เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีคนถามมาทาง
facebook
ว่าคิดเห็นอย่างไรกับข้อความหนึ่งที่มีคนกำลังกด
share
ทาง
facebook
เยอะแยะไปหมดในขณะนี้
ข้อความดังกล่าวอยู่ในรูปข้างล่าง
ลองพิจารณาเอาเองก่อนนะ
รูปที่
๑ ข้อความที่มีการกด share
เมื่ออ่านแล้วในครั้งแรกคุณรู้สึกอย่างไร
ไหน
ๆ เขาก็ให้แหล่งที่มาของข้อมูล
ก็เลยต้องขอตามไปตรวจสอบ
และก็ได้ข้อมูลสินค้าส่งออก
๑๕ อันดับแรกของประเทศไทย
ย้อนหลังไป ๕ ปี ดังแสดงในตารางที่
๑ ข้อมูลในตารางที่ ๑
เป็นการเรียงลำดับมูลค่าการส่งออกจากมากไปน้อยโดยใช้ตัวเลขของปีพ.ศ.
๒๕๕๕
นะ
จะเห็นว่าข้าวไม่ได้เป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุดของไทยมาตั้งนานแล้ว
และการที่ไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่รายหนึ่งของโลก
ไม่ได้หมายความว่ารายได้จากการส่งออกข้าวต้องอยู่ในอันดับต้น
ๆ ของรายได้ประเทศ
สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกอันดับต้น
ๆ ของไทยคือ (๑)
เครื่องคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (๒)
รถยนต์
อุปกรณ์และส่วนประกอบ และ
(๓)
อัญมณีและเครื่องประดับ
และในส่วนของสินค้าเกษตรเองนั้น
ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางเองนั้นก็มีมูลค่าการส่งออกรวมที่สูงกว่าข้าวทุกปี
และถ้าพิจารณาว่าในบรรดาสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงนั้น
มีสินค้าใดบ้างที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก
ก็เห็นจะมีแต่ ยางพารา
ผลิตภัณฑ์ยาง และข้าว เท่านั้น
นอกนั้นเป็นการนำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ
เข้ามาแปรรูปและประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย
ก่อนที่จะส่งกลับออกไป
ตารางที่
๑ มูลค่าการส่งออกสินค้า
๑๕ อันดับแรกของปีพ.ศ.
๒๕๕๕
และข้อมูลย้อนหลังไปอีก ๔
ปี
ที่ประเทศใดก็ตามมีการส่งออก
"ผลิตภัณฑ์"
ใดมากนั้น
ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นมี
"วัตถุดิบ"
สำหรับผลิตเป็นผลิตภัณฑ์นั้น
ประเทศนั้นเองอาจใช้การนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศอื่น
ทำการแปรรูปวัตถุดิบนั้นให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
จากนั้นจึงค่อยส่งออก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศญี่ปุ่น
ที่มีการส่งออกทั้งผลิตภัณฑ์ยานยนต์
อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี
ฯลฯ ทั้ง ๆ
ที่ประเทศญี่ปุ่นต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงานเกือบทั้งหมด
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมก็เช่นเดียวกัน
ประเทศผู้มีแหล่ง "น้ำมันดิบ"
ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิต
"น้ำมันสำเร็จรูป"
สูง
และประเทศที่มีกำลังการผลิต
"น้ำมันสำเร็จรูป"
สูงก็ไม่จำเป็นต้องมีแหล่ง
"น้ำมันดิบ"
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล
คือประเทศสิงคโปร์
ผลลองไปค้นดูกำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันของประเทศต่าง
ๆ ที่เห็นรวบรวมเอาไว้ค่อนข้างครบและใกล้เคียงปัจจุบันหน่อยได้มาจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_oil_refineries
(หน้าเว็บวันพุธที่
๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๖)
ซึ่งคัดลอกมาให้ดูเปรียบเทียบ
๓ ประเทศคือไทย สิงคโปร์
และคูเวต
Thailand
Thai
Oil Refinery (Thai Oil Company of PTT), 220,000 bbl/d (35,000 m3/d)
IRPC
Refinery (IRPC PLC of PTT), 215,000 bbl/d (34,200 m3/d)
PTT
Global Chemical Refinery (PTT Global Chemical PLC of PTT), 145,000
bbl/d (23,100 m3/d)
SPRC
Refinery (Star Petroleum Refining Company of PTT), 150,000 bbl/d
(24,000 m3/d)
Bangchak
Refinery (Bangchak Petroleum of PTT), 120,000 bbl/d (19,000 m3/d)
Sri
Racha Refinery (ExxonMobil), 170,000 bbl/d (27,000 m3/d)
Rayong
Purifier Refinery (Rayong Purifier Company), 17,000 bbl/d (2,700
m3/d)
รวม
1,037,000
bbl/d หรือ
165,000
m3/d
Singapore
ExxonMobil
Jurong Island Refinery (ExxonMobil), 605,000 bbl/d (96,200 m3/d)
SRC
Jurong Island Refinery (Singapore Refining Corporation), 285,000
bbl/d (45,300 m3/d)
Shell
Pulau Bukom Refinery (Royal Dutch Shell), 458,000 bbl/d (72,800 m3/d)
รวม
1,348,000
bbl/d หรือ
214,300
m3/d
Kuwait
Mina
Al-Ahmadi Refinery (KNPC), 470,000 bbl/d (75,000 m3/d)
Shuaiba
Refinery (KNPC), 200,000 bbl/d (32,000 m3/d)
Mina
Abdullah Refinery (KNPC), 270,000 bbl/d (43,000 m3/d)
รวม
940,000
bbl/d หรือ
150,000
m3/d
จะเห็นว่าสิงคโปร์นั้นเป็นประเทศที่เล็กกว่าประเทศไทยมาก
จำนวนประชากรน้อยกว่าของกรุงเทพมหานครเสียอีก
แถมมีพื้นที่น้อยกว่าคูเวตที่เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่รายหนึ่งของโลก
แต่กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันของสิงคโปร์นั้นสูงกว่าของประเทศไทยและของคูเวตทั้ง
ๆ ที่สิงคโปร์เองไม่มีแหล่งน้ำมัน
กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศไทยนั้นเพิ่งจะเริ่มไล่ทันกำลังการผลิตที่สิงคโปร์เมื่อไม่นานนี้เอง
การที่กำลังการกลั่นน้ำมันดิบที่สิงคโปร์สูงสุดในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลานาน
ทำให้ตลาดใหญ่ของการซื้อ-ขายน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคนี้จึงไปอยู่ที่สิงคโปร์
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงอิงตลาดที่สิงคโปร์
ดังนั้นในมุมมองของผู้กลั่นน้ำมันและผู้ซื้อน้ำมันสำเร็จรูป
ต้องจะอาศัยราคาที่ตลาดสิงคโปร์
ถ้าราคาที่สิงคโปร์รวมค่าขนส่งแล้วถูกกว่าซื้อจากโรงกลั่นในประเทศไทย
ผู้ซื้อก็จะไปซื้อที่สิงคโปร์แทน
ดังนั้นโรงกลั่นต้องลดราคาลงเพื่อให้ผู้ซื้อไม่ไปซื้อที่สิงคโปร์
ในทางกลับกันถ้าราคาที่สิงคโปร์นั้นสูงกว่าราคาขายในประเทศไทย
โรงกลั่นก็จะส่งน้ำมันไปขายที่สิงคโปร์
ผู้ซื้อในเมืองไทยก็ต้องซื้อด้วยราคาเดียวกับที่สิงคโปร์
อีกข้อมูลหนึ่งที่ค้นได้จากเว็บของกรมธุรกิจพลังงานคือปริมาณการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ
และปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศไทย
(ไทยไม่มีการส่งออกน้ำมันดิบ
แต่มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปยังประเทศเพื่อนบ้าน)
ซึ่งได้นำมาแสดงไว้ในตารางที่
๒
ตารางที่
๒ ปริมาณ (พันบาร์เรลต่อวัน)
และมูลค่า
(ล้านบาท)
ของการนำเข้าน้ำมันดิบ
น้ำมันสำเร็จรูป
และการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป
ของประเทศไทย ข้อมูลจาก
http://www.doeb.go.th/info/value_oil.php
(หน้าเว็บวันอังคารที่
๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๖)
ก่อนอื่นพึงสังเกตว่าข้อมูลตัวเลขมูลค่าการส่งออก
"น้ำมันสำเร็จรูป"
ของกรมธุรกิจพลังงาน
(ตารางที่
๒)
นั้นต่ำกว่าข้อมูลตัวเลขมูลค่าการส่งออก
"น้ำมันสำเร็จรูป"
ของกระทรวงพาณิชย์
(ตารางที่
๑)
แต่ก่อนที่จะตัดสินว่าตัวเลขของฝ่ายใดเชื่อถือได้มากกว่ากันนั้นคงต้องไปดูนิยามของคำว่า
"น้ำมันสำเร็จรูป"
ว่านิยามเอาไว้อย่างไร
ในส่วนของกรมธุรกิจพลังงานนั้นมีการระบุเอาไว้ว่าเป็นข้อมูล
"น้ำมันเชื้อเพลิง"
ซึ่งน้ำมันสำเร็จรูปนั้นอาจครอบคลุมไปถึงพวกน้ำมันหล่อลื่น
น้ำมันเครื่องจักรกลต่าง
ๆ พวกที่ถูกส่งไปเป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิตโอเลฟินส์
หรือไม่ก็พวกที่ใช้ในรูปของตัวทำละลายก็ได้
แต่ทางเว็บของกระทรวงพาณิชย์เองก็ไม่ได้ให้นิยาม
(หรือให้ไว้แต่ผมหาไม่เจอก็ได้)
ว่ากำหนดขอบเขตของน้ำมันสำเร็จรูปไว้แค่ไหน
แถมอีกนิดนึงว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและสำเร็จรูปของประเทศไทยในปีพ.ศ.
๒๕๕๕
เพียงปีเดียว
สูงกว่ามูลค่าการส่งออกข้าวของประเทศไทยตั้งแต่ปี
พ.ศ.
๒๕๕๑
-
๒๕๕๕
รวมกันเสียอีก
อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจคือน้ำมันดิบแต่ละชนิดนั้นกลั่นได้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันไป
และในขณะเดียวกันความต้องการผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ ก็ไม่ได้คงที่ตลอดทั้งปี
ในช่วงที่โรงกลั่นต้องหยุดเดินเครื่องเพื่อทำการซ่อมบำรุงนั้นอาจต้องมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน
และในบางขณะที่ตลาดต่างประเทศต้องการเพิ่มขึ้นนั้น
โรงกลั่นก็อาจเดินเครื่องเต็มกำลังเพื่อให้มีน้ำมันส่วนเกินจากความต้องการในประเทศสำหรับส่งออกขายต่างประเทศก็ได้
กลไกหนึ่งที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมราคาสินค้าก็คือการใช้ภาษีสรรพษามิตซึ่งเป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่ง
ภาษีสรรพษามิตใช้ในการควบคุมราคาสินค้าและบริการที่ไม่ต้องการให้มีการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย
ที่เห็นได้ชัดคือ สุรา บุหรี่
รถยนต์ และสถานบันเทิง
ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงเองนั้นเนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าเกือบทั้งหมด
ถ้าหากปล่อยให้มีราคาถูกเกินไปก็จะเกิดการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย
แต่ถ้ากำหนดภาษีให้สูงเกินไปก็จะทำให้กระทบกระเทือนต่อการดำรงชีวิต
ดังนั้นในทางปฏิบัติรัฐจึงสามารถปรับอัตราภาษีสรรพษามิตเพื่อไม่ให้ราคาขายในประเทศมีความผันผวนมากเกินไป
โดยอาจปรับลดอัตราภาษีลงเพื่อไม่ให้ราคาขายน้ำมันในประเทศเพิ่มรวดเร็วเกินไป
และในทางกลับกันก็สามารถเพิ่มภาษีดังกล่าวได้เพื่อไม่ให้น้ำมันมีราคาตกต่ำเร็วเกินไป
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก
การบิดเบือนราคาน้ำมันด้วยการใช้กลไกภาษีได้ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องโครงสร้างการใช้พลังงานแก่ประเทศไทยในอดีต
ในยุคสมัยหนึ่งเคยมีการมองว่าน้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันของคนรวย
ในขณะที่น้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันเพื่อการพาณิชย์เป็นน้ำมันของคนจน
มีการกำหนดราคาขายน้ำมัน
ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันเบนซิน
ผลที่เกิดขึ้นคือบรรดาผู้ใช้รถยนต์ต่าง
ๆ หันไปใช้รถเครื่องดีเซลกันมาก
ในขณะที่อีกพวกหนึ่งหันไปใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเกิดความฟุ่มเฟือยในการใช้น้ำมันดีเซล
โรงกลั่นในประเทศไม่สามารถผลิตน้ำมันดีเซลเพื่อรองรับตลาดในประเทศได้
ต้องมีการนำน้ำมันดีเซลสำเร็จรูปเข้าจากต่างประเทศ
ในขณะเดียวกันน้ำมันเบนซินที่ผลิตได้ในประเทศล้นความต้องการของตลาดในประเทศ
ต้องหาทางส่งออก
จนกระทั่งมีการลอยตัวราคาน้ำมัน
(น่าจะประมาณปีพ.ศ.
๒๕๓๒)
ซึ่งทำให้ราคาขายน้ำมันของดีเซลเข้ามาอยู่ใกล้กับเบนซิน
(ตอนนี้ที่มันห่างอยู่มากเป็นเพราะการบิดเบือนด้วยกลไกภาษีและกองทุนน้ำมัน)
อีกกรณีหนึ่งที่เคยเป็นที่ถกเถียงคือช่วงประมาณปีพ.ศ.
๒๕๔๘
ที่รัฐบาลกดราคาน้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
ทำมีการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มมากขึ้น
แต่ก็มีการสงสัยว่าน้ำมันดีเซลที่มีการจำหน่ายในขณะนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้งานทั้งหมด
จำนวนไม่น้อยถูกนำไปกักตุนเพื่อเก็งกำไร
เพราะรู้ดีว่ารัฐไม่สามารถกดราคาดีเซลเอาไว้ได้นาน
พอรัฐปล่อยลอยตัว
ราคาน้ำมันดีเซลก็เพิ่มทีเดียวลิตรละหลายบาท
รายการนั้นมีการพูดกันว่าหลายคนได้กำไรไปอื้อซ่าจากราคาน้ำมันดีเซล
ที่เล่ามาเป็นเพียงแค่แง่มุมหนึ่งและมุมมองบางมุมของอุตสาหกรรมน้ำมันแค่นั้นเอง