เมื่อตอนช่วงวันลอยกระทงที่ไปประชุมวิชาการที่หาดใหญ่นั้น
ผมได้เข้าไปนั่งฟังการนำเสนอผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
TiO2
ที่ใช้แสงในการสลายโมเลกุลสารอินทรีย์ซึ่งได้แก่
Methylene
blue ที่ละลายอยู่ในน้ำ
Methylene
blue นั้นมีสีน้ำเงิน
ดังนั้นผู้วิจัยจึงเลือกใช้เทคนิคทางด้านสเปกโตรสโคปีในการวัดความเข้มข้นของ
methylene
blue กล่าวคือเขาจะดูการดูดกลืนคลื่นแสงสีน้ำเงิน
ถ้ามีการดูดกลืนคลื่นแสงสีน้ำเงินมากเขาก็จะสรุปว่ามีปริมาณ
methylene
blue ในสารละลายอยู่มาก
ในทางกลับกันถ้ามีการดูดกลืนคลื่นแสงสีน้ำเงินน้อยก็จะสรุปว่าในสารละลายนั้นมีปริมาณ
methylene
blue ที่น้อย
ในการทดลองของเขานั้นเขาเริ่มจับเวลาจากการเริ่มฉายแสง
และเก็บน้ำตัวอย่างมาวิเคราะห์ตามเวลาที่กำหนด
ซึ่งเขาพบว่าในน้ำตัวอย่างที่มีการเติม
TiO2
เข้าไปนั้นการดูดกลืนคลื่นแสง
"สีน้ำเงิน"
ของน้ำตัวอย่างนั้น
"ลดลง"
เมื่อเวลาผ่านไปมากกว่าน้ำตัวอย่างที่ไม่มีการเติม
TiO2
ทำให้เขาสรุปว่า
TiO2
เมื่อได้รับแสงจะสามารถลดปริมาณ
methylene
blue ในน้ำตัวอย่างลดลงได้
ในช่วงการถาม-ตอบผมได้ถามเขาว่าแล้ว
methylene
blue ที่หายไปนั้นกลายไปเป็นสารใด
เขาตอบผมว่ากลายไปเป็น CO2
และน้ำ
ซึ่งตรงนี้ผมแย้งเขากลับไปว่าแน่ใจหรือว่าออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ
(dissolved
oxygen) นั้นมีมากเพียงพอที่จะสลายโมเลกุล
methylene
blue ให้กลายไปเป็น
CO2
และน้ำได้อย่างสมบูรณ์
และที่สำคัญคือการที่
"สีหายไป"
ไม่ได้หมายความว่า
"สาร"
หายไป
เพราะสารอินทรีย์หลายชนิดนั้นถ้าเราเปลี่ยนโครงสร้างมันนิดเดียว
สีมันก็เปลี่ยนไปแล้ว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
phenolphthalein
(รูปที่
๑)
ที่เมื่อโมเลกุลมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการรับ
H+
หรือ
OH-
ก็ทำให้สีของโมเลกุลเปลี่ยนไปมาระหว่างไม่มีสีและสีชมพูเข้มได้
ดังนั้นการที่เราทำให้สารละลายที่มี
phenolphthalein
ละลายอยู่และมีสีชมพูนั้นกลายเป็นสารละลายที่ไม่มีสี
เราไม่จำเป็นต้องทำการทำลายโมเลกุล
phenolphthalein
ให้สิ้นซาก
เราทำเพียงแค่เปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลเพียงเล็กน้อย
(โดยการปรับ
pH
ให้เป็นกรด)
สีชมพูเข้มของสารละลายก็จะหายไปแล้ว
แต่ในสารละลายนั้นยังคงมี
phenolphthalein
อยู่
รูปที่
๑ Phenolphthalein
เปลี่ยนสีไปมาได้ระหว่างไม่มีสีและสีชมพูเข้ม
ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของH+
และ
OH-
ในสารละลายซึ่งทำให้โมเลกุล
phenolphthalein
มีการเปลี่ยนแปลงเพียงบางตำแหน่งเท่านั้น
(ที่วงแดงไว้)
การทำให้
phenolphthalein
ที่มีสีชมพูเข้มกลายเป็นไม่มีสี
ไม่จำเป็นต้องทำลายโมเลกุล
phenolphthalein
ทั้งโมเลกุล
ทำเพียงแต่เปลี่ยนหมู่ฟังก์ชันที่บางตำแหน่งเท่านั้นก็พอ
(ภาพจาก
http://www.chempage.de/lexi/phenolphthalein.htm)
Methylene
blue
เป็นสารเคมีตัวที่เห็นใช้กันบ่อยครั้งในการเปรียบเทียบความสามารถของ
photocatalyst
ต่าง
ๆ ในปฏิกิริยา photocatalysis
ของสารอินทรีย์ในน้ำ
และวิธีการวัดความเข้มข้นของ
methylene
blue ที่เหลืออยู่ที่นิยมกันก็คือวัดการดูดกลืนคลื่นแสงสีน้ำเงิน
แต่ถ้าดูรูปที่
๒ จะเห็นว่า methylene
blue
สามารถเปลี่ยนจากโครงสร้างที่มีสีน้ำเงินกลายไปเป็นโครงสร้างที่ไม่มีสี
ด้วยการรับโปรตอนเพียงตัวเดียวเท่านั้น
ดังนั้นการที่สีของ methylene
blue หายไปจึงไม่ได้หมายความว่ามันต้องสลายตัวไปเป็น
CO2
และน้ำ
เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงตรงบางตำแหน่งของโมเลกุลก็สามารถทำให้สีน้ำเงินหายไปได้แล้ว
ดังนั้นผมจึงเห็นว่าการสรุปว่า
"เมื่อการดูดกลืนคลื่นแสงสีน้ำเงินลดง
ปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำก็ลดลงไปด้วย"
นั้นเป็นการด่วนสรุปเกินไป
เพราะมันยังอาจมีอยู่เท่าเดิม
(คิดในหน่วยของจำนวนอะตอมคาร์บอน)
เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นโมเลกุลอื่นที่ไม่มีสีเท่านั้นเอง
รูปที่
๒ โครงสร้างโมเลกุลของ
Methylene
blue
จะเห็นว่าโมเลกุลสามารถเปลี่ยนจากรูปที่มีสีน้ำเงินกลายไปเป็นไม่มีสีด้วยการเปลี่ยนแปลงจำนวนโปรตอนเพียงตัวเดียวเท่านั้น
(ภาพจาก
http://www.alzforum.org/new/Schirmer.asp)
ใครอยากรู้เรื่องการมีสีของสารอินทรีย์หรือทำการวิจัยที่อาศัยการเปลี่ยนสีของสารอินทรีย์นั้นควรที่จะมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับ
chromophore
เอาไว้บ้าง
จะได้รู้ว่าหมู่ฟังก์ชันแบบไหนที่ทำให้สารอินทรีย์มีสีได้
และการที่หมู่ฟังก์ชันนั้นถูกทำลาย
(โดยไม่จำเป็นต้องทำลายโมเลกุลทั้งโมเลกุล)
ก็สามารถทำให้สีของสารอินทรีย์นั้นหายไปได้
ผมว่าถ้าอาจารย์ที่ปรึกษานิสิตปริญญาเอกคนนั้นที่เผมเล่าใน
memoir
ฉบับที่แล้วพอจะมีความรู้พื้นฐานด้านเคมีอินทรีย์บ้าง
(ทั้ง
ๆ ที่ปฏิกิริยาต่าง ๆ
เกือบทั้งหมดที่เขาศึกษาก็เป็นปฏิกิริยาเคมีอินทรีย์ทั้งนั้น)
ก็คงไม่ต้องโดนอาจารย์ต่างประเทศที่เชิญมาเป็นกรรมการสอบเทศน์พื้นฐานวิชาเคมีอินทรีย์ให้ฟังในห้องสอบ