เนินเขาที่ขวางหน้านั้นทำให้เราไม่ทราบว่าอีกฟากด้านของเนินมีอะไรอยู่
ในช่วงสงคราม
แนวรบนั้นเปรียบเสมือนเป็นเนินเขา
สิ่งที่ผู้นำทัพของแต่ละฝ่ายอยากทราบคือ
อีกฝ่ายหนึ่งคิดอะไรอยู่
ซึ่งในระหว่างการรบนั้น
ความคิดที่อยู่ในหัวของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น
ต่างคนต่างได้แต่คาดเดา
แต่เมื่อสงครามสงบลงและทั้งสองฝ่ายได้มาพบปะพูดคุยกัน
ภาพอีกฟากด้านของเนินจากมุมมองของแต่ละฝ่าย
ต่างก็เปิดให้เห็นกัน
B.H.
Liddell Hart เป็นชาวอังกฤษ
เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่
๑ จนได้รับยศเป็นร้อยเอก
(Captain)
ก่อนที่จะออกจากราชการทหาร
มาประกอบอาชีพเป็นนักเขียน
ผู้สื่อข่าวสงคราม
ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์สงคราม
และแนวคิดทางยุทธศาสตร์
งานเขียนทางทหารของเขาช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่
๒ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นายทหารอังกฤษ
แต่ยังรวมถึงฝั่งนายทหารเยอรมันด้วย
รูปที่ ๑ ส่วนหนึ่งของหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่สะสมไว้ ทั้งสามเล่มเขียนโดยบุคคลที่มีบทบาทสำคัญของการรบในภาคพื้นยุโรป เริ่มจากเล่มซ้าย "Panzer Leader" เขียนโดยพลเอก Heinz Guderian ผู้พัฒนาวิธีการรบแบบ Blitzkrieg (ที่ใช้ยานเกราะควบคู่กับอากาศยานเจาะทะลวงลึกเข้าไปหลังแนวรบข้าศึก) ให้สามารถใช้งานได้จริง นำมาใช้กับโปแลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เล่มกลาง "Lost Victories" เขียนโดยจอมพล Eric von Manstein ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนายพลผู้มีความสามารถมากที่สุดของกองทัพเยอรมันจากบรรดานายพลเยอรมันด้วยกัน และเล่มขวาสุด "The German Generals Talk" เขียนโดยร้อยเอก B.H. Liddell Hart นายทหารผู้ผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก่อนจะออกจากราชการทหารมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ทางทหาร หนังสือเกี่ยวกับแนวคิดทางทหารของเขาที่เขียนขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ และสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของเขาถูกอ่านโดยผู้นำทัพทั้งทางฝ่ายอังกฤษและเยอรมัน แต่ฝ่ายเยอรมันเป็นผู้ที่นำไปพัฒนาและปฏิบัติจนได้ผลสำเร็จจริงเป็นฝ่ายแรก
และนั่นเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้เขาได้พบปะพูดคุยกับเหล่านายพลเยอรมันผู้ถูกจับเป็นเชลยทั้งในระหว่างสงครามและเมื่อสงครามโลกครั้งที่
๒ สิ้นสุดลงในปีค.ศ.
๑๙๔๕
(พ.ศ.
๒๔๘๘)
และนำมาสู่หนังสือที่มีชื่อว่า
"The
other side of the hill"
หรืออีกฟากด้านของเนินที่ตีพิมพ์ในอังกฤษในปีค.ศ.
๑๙๔๘
(พ.ศ.
๒๔๙๑)
หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ใหม่เพื่อจำหน่ายในอเมริกาในชื่อ
"The
German Generals Talk" (ผมอยากแปลว่า
"บนสนทนากับนายพลเยอรมัน")
รูปที่
๒ หน้าตาของผู้เขียนหนังสือแต่ละเล่มในรูปที่
๑ เริ่มจาก (ซ้าย)
Heinz Guderian ภาพจากหนังสือ
Panzer
Leader (กลาง)
Eric von Manstein ภาพจากหนังสือ
Lost
Victories (ขวา)
B.H. Liddell Hart ภาพจาก
http://www.npg.org.uk
Liddell
Hart นั้นเป็นทหาร
แต่การบาดเจ็บเรื้อรังที่เป็นผลจากการได้รับแก๊สในสงครามโลกครั้งที่
๑ ทำให้เขาต้องออกมาประกอบอาชีพเป็นนักเขียน
การที่เขาเป็นคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุคคลที่มีบทบาทในการสงคราม
(ไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือทางทหาร)
ทำให้เขาแตกต่างจากนักเขียนประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่
๒
หลายรายที่ไม่ได้เป็นคนร่วมสมัยหรือมีอายุขัยรุ่นเดียวกันกับผู้ที่มีบทบาทในสงครามในสมัยนั้น
คนยุคสมัยเดียวกันมักเข้าใจการกระทำของคนต่าง
ๆ ในยุคสมัยนั้น
ซึ่งสิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องปรกติหรือเป็นที่ยอมรับกันในสมัยนั้น
แต่อาจไม่เป็นที่ยอมรับกันสมัยปัจจุบัน
สิ่งหลังนี้เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังเวลาอ่านประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้เขียนที่ไม่ได้เติบโตหรือผ่านเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน
ในฐานะที่เคยเป็นทหาร
เมื่อทหารคุยกับทหารก็คงต้องคุยกันเรื่องยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเป็นหลัก
การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่สำคัญพอ
ๆ กับการเรียนรู้จากชัยชนะ
หนังสือเล่มนี้มีการสัมภาษณ์นายพลเยอรมันเอาไว้หลายคน
แต่ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมากมีอยู่
๓ คนด้วยกันคือ Field
Marshal Gerd von Rundstedt, Filed Marshal Paul Ludwig Ewald von
Kleist (Filed Marshal คือยศจอมพล)
และ
General
der Panzertruppe Wilhelm Ritter von Thoma (เทียบเท่าพลโท
แต่ยศทหารบกเยอรมันมีการระบุหน่วยรบด้วย
เช่นในกรณีนี้ก็เป็นพลโทของหน่วยยานเกราะหรือรถถังนั่นเอง)
สาเหตุก็เพราะ
๓
คนนี้มีบทบาทในการวางแผนการรบและการปฏิบัติการรบที่สำคัญหลายแห่งในสงครามโลกครั้งที่
๒ และเสียชีวิตลงหลังสงครามโลกครั้งที่
๒ สิ้นสุดได้ไม่นาน
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงอาจเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีบันทึกความคิดเห็นของคนเหล่านั้นเอาไว้ในขณะที่ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามยังสดใหม่อยู่
จอมพล
von
Rundstedt จัดได้ว่าเป็นผู้ที่มีอาวุโสมากที่สุดในบรรดานายพลเยอรมัน
เป็นที่เคารพและยำเกรง
แม้แต่ฮิตเลอร์ก็ยังต้องเกรงใจในบางเรื่อง
ไม่เพียงแต่จะเป็นทางฝ่ายเยอรมัน
ทางฝ่ายศัตรูเอง (อังกฤษและฝรั่งเศส)
ก็ยอมรับในความเป็นทหารมืออาชีพของจอมพลผู้นี้
จอมพลผู้นี้เสียชีวิตในปีค.ศ.
๑๙๕๓
(พ.ศ.
๒๔๙๖)
หรือหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดได้
๘ ปี (ตอนนั้นเยอรมันตะวันตกยังอยู่ในการควบคุม
มาได้อิสระภาพและจัดตั้งกองทัพได้ใหม่ในปีค.ศ.
๑๙๕๕
(พ.ศ.
๒๔๙๘)
หรือหลังสงครามสิ้นสุดได้
๑๐ ปี)
จอมพล
Rundstedt
เป็นผู้ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นมาใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่
๑ รวมทั้งได้รับหน้าที่เป็นผู้นำ
Army
group ในการเข้าตีโปแลนด์
ฝรั่งเศส และรัสเซียในช่วงต้น
หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในช่วงก่อนบุกฝรั่งเศสคือ
Eric
von Manstein
ผู้เสนอแผนการรบที่แหวกแนวจนเกินกว่าฝ่ายเสนาธิการของกองทัพเยอรมันจะยอมรับได้
จนกระทั่งได้ฮิตเลอร์เข้ามาแทรกแซงให้ใช้แผนดังกล่าว
และนำไปสู่การพิชิตฝรั่งเศสใน
๖ สัปดาห์ Liddell
Hart ได้ให้บทที่
๗ ในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเฉพาะของจอมพลผู้นี้ในชื่อ
"The
old guard"-Rundstedt
ผมรู้สึกว่าจอมพล
von
Rundstedt ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในหนังสือประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่
๒ ที่เขียนโดยโลกตะวันตก
(เท่าที่ผมมี)
เท่าใดนัก
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าความยิ่งใหญ่ของเขาที่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นายทหารทั้งทางด้านเยอรมันและทางอังกฤษจนนักเขียนในยุคหลังไม่รู้ว่าจะกล่าวโจมตีตรงไหนดี
เขาเป็นเหมือนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับการฝึกและได้รับมอบหมาย
แต่เมื่อสงครามแพ้
ก็เป็นถูกโยนความผิดให้
ชัยชนะของเยอรมันในช่วงแรกของสงครามไม่ได้มาจากการมีอาวุธที่ดีกว่า
แต่มาจากการมียุทธวิธีและการฝึกทหารที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
แตกต่างจากชัยชนะของรัสเซียหรือของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในช่วงหลัง
ที่มาจากการมีอำนาจการยิงและการทำลายล้างที่สูงกว่า
รูปที่
๓ นายพลเยอรมันที่มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่
๒ ที่ Liddell
Hart ได้สัมภาษณ์ไว้
(ซ้าย)
จอมพล
Gerd
von Rundstedt (กลาง)
จอมพล
Paul
Ludwig Ewald von Kleist (ขวา)
Wilhelm Ritter von Thoma ทั้ง
๓ รายนี้เสียชีวิตหลังสงครามสิ้นสุดได้ไม่นาน
รูปจาก http://www.bild.bundesarchiv.de
จอมพล
von
Kleist
เป็นนายพลผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำกองทัพรถถังของเยอรมัน
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดได้ไม่นาน
เขาถูกส่งตัวต่อไปยังยูโกสลาเวียในปีค.ศ.
๑๙๔๖
(พ.ศ.
๒๔๘๙)
และไปยังรัสเซียในปีค.ศ.
๑๙๔๘
(พ.ศ.
๒๔๙๑)
ก่อนที่จะเสียชีวิตในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวเป็นนักโทษรัสเซียในปีค.ศ.
๑๙๕๔
(พ.ศ.
๒๔๙๗)
จัดเป็นนายทหารเยอรมันที่มียศสูงที่สุด
(จอมพล)
ที่เสียชีวิตในขณะที่เป็นเชลยศึกสงคราม
ในสงครามกับรัสเซียนั้น
von
Klesit เป็นผู้นำกองทัพอยู่ในแนวรบด้านใต้ในกลุ่ม
Army
Group Southที่มุ่งหน้าไป
Stalingrad
ก่อนที่จะแยกลงไปทางใต้มุ่งไปสู่คอเคซัสและได้รับหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชา
Army
Group A
เมื่อกองทัพรัสเซียตีโอบล้อม
6th
Army ที่เมือง
Stalingrad
เอาไว้ได้
แผนการณ์ของทางรัสเซียนั้นต้องการตัดทางถอยของ
Army
Group A ด้วย
ในการณ์นี้ von
Kleist ต้องทำการเคลื่อนย้ายกองกำลังทั้งหมดถอยข้ามแม่น้ำ
Don
ที่เมือง
Rostov
ให้ทัน
โชคดีที่เส้นทางถอยนั้นมีกองกำลังใต้การบังคับบัญชาของ
von
Manstein ควบคุมอยู่
ทำให้หน่วงการเคลื่อนรุกของรัสเซียเอาไว้ได้
แต่ก็จำเป็นต้องยืมกองกำลังของ
von
Kleist ไปช่วย
กองกำลังส่วนหนึ่งของ von
Kleist ที่ถอยกลับมาได้และกองกำลังของ
von
Manstein ได้ทำการตีโต้กลับกองทัพรัสเซียที่เมือง
Kharkov
ในการรบที่มีชื่อว่า
The
3rd battle of Kharkov ที่แสดงให้เห็นความสามารถในการวางแผนของ
Manstein
ในการใช้กำลังที่น้อยกว่า
(เยอรมันประมาณ
๗๐,๐๐๐
นายต่อรัสเซียประมาณ ๓๕๐,๐๐๐
นายหรือ ๑ ต่อ ๕)
ในการตีโต้และเอาชนะกองกำลังที่เหนือกว่าได้
ถ้าดูจากช่วงเวลาที่สงครามสิ้นสุดและ
Liddell
Hart ได้มีโอกาสสนทนากับ
von
Kleist ไปจนถึงเวลาที่เขาถูกส่งตัวไปยังยูโกสลาเวียและรัสเซียนั้น
ทำให้อาจเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้อาจเป็นหนังสือเล่มเดียวของทางโลกตะวันตกที่ได้มีการสัมภาษณ์จอมพลผู้นี้เอาไว้
ถ้า
Guderian
เป็นหมายเลข
๑ ของผู้บุกเบิกในการนำรถถังมาใช้ในการรบของกองทัพเยอรมัน
von
Thoma ก็คงเป็นหมายเลข
๒ ที่ตามมาติด ๆ
แต่การที่เขาไม่ค่อยได้ถูกกล่าวถึงนักอาจเป็นเพราะว่าเขาถูกจับเป็นเชลยในช่วงต้นสงคราม
(ในระหว่างการรบที่
El
Alamen ในอียิปต์ในปีค.ศ.
๑๙๔๒
(พ.ศ.
๒๔๘๕))
และเสียชีวิตหลังสงครามสงบได้ไม่นาน
(เสียชีวิตในปีค.ศ.
๑๙๔๘
(พ.ศ.
๒๔๙๑)
หรือเพียง
๓ ปีหลังสงครามสงบ)
สงครามกลางเมืองในสเปญที่เกิดขึ้นในระหว่างปีค.ศ.
๑๙๓๖-๑๙๓๙
(พ.ศ.
๒๔๗๙-๒๔๘๒)
จัดเป็นสนามรบที่เปิดโอกาสให้มีการทดสอบทฤษฎีใหม่
ๆ ทางทหาร
หนึ่งในทฤษฎีนั้นคือการใช้บอากาศยานในการทำลายแนวหลังข้าศึกและใช้ยานเกาะในการบุกทะลวง
หนึ่งในประเทศที่ให้การสนับสนุนกองทัพฝ่าย
Nationalist
ที่นำโดยนายพลฟรังโกคือเยอรมัน
และพันเอก Ritter
von Thoma
ก็เป็นหนึ่งในนายทหารของเยอรมันที่ได้เข้าร่วมในการรบในสงครามดังกล่าว
หน่วยทหารสำคัญที่เยอรมันส่งไปช่วยคือหน่วยรถถังและกองทัพอากาศ
ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่
๒ von
Thoma
ทำหน้าที่คุมกรมรถถังปฏิบัติการในโปแลนด์ก่อนได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายพลและคุมกองพลรถถังในการบุกรัสเซีย
ในเดือนปลายปีค.ศ.
๑๙๔๒
(พ.ศ.
๒๔๘๕)
von Thoma
ถูกส่งไปช่วยการรบในอาฟริกาเหนือในจังหวะที่สถานการณ์กำลังจะพลิกกลับ
คือการตีโต้กลับของกองทัพที่
๘ ของอังกฤษนำโดยนายพล
Montgomery
ในการรบที่
El
Alamein ในอียิปต์
วันที่
๔ พฤศจิกายนปีค.ศ.
๑๙๔๒
กองกำลังรถถังที่นำโดย von
Thoma ถูกทำลายรวมทั้งรถถังของเขาเองด้วย
von
Thoma ถูกจับเป็นเชลยสงครามในวันนั้น
และในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง
ก็ได้ร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกับนายพล
Montgomery
ที่กองบัญชาการของ
Montgomery
แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น
(Churchill)
เองก็ยังยอมรับความสามารถของ
von
Thoma ด้วย
การกระทำที่เรียกว่าอาชญากรสงครามนั้นจะว่าไปแล้วมันก็ทำกันทั้งสองฝ่าย
เพียงแต่ฝ่ายผู้แพ้เท่านั้นที่จะถูกนำตีแผ่ขยายความเพื่อหาความชอบในการกระทำของผู้ชนะ
ถ้าสังเกตุดูภาพยนต์จากทางสหรัฐบางเรื่องในช่วงหลัง
ๆ (เช่น
Saving
Private Ryan และ
Band
of Brothers) ก็จะเห็นมีการแทรกฉาก
การยิงทิ้งเชลยศึกชาวเยอรมัน
การปล้นทรัพย์ประชาชนที่อยู่ภายใต้การยึดครอง
และการสังหารประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม
ในส่วนของผู้บัญชาการกองทัพนั้น
ถ้าไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเป็นคนออกคำสั่งโดยตรง
ก็มักจะเป็นการกล่าวหาว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิด
ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้
Liddell
Hart กล่าวถึงนายพลเยอรมันเอาไว้ว่า
"The
German generals of this war were the best-finished product of their
profession-anywhere. They could have been better if their outlook
had been wider and their understanding deeper. But if they had
become philosopers they would have ceased to bo soldiers."
รูปที่
๔ รูปนี้นำมาจาก
http://www.iwm.org.uk/collections/item/object/205194821
พร้อมกับคำบรรยายภาพว่า
"©
IWM (E 19129) Catalogue number E 19129 : The Second World War 1939 -
1945: General von Thoma, Commander of the famed Afrika Corps,
surrenders to Montgomery at 8th Army TAC HQ. The victory at Alamein
marked the turning point in Allied fortunes in the Second World War."
Montgomery คือคนที่ยืนอยู่ทางด้านซ้าย
ไม่ใส่หมวก ส่วน von
Thoma คือคนที่ยืนทำความเคารพอยู่ทางด้านขวา
หมายเหตุ
ประวัติของนายพลทั้ง ๓ ราย
อ่านเพิ่มเติมได้จาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Gerd_von_Rundstedt
http://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Ludwig_Ewald_von_Kleist
http://en.wikipedia.org/wiki/Ritter_von_Thoma
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น