เวลาเรียนเคมีอินทรีย์
สารตัวหนึ่งที่มักปรากฏเป็นตัวกลางในการเตรียมสารตัวอื่นคือ
Grignard reacgent
ที่มีสูตรทั่วไปคือ
R-Mg-X เมื่อ
R คือหมู่
alkyl หรือ
aryl และ
X คือฮาโลเจน
สารประกอบตัวนี้มีความว่องไวสูง
สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศได้ทันที
ดังนั้นในการใช้งานจึงมักเตรียมกันเองในห้องปฏิบัติการ
และเตรียมในรูปของสารละลายในตัวทำละลายที่ปราศจากน้ำ
(เช่นในไดเอทิลอีเทอร์
(diethyl ether)
หรือเททระไฮโดรฟูราน
(tetrahydrofuran -
THF)) ซึ่งทำให้มันมีเสถียรภาพดีขึ้น
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว
สารประกอบที่เกิดจากธาตุ
B, Mg และ
Al
สร้างพันธะกับหมู่อัลคิลหรือเอริล
(โดยอาจมีฮาโลเจนร่วมด้วย)
เป็นสารประกอบที่มีความว่องไวสูง
หลายตัวในรูปที่เป็นสารบริสุทธิ์นั้นสามารถลุกติดไฟได้ทันทีเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ
และทำปฏิกิริยารุนแรงกับน้ำ
แต่เมื่ออยู่ในรูปของสารละลายความเข้มข้นต่ำในตัวทำละลายที่เหมาะสม
(เช่นไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวหรืออะโรมาติก)
ความว่องไวดังกล่าวจะลดลงไปมาก
ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้นในการทำงาน
แต่ก็มีบางงานที่ใช้ประโยชน์จากการที่มันสามารถลุกติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับอากาศ
นั่นคือการใช้เป็นตัวจุดระเบิดเชื้อเพลิงใหเกิดการเผาไหม้
(เช่นในเครื่องยนต์เจ็ตและเครื่องยนต์จรวดบางชนิด)
กล่าวคือแทนที่จะจุดระเบิดส่วนผสมของเชื้อเพลิงกับอากาศ
(หรือสารออกซิไดซ์ชนิดอื่น)
ด้วยประกายไฟหรือแหล่งความร้อน
ก็ใช้วิธีฉีดสารเหล่านี้เข้าไปแทน
พอมันสัมผัสกับอากาศก็จะเกิดการลุกติดไฟ
ซึ่งจะไปทำให้เชื้อเพลิงที่ผสมอยู่ในอากาศนั้นลุกติดไฟตามไปด้วย
ตัวอย่างเช่นเครื่องยนต์เจ็ต
Pratt & Whitney
J58 ที่ใช้กับเครื่องบิน
SR-71 Blackbird
ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้
Triethylborane
(B(C2H5)3) เป็นตัวจุดระเบิด
เนื่องจากเชื้อเพลิง JP-7
นั้นมีค่าการระเหยที่ต่ำ
ติดไฟได้ยากด้วยวิธีการทั่วไป
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://en.wikipedia.org/wiki/Pratt_%26_Whitney_J58)
อุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการใช้สารประกอบตัวนี้จำนวนมากในการผลิตคือการผลิตพอลิโอเลฟินส์
และตัวหนึ่งที่มีการใช้กันมากก็คือ
Triethylaluminium
(Al(C2H5)3) (ต่อไปขอเรียกย่อว่า
TEA)
สารตัวนี้ทำหน้าที่เป็น
co-catalyst
ร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยาหลัก
(catalyst)
ที่มักเป็นสารประกอบโลหะทรานซิชัน
(เช่นตระกูล
TiCl4)
หลังการทำปฏิกิริยามักจะมี
TEA
ตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์
(ผงพอลิเมอร์ที่ผลิตได้)
หรือในตัวทำละลาย
(ถ้าเป็นการทำปฏิกิริยาที่มีการใช้ตัวทำละลาย)
หรือในสารตั้งต้นที่เหลือจากการทำปฏิกิริยา
(ซึ่งต้องมีการหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่)
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องทำลายสารเหล่านี้ที่ตกค้างอยู่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับผลิตภัณฑ์
(เมื่อสัมผัสกับอากาศ
เพราะมันอาจทำให้ผลิตภัณฑ์ไหม้ได้)
หรือระบบหมุนเวียนนำกลับสารตั้งต้นมาใช้งานใหม่
(เช่นเครื่องคอมเพรสเซอร์)
รูปที่ ๑
สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,786,717
เสนอวิธีการทำลาย
Aluminium alkyls
โดยใช้ triglycerides
และปฏิกิริยาที่คาดว่าจะเกิด
การเลือกสารที่จะนำมาใช้ทำลายนั้น
มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา
เช่นความรุนแรงของการเกิดปฏิกิริยา
ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการสลายตัว
TEA
ที่ต้องการทำลายนั้นปนเปื้อนอยู่ในสารที่ต้องการกำจัดทิ้งหรือต้องการหมุนเวียนนำกลับไปใช้ใหม่
เป็นต้น ในกรณีของผงพอลิเมอร์ที่สังเคราะห์ได้นั้น
อาจใช้การทำลายด้วยการค่อย
ๆ เติมน้ำในปริมาณน้อย ๆ
หรือใช้แก๊สเฉื่อยที่มีไอน้ำปนอยู่ในปริมาณเล็กน้อย
เพื่อทำลาย TEA
ที่ตกค้างอยู่โดยไม่ให้ปฏิกิริยาเกิดรุนแรงเกินไป
แต่ในกรณีของตัวทำละลายหรือสารตั้งต้นนั้น
จำเป็นต้องพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาระหว่าง
TEA
และสารที่ใช้ทำลายด้วย
ว่ามันจะก่อให้เกิดปัญหาการสะสมในระบบหรือในตัวทำละลายที่จะหมุนเวียนกลับไปใช้ใหม่ด้วยหรือไม่
ตัวอะตอมโลหะของสารประกอบเหล่านี้อาจมองว่าเป็น
Lewis acid
ที่สามารถจับเข้ากับ
Lewis base เช่น
pi electron ของพันธะ
C=C หรือ
lone pair electron
ของอะตอมเช่น O
ดังนั้นการทำลายสารพวกนี้จึงมักใช้สารประกอบที่มี
lone pair electron
เช่นในสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,786,717 (รูปที่
๑)
เสนอวิธีการทำลาย
Aluminium alkyls
โดยใช้ triglycerides
โดยหลักก็จะเป็น
triglyceride
ที่เป็นน้ำมันพืช
(ที่สายโซ่ไฮโดรคาร์บอนแต่ละสายมีจำนวนอะตอม
C อยู่ระหว่าง
7 ถึง
24 อะตอม
และมีตำแหน่งพันธะ C=C
ไม่เกิน 3
ตำแหน่ง
ตัวอย่างหนึ่งที่กล่าวถึงในสิทธิบัตรคือน้ำมันข้าวโพด)
ที่เหมาะสำหรับกระบวนการผลิตพอลิโพรพิลีนที่มีการใช้ตัวทำละลายในการทำปฏิกิริยา
โดยจุดที่ Aluminium
alkyls เข้าทำปฏิกิริยาคือโครงสร้างเอสเทอร์
(-C(O)-O-)
โดยจะทำการละลาย
triglyceride
ในตัวทำละลายที่เหมาะสม
(ก็คือตัวเดียวกับที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์
เช่น นอร์มัลเฮกเซนหรือนอร์มัลเฮปเทน)
รูปที่ ๒
สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,826,665
เสนอวิธีการกำจัด
Aluminum alkyl
ที่ปะปนอยู่ในเฟสแก๊ส
ด้วยการให้แก๊สนั้นสัมผัสกับสารละลายไฮโดรคาร์บอนที่มีกรดไขมันสายโซ่ยาวละลายอยู่
บทบาทของตัวทำละลายนั้นนอกจากจะช่วยทำให้สามารถกระจายสารที่ใช้เป็นตัวทำปฏิกิริยานั้นออกไปทั่วถึง
มันยังทำหน้าที่เป็นแหล่งรับความร้อนของปฏิกิริยาด้วย
กล่าวคือความร้อนที่ปฏิกิริยาคายออกมาจะถูกตัวทำละลายดูดซับเอาไว้
ช่วงลดหรือป้องกันไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มสูง
สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,826,665 (รูปที่
๒)
เสนอวิธีการกำจัด
Aluminum alkyl
ที่ปะปนอยู่ในเฟสแก๊ส
ด้วยการให้แก๊สนั้นสัมผัสกับสารละลายไฮโดรคาร์บอนที่มีกรดไขมันสายโซ่ยาวละลายอยู่
ในกรณีนี้เนื่องจากเป็นการสัมผัสกับเฟสแก๊ส
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีตัวทำละลายระเหยปนไปกับเฟสแก๊ส
ตัวทำละลายที่ใช้ควรต้องมีจุดเดือดที่สูง
(เช่นน้ำมันดีเซล)
ส่วนกรดไขมันนั้นควรมีจำนวนอะตอม
C ระหว่าง
8-12 อะตอม
เอกสารยื่นขอจดสิทธิบัตรสหภาพยุโรปเลขที่
EP 2336202A1 (รูปที่
๓ และ ๔)
คล้ายคลึงกับสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,826,665 (รูปที่
๒)
ต่างกันบางจุดเช่นสิทธิบัตรเลขที่
4,826,665
นั้นไม่ได้ระบุช่วงสภาวะการทำงานที่เหมาะสม
และก็ไม่ได้ให้รายละเอียดกระบวนการ
(เช่น
Scrubber)
ในเอกสารยื่นขอจดสิทธิบัตรฉบับนี้
จะทำการทำลาย Alkyl
aluminium ที่ปนอยู่ในโมโนเมอร์ที่เป็นแก๊ส
ก่อนที่จะทำการเพิ่มความดันให้กับโมโนเมอร์นั้นเพื่อหมุนเวียนนำกลับไปใช้ทำปฏิกิริยาใหม่
เหตุผลที่ต้องกำจัดทิ้งก่อนก็เพราะไม่ต้องการให้มันไปก่อปัญหาที่ตัวคอมเพรสเซอร์
หวังว่านิสิตฝึกงานที่ต้องทำโครงการนี้จากที่บ้าน
(คือไม่มีโอกาสได้ไปเห็นโรงงานจริง)
คงมองเห็นภาพชัดมากขึ้นว่างานที่เขามอบหมายให้ทำนั้น
สำคัญอย่างไร
รูปที่ ๓
เอกสารยื่นขอจดสิทธิบัตรสหภาพยุโรปเลขที่
EP 2336202A1
กล่าวถึงกระบวนการกำจัด
cocatalyst
(ซึ่งก็คือสารประกอบ
Alkyl aluminium)
ออกจากแก๊สที่เป็นสารตั้งต้น
ก่อนจะนำแก๊สนั้นไปใช้ทำปฏิกิริยาใหม่
รูปที่ ๔
กระบวนการที่ถูกกล่าวถึงไว้ในสิทธิบัตรในรูปที่
๓ ผงพอลิเมอร์และสารตั้งต้น
(ที่เป็นของเหลวภายใต้ความดัน)
จะถูกแยกออกจากกันที่
Separator
ด้วยการลดความดัน
ผงพอลิเมอร์ที่เป็นของแข็งจะตกลงสู่ด้านล่าว
ในขณะที่โมโนเมอร์ที่แฟลชกลายเป็นแก๊สนั้นจะออกทางด้านบน
ตัวโมโนเมอร์ที่เป็นแก๊สนั้นจะมี
Alkyl aluminium
ปนอยู่ ซึ่งจะถูกกำจัดออกที่
Scrubber
ด้วยการให้สัมผัสกับกรดไขมันที่มีจำนวนอะตอม
C ระหว่าง
8-12
อะตอมที่ละลายอยู่ในตัวทำละลายที่มีจุดเดือดสูง
(เช่นน้ำมันดีเซล)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น