนต่อหน่วยน้ำหนักพอลิเมอร์ที่ผลิตได้นั้นสูงกว่าการผลิตพอลิโพรพิลีน
ดังนั้นที่กำลังการผลิตเท่ากัน
(คิดในรูปของน้ำหนักพอลิเมอร์ที่ผลิตได้)
โรงงานที่ผลิตพอลิเอทิลีนจะต้องมีระบบระบายความร้อนที่ใหญ่กว่าโรงงานที่ผลิตพอลิโพรพิลีน
และเนื่องจากกระบวนการผลิตพอลิเอทิลีน
(พวก
HDPE
หรือ
LLDPE)
นั้นคล้ายคลึงกับกระบวนการผลิตพอลิโพรพิลีน
(โดยเฉพาะกระบวนการที่ใช้
slurry
phase) มันจึงเป็นไปได้ที่จะนำเอาโรงงานที่ออกแบบมาเพื่อผลิต
HDPE
ด้วย
slurry
phase นั้นมาใช้ในการผลิตพอลิโพรพิลีน
(นี่คือที่มาของข้อความในย่อหน้าแรกของสไลด์ที่นำมาแสดงให้ดูในรูป)
การผลิตด้วยกระบวนการ
slurry
phase นั้น
สารตั้งต้นที่เป็นแก๊สจะละลายเข้าไปในตัวทำละลายไฮโดรคาร์บอน
(ที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิสูงในถังปฏิกรณ์โดยอาศัยความดันช่วย
แต่ถ้ารั่วออกมาก็จะกลายเป็นไอทันที)
และมีการต่อโมเลกุลให้ใหญ่ขึ้น
กระบวนการนี้มีข้อดีคือตัวทำละลายนั้นทำหน้าที่เป็นแหล่งรับความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาก่อนที่จะถ่ายเทความร้อนนั้นให้กับแหล่งรับความร้อนอื่น
เช่นใช้การระเหยของตัวทำละลายโดยให้ไอระเหยของตัวทำละลายนั้นถ่ายเทให้กับน้ำหล่อเย็น
การใช้น้ำหล่อเย็นหล่อเลี้ยงผิวด้านนอกของเครื่องปฏิกรณ์
และการดึงเอาสารแขวนลอยบางส่วนที่อยู่ในเครื่องปฏิกรณ์นั้นมาเข้าเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเพื่อระบายความร้อนออกก่อนป้อนกลับเข้าไปใหม่
แต่ก็ใช่ว่ากระบวนการนี้จะไม่มีข้อเสีย
คือนอกจากต้องมีระบบนำกลับตัวทำละลายกลับมาใช้ใหม่แล้ว
(ต้นทุนสูงขึ้น)
ก็ยังมีปัญหาเรื่องท่ออุดตัน
กล่าวคือในขณะที่สายโซ่พอลิเมอร์ยังมีขนาดไม่ใหญ่มากจะเรียกว่าเป็น
oligomer
ที่ยังละลายอยู่ในตัวทำละลาย
แต่พอสายโซ่ยาวมากพอก็จะกลายเป็นผงอนุภาคของแข็งแขวนลอยอยู่ในตัวทำละลาย
(ที่เรียกว่าเป็น
slurry)
การรักษาอุณหภูมิในระบบท่อจึงมีความสำคัญ
ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป ตัว
oligomer
ก็จะแข็งตัวอุดตันท่อ
แต่ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไป
อนุภาคพอลิเมอร์ก็จะละลายกลับเข้าไปในตัวทำละลายและแข็งตัวอุดตันเมื่อไหลมาถึงส่วนของระบบท่อที่เย็น
หรืออาจหลอมรวมติดกันเป็นก้อนอุดตันท่อได้
และเมื่อเกิดการอุดตันก็ต้องมีการถอดระบบเพื่อกำจัดสิ่งอุดตัน
และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อ
๓๐ ปีที่แล้วก็เกิดขึ้นในขณะที่ทำการกำจัดสิ่งอุดตันในท่อนั้น
ตอนนั้นเครื่องแบบพนักงานที่ใช้กันอยู่ทางระยองยังใช้ผ้าพอลิเอสเทอร์อยู่
(มันถูกดี)
แต่ผ้าชนิดนี้พอโดนไฟคลอกก็จะละลายติดผิวหนัง
บ้านที่ผมเช่าอยู่นั้นอยู่ติดกับคนหนึ่งที่ทำงานที่นั่น
เขาเล่าให้ผมฟังว่า
"คนที่โดนไฟคลอกนั้น
พอกระชากเสื้อออกผิวหนังก็ติดเสื้อมาด้วย
ยังทิ้งไว้หน้าโรงงานเลย
ไม่มีใครกล้าไปเก็บ"
คนที่อยู่มาบตาพุดตอนนี้ทราบไหมครับว่า
ก่อนจะมีเครื่องแบบดังเช่นปัจจุบัน
ต้องรอให้มีคนโดนไฟคลอกก่อนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น