ปฏิกิริยาการกำจัดน้ำ
(dehydration)
ของหมู่
-OH
(hydroxyl) ที่มีกรดแก่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยานั้นเกิดได้สองรูปแบบด้วยกัน
รูปแบบแรกนั้นเป็นการกำจัดน้ำออกจากโมเลกุลเดียวกัน
ทำให้เกิดพันธะ C=C
รูปแบบที่สองนั้นเกิดระหว่างหมู่
-OH
สองหมู่ด้วยกัน
ทำให้เกิดพันธะอีเทอร์
(ether
R-O-R') (รูปที่
๑)
การเปลี่ยนพันธะ
C=C
ให้กลับมาเป็นหมู่
-OH
นั้นทำได้ไม่ยากด้วยการเติม
H2O
เข้าไป
แต่การแตกพันธะ R-O-R'
ให้กลายเป็นหมู่
-OH
สองหมู่นั้นทำได้ยากกว่ามาก
จำเป็นต้องมีกรดหรือเบสที่แก่มากเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
(รูปที่
๒)
ด้วยเหตุนี้พันธะอีเทอร์จึงค่อนข้างเฉื่อย
ประกอบกับการที่สารประกอบอีเทอร์โมเลกุลเล็กมีจุดเดือดที่ไม่สูง
จึงทำให้มีการนำเอาอีเทอร์มาใช้เป็นตัวทำละลายในการสกัดสารกันอย่างแพร่หลาย
รูปที่
๒ (บน)
ปฏิกิริยา
ether
cleavage (กลาง)
กลไกการเกิดแบบ
SN1
และ
(ล่าง)
กลไกการเกิดแบบ
SN2
อักษร
S
หมายถึงปฏิกิริยา
substitution
อักษร
N
หมายถึง
Nucleophilic
ดังนั้น
SN
หมายถึง
Nucleophilic
substitution หรือปฏิกิริยาการแทนที่ด้วย
nucleophile
ส่วนเลข
1
หรือ
2
หมายถึงเป็นปฏิกิริยาอันดับ
1
หรืออันดับ
2
(รูปจาก
en.wikipedia.org)
แป้งและเซลลูโลสต่างก็ประกอบด้วยหน่วยย่อยคือน้ำตาลกลูโคส
(glucose)
ที่เชื่อมต่อกันด้วยพันธะอีเทอร์ที่เรียกว่า
glycosidic
linkage ความแตกต่างระหว่างสายโซ่แป้งและกลูโคสอยู่ตรงตำแหน่งของหมู่
-OH
ที่แม้ว่าจะอยู่ที่อะตอม
C
ตัวเดียวกัน
แต่การที่มันอยู่บนหรือใต้ระนาบวงแหวนของโครงสร้างโมเลกุลกลูโคสเลยทำให้พันธะอีเทอร์ที่แตกต่างกัน
ในกรณีของแป้งนั้นจะเป็นแบบ
α
ส่วนกรณีของเซลลูโลสนั้นจะเป็นแบบ
β
(รูปที่
๓)
รูปที่
๓ โครงสร้างโมเลกุลของ
(ซ้าย)
amylose และ
(ขวา)
cellulose (รูปจาก
en.wikipedia.org)
โมเลกุลกลูโคสที่ต่อกันด้วยพันธะ
α-glycosidic
linkage (เช่นแป้งและข้าวที่ใช้เป็นอาหาร)
นั้นสัตว์สามารถใช้เอนไซม์ย่อยออกเป็นโมเลกุลน้ำตาลเพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ง่าย
ในขณะที่โมเลกุลกลูโคสที่ต่อกันด้วยพันธะ
β-glycosidic
linkage นั้น
(เช่นเซลลูโลส)
สัตว์ไม่สามารถย่อยสลายได้
(เว้นแต่สิ่งมีชีวิตบางชนิด)
เมื่อกินเข้าไปก็จะถูกขับถ่ายออกมาเป็นใยอาหาร
ดังนั้นถ้าดูจากพืชต่าง ๆ
ที่ขึ้นกันอยู่ทั่วไปแล้วก็จะเห็นว่า
โมเลกุลน้ำตาลกลูโคสส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเซลลูโลส
หรือแม้แต่ตัวพืชที่เรานำเอาบางส่วนของต้นนั้นมาเป็นอาหารเอง
น้ำตาลกลูโคสส่วนใหญ่ก็อยู่ในรูปเซลลูโลส
ความต้องการเอทานอลที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเหลวนำไปสู่ความต้องการกลูโคสที่มากขึ้น
กระบวนการหลักที่ใช้ในการผลิตเอทานอลเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงนั้นยังคงเป็นกระบวนการหมัก
ปัญหาสำคัญก็คือจะนำเอากลูโคสจากไหนมาใช้เพื่อผลิตเป็นเอทานอล
สิ่งสำคัญก็คือวัตถุดิบนั้นควรจะต้อง
(ก)
"มีราคาถูก"
(ข)
"ไม่ควรมาจากสิ่งใช้เป็นอาหารได้"
และ
(ค)
"ไม่ควรเป็นพืชที่ปลูกในพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารได้"
วัตถุดิบเพื่อการผลิตเอทานอลหลักในบ้านเราเห็นจะได้แก่กากน้ำตาลและแป้งมันสำปะหลัง
กากน้ำตาลนั้นเป็นของเหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย
เป็นส่วนที่ไม่มีการนำเอามาบริโภค
ส่วนมันสำปะหลังนั้นแม้ว่าจะมีราคาต่ำ
(ในบางช่วงเวลา)
แต่ก็สามารถใช้เป็นแหล่งอาหารสำหรับคนและสัตว์ได้
ดังนั้นถ้ามองในแง่ของการนำเอาสิ่งของที่กินได้มาเผาเป็นเชื้อเพลิงแล้ว
ก็เรียกได้ว่าไม่เหมาะสมนัก
เว้นแต่จะเป็นพืชที่ปลูกในบริเวณพื้นดินที่ปนเปื้อนสารพิษ
ที่ใช้พืชนั้นดูดซับสารพิษออกจากดิน
ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามนำเอาเซลลูโลสมาย่อยสลายเป็นน้ำตาลกลูโคสด้วยกระบวนการที่เรียกว่า
hydrolysis
โดยแหล่งที่มาของเซลลูโลสที่จะนำไปผลิตกลูโคสนั้นควรเป็นส่วนที่ไม่มีการนำเอาไปใช้เป็นอาหาร
(เช่นลำต้น)
หรือจากพืชที่ไม่มีการนำไปใช้เป็นอาหาร
(เช่นหญ้า
ผักตบชวา)
และควรเป็นพืชที่ขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการปลูกพืชเพื่อใช้เป็นอาหารด้วย
(เช่นพืชที่ขึ้นในแหล่งน้ำเสีย
หรือในดินที่ปนเปื้อนสารพิษ
เพื่อนำกลูโคสที่ได้ไปเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงเอทานอล)
รูปที่
๔ ตัวอย่างสิทธิบัตรการเปลี่ยนเซลลูโลสเป็นกลูโคสด้วยการใช้กรด
แม้ว่ากระบวนการ
hydrolysis
โมเลกุลเซลลูโลสให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสจะมีการทำกันมานานแล้ว
แต่ในทางปฏิบัติก็ยังประสบกับปัญหาด้านการผลิตอยู่
ทำให้ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่น้ำตาลกลูโคสที่ได้จากผลิตผลทางการเกษตรส่วนที่สามารถนำมาใช้เป็นอาหารได้
การ
hydrolysis
ด้วยสารละลายกรดเจือจางนั้น
แม้ว่าจะใช้เวลาในการทำปฏิกิริยาที่สั้น
(ระดับนาที)
ไม่จำเป็นต้องแยกกรดออกมาใช้ซ้ำ
แต่ก็ต้องใช้อุณหภูมิที่สูง
(อย่างต่ำ
180ºC)
และความดันช่วย
(10
bar) และมีผลได้
(yield)
ที่ต่ำ
ในขณะที่กระบวนการที่ใช้กรดเข้มข้นนั้นจะใช้อุณหภูมิและความดันที่ต่ำกว่าและมีผลได้ที่สูงกว่า
แต่ก็มีปัญหาเรื่องระยะเวลาทำปฏิกิริยาที่ยาวนาน
(ระดับหลายชั่วโมง)
และการแยกกรดเพื่อนำมาใช้ซ้ำและออกจากผลิตภัณฑ์
งานวิจัยต่าง
ๆ
ที่อ้างว่าจะใช้ประโยชน์จากกลูโคสที่ได้มาจากเซลลูโลสหรือส่วนที่เป็นลำต้นของพืชนั้น
ก็ควรที่จะเริ่มทำการทดลองด้วยกลูโคสที่ได้มาจากเซลลูโลส
ไม่ใช่ด้วยกลูโคสที่ได้มาจากแป้งหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรส่วนที่ใช้เป็นอาหาร
จริงอยู่แม้ว่าผลการทดลองจะออกมาเหมือนกัน
(เพราะปฏิกิริยามันไม่สนว่ากลูโคสนั้นมาจากไหน)
แต่เมื่อใช้คำกล่าวอ้างว่าเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและใช้ประโยชน์จากพืชได้อย่างคุ้มค่าเป็นขออ้างในการขอทุนวิจัย
ก็ควรที่จะแสดงให้เห็นด้วยการใช้กลูโคสที่ได้มาจากเซลลูโลส
เพราะมันจะเป็นตัวที่สะท้อนว่าในความเป็นจริงนั้นวัตถุดิบนั้นมีจริงหรือไม่
และมีในราคาที่คุ้มค่าหรือไม่
รูปที่
๕
อีกตัวอย่างของสิทธิบัตรการเปลี่ยนเซลลูโลสเป็นกลูโคสด้วยการใช้กรด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น