พูดถึง
"กิ้งกือ"
คนจำนวนไม่น้อยคงคิดถึงสัตว์ที่มีขาเล็ก
ๆ เต็มไปหมดแถมน่าขยะแขยง
พูดถึง "มังกร"
คนส่วนใหญ่คงนึกถึงสัตว์ตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพละกำลัง
พูดถึง "สีชมพู"
คนทั่วไปคงนึกถึงความรักความอ่อนหวานและความน่ารัก
แล้วพอรวมทั้งสามคำเป็น
"กิ้งกือมังกรสีชมพู"
ล่ะ
คุณนึกถึงตัวที่มีหน้าตาอย่างไร
ตอนแรกที่ผมได้ยินชื่อก็นึกไม่ออกหรอกครับ
คนที่บอกให้ผมไปดูหมุดโลกบนยอดเขาสะแกกรังเขาก็บอกให้ลองไปตามหาสัตว์ชนิดนี้ดู
แต่ไม่รู้ว่าจะได้เห็นหรือเปล่าเพราะมันไม่ใช่ฤดูกาลของมัน
ผมก็เลยอดเห็นตัวจริง
(ส่วนลูกผมดีใจที่ไม่ต้องเจอตัวจริง)
เห็นแต่ป้ายที่ประชาสัมพันธ์ที่เขาติดตั้งไว้ใน
"หุบป่าตาด"
รูปที่
๑ ป้ายข้อมูล "กิ้งกือมังกรสีชมพู"
ที่ติดตั้งไว้ในหุบป่าตาด
บอกว่าจะพบเห็นได้ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี
ซึ่งคงเป็นช่วงที่มีฝนตกและป่าชุ่มชื้น
สงสัยว่าพ้นจากเวลานี้มันคงหลบไปจำศีลอยู่
ออกจากเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแห้งก็ร่วมบ่ายสามโมงแล้ว
เห็นว่ายังพอมีเวลา
เพราะยังไม่อยากขับรถเข้ากรุงเทพเร็วเกินไป
กลัวจะไปถึงเวลาเลิกงานตอนเย็นรถจะติดมาก
(วางแผนดูดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาที่เขื่อนกระเสียว
และหาข้าวเย็นกินระหว่างทางก่อนจะเข้ากรุงเทพ)
ก็เลยแวะเข้าเยี่ยมชมหุบป่าตาดสักหน่อยก่อนที่อุทยานจะปิด
(เขาปิดไม่ให้เข้าเยี่ยมชม
๑๖.๓๐
น)
ทางเข้าหุบป่าตาดผมใช้เส้นทางหลวง
๓๔๓๘ ที่เชื่อมระหว่าง อ.
หนองฉาง
กับ อ.
ลานสัก
จ.
อุทัยธานี
มีป้ายบอกทางชัดเจน
ใช้ทางเข้าเดียวกันกับ
"เขาปลาร้า"
ซึ่งก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของ
จ.
อุทัยธานี
รูปที่
๒ ทางเข้าหุบป่าตาดใช้เส้นทางเดียวกับทางเข้า
"เขาปลาร้า"
มีคนเขาแนะนำว่าถ้ามีเวลาก็ให้ไปลองเดินขึ้นเขาปลาร้าดู
จะได้รู้ว่าตอนตัวเองมีสภาพเป็นปลาร้าแล้วจะเป็นอย่างไร
รูปนี้ถ่ายเมื่ออกมาจากทางหลวง
๓๔๓๘ แล้ว
ข้างหน้าเป็นทางเข้าวัดมีรูปปั้นยักษ์ยืนเฝ้าอยู่
ทางเข้าหุบป่าตาดให้ขับเข้าไปในวัดเลย
เนื่องจากไปเที่ยวในวันธรรมดา
และก็บ่ายมากแล้วด้วย
(บางรายแนะนำให้ไปตอนประมาณเที่ยง
เพราะเป็นเวลาที่แสงอาทิตย์จะสามารถส่องลงสู่หุบเบื้องล่างได้
แต่ถ้าไม่อยากเจอแดดก็ให้ไปตอนเช้าหรือบ่ายหน่อย
หุบมันอยู่ลึกจากยอดเขามาก
เลยเที่ยงไปหน่อยแดดก็ส่องลงไม่ถึงพื้นล่างของหุบแล้ว)
จึงกลายเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียว
(และอาจเป็นกลุ่มสุดท้าย)
ที่ไปเที่ยวที่นั่นในเวลานั้น
ก่อนเข้าชมก็ต้องจ่ายค่าเข้าชมก่อน
ผู้ใหญ่ ๒๐ บาท เด็ก ๑๐ บาท
ทางอุทยานมีไฟฉายให้ยืม
ไม่ได้มีไว้ให้ส่องดูหินงอกหินย้อยในถ้ำหรอกครับ
แต่เป็นเพราะช่องทางเดินเข้าหุบนั้นมีช่องทางเดียว
เป็นถ้ำเล็ก ๆ ที่มืด
(มองไม่เห็นปลายถ้ำอีกฟากหนึ่ง)
แต่ก็เป็นช่วงเส้นทางสั้น
ๆ แค่นั้นเอง
ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าระยะทางเดินไกลไหม
ใช้เวลาประมาณเท่าใด
ก็ได้คำตอบกลับมาว่าระยะทางเดินไป-กลับประมาณ
๗๐๐ เมตร ช่องทางเข้า-ออกเป็นช่องทางเดิม
เพราะมีทางเดินเข้าออกทางเดียว
แต่เส้นทางเดินภายในจะเดินวนรอบเป็นวง
ถ้าจะเที่ยวที่นี้ก็จะใช้เวลาประมาณครี่งชั่วโมง
คำว่า
"หุบ"
นี้ถ้าใช้กับลักษณะภูมิประเทศก็จะหมายถึงพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงหรือที่สูง
จุดแปลกของหุบป่าตาดคือตัวถ้ำที่ใช้เป็นทางเข้า-ออกนั้นมันอยู่ที่ระดับเดียวกันกับพื้นดินข้างนอก
แต่พอโผล่พ้นถ้ำออกไปแล้วปรากฏว่าตัวหุบป่าตาดนั้นอยู่ที่ระดับต่ำลงไปอีก
(ประมาณว่าเกินสิบเมตรอยู่เหมือนกัน)
ต้องเดินไต่บันไดที่เขาทำไว้ให้ลงไปอีก
ทำให้สงสัยว่าพื้นดินในหุบนั้นน่าจะซึมซับน้ำได้ดี
เพราะไม่เช่นนั้นถ้าเจอฝนตกหนักตรงนี้คงจะไม่ได้เป็นป่า
แต่จะกลายเป็นแอ่งน้ำแทน
ดังนั้นจะว่าไปแล้วหุบป่าตาดอาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ที่ช่วยในการกักเก็บน้ำฝนให้กลายเป็นน้ำใต้ดิน
เนื่องจากไม่มีกิ้งกือมังกรสีชมพูปรากฏตัวให้เห็น
Memoir
ฉบับนี้ก็เลยขอเป็นการบันทึกรูปบรรยากาศการเดินท่องเที่ยวในหุบป่าตาดแทนก็แล้วกัน
รูปที่
๓ บริเวณลานจอดรถและปากทางเข้าเส้นทางเดินเข้าสู่หุบป่าตาด
ค่าเข้าเยี่ยมชม ผู้ใหญ่
๒๐ บาท เด็ก ๑๐ บาท มีไฟฉายให้ยืม
เพราะตอนเดินเข้าต้องลอดผ่านถ้ำมืด
ๆ แต่ก็เป็นช่วงเส้นทางสั้น
ๆ แค่นั้นเอง
รูปที่
๔ ปากทางเข้าสู่หุบป่าตาด
เป็นถ้ำมืด ๆ ที่มองไม่เห็นอีกฝั่งหนึ่ง
แต่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงสั้น
ๆ เลยต้องเอาไฟฉายไปด้วย
รูปที่
๕ เดินแค่นาทีเดียวก็โผล่ออกจากถ้ำ
ปรากฏว่ายังต้องเดินลึกลงไปอีก
คือสุดทางที่เห็นในรูปแล้วยังต้องเลี้ยวซ้ายลงไปอีก
(ระดับพื้นของหุบป่าตาดอยู่ต่ำกว่าปากทางเข้าอยู่มาก)
รูปที่
๖ ลงสู่หุบเบื้องล่างก็ต้องเจอกับต้นตาด
คือต้นที่เห็นใบคล้าย ๆ
ใบมะพร้าวนั่นแหละครับ
มีต้นตาดขึ้นเต็มไปหมด
เส้นทางเดินอยู่ในสภาพดีและสะอาดด้วย
รูปที่
๗ ทำความรู้จักต้นตาดกันสักหน่อย
ดู ๆ ไปแล้วผมว่ามันก็คล้ายกับต้นจากหรือต้นสาคูอยู่เหมือนกัน
รูปที่
๘
เส้นทางการเดินภายในยังต้องลอดโพรงขนาดใหญ่ใต้ภูเขาไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
รูปที่
๑๐ ต้นปอหูช้างต้นนี้งอกอยู่บนก้อนหิน
รูปที่
๑๓ เดินออกจากหุบป่าตาด
ต้องย้อนกลับทางถ้ำที่เดินเข้ามา
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจก็คือตลอดทางเดินเข้าและออกนั้นไม่ไม่เจอเศษขยะสักชิ้น
รูปที่
๑๔ บรรยากาศภายในถ้ำที่เชื่อมหุบป่าตาดกับโลกภายนอก
รูปที่
๑๕
ปิดท้ายด้วยอีกรูปหนึ่งของบรรยากาศภายในถ้ำที่เชื่อมหุบป่าตาดกับโลกภายนอก
ที่เห็นสว่างเพราะใช้แฟลช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น