หน้าที่หลักของหน่วยนี้คือทำการแยกสายป้อน
C2
ที่มาจาก
acetylene
removal unit ออกเป็น
ก)
ผลิตภัณฑ์เอทิลีนเพื่อนำไปเก็บหรือส่งต่อให้กับลูกค้าต่อไป
ข) ผลิตภัณฑ์ก้นหอ ได้แก่อีเทน (ที่มีเอทิลีนปนอยู่ไม่เกิน 1%) เพื่อส่งกลับไปไปยัง pyrolysis section เพื่อเปลี่ยนให้เป็นเอทิลีนใหม่
ค) แก๊สที่ไม่ควบแน่น (vent gas) ที่ประกอบด้วย มีเทน คาร์บอนมอนออกไซด์ และอะเซทิลีนที่หลงเหลือจากการทำปฏิกิริยาเป็นส่วนใหญ่ ที่จะถูกส่งกลับไปยัง charge gas compressor เพื่อนำกลับเอทิลีน และ
ง) ของเหลวที่ดึงออกจาก tray ที่ 89 mที่ส่งย้อนกลับไปยัง acetylene removal unit เพื่อใช้ในการดูดซับ green oil (ตรงนี้ฝากไปคิดเล่น ๆ ก็แล้วกันว่าถ้าเป็นตอนเริ่มเดินเครื่องโรงงานครั้งแรก จะเอาอีเทนจากไหนไปใช้ในการดูดซับ green oil)
การกลั่นแยกผลิตภัณฑ์
C2
เกิดขึ้นในหอกลั่นที่มีจำนวน
tray
ประมาณ
122
tray
ทำงานที่ความดันที่ทำให้ส่วนที่เป็นไอยอดหอสามารถควบแน่นได้ที่อุณหภูมิ
-40ºC
(อุณหภูมิต่ำสุดที่ระบบ
propylene
refrigerant สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ)
แผนผังอย่างง่ายของหน่วยนี้แสดงไว้ในรูปที่
๑ ส่วนรูปที่ ๒ และ ๓
เป็นแผนผังที่มีรายละเอียดเพิ่มเติม
ระบบนี้ดึงเอาผลิตภัณฑ์เอทิลีนออก
ณ ตำแหน่งประมาณ tray
ที่
11
ไม่ได้ดึงออกเป็นผลิตภัณฑ์ยอดหอโดยตรง
ทั้งนี้เพื่อลดการปนเปื้อนจาก
มีเทน คาร์บอนมอนออกไซด์
และอะเซทิลีน (พวกมีจุดเดือดต่ำกว่า)
แก๊สที่ออกทางยอดหอจะถูกควบแน่นด้วยระบบ
propylene
refrigerant (ที่อุณหภูมิ
-40ºC)
ของเหลวที่ควบแน่นจะถูกส่งเป็นสาร
reflux
ป้อนกลับไปยังหอกลั่นใหม่
ส่วนที่เป็นแก๊สที่เหลืออยู่จะถูกลดอุณหภูมิอีกครั้งด้วยระบบ
ethylene
refrigerant (ที่อุณหภูมิ
-53ºC)
เพื่อการนำกลับเอทิลีน
แก๊สที่เหลืออยู่ที่ประกอบด้วย
มีเทน คาร์บอนมอนออกไซด์
และอะเซทิลีน เป็นส่วนใหญ่จะถูกระบายออกเป็น
vent
gas ไป
มีการให้ความร้อนที่จำเป็นสำหรับการกลั่นอยู่สองตำแหน่งด้วยกันคือ
หม้อต้มซ้ำด้านข้าง (side
reboiler ที่ดึงเอาของเหลวที่
tray
101 บางส่วนมาให้ความร้อน)
และหม้อต้มซ้ำก้นหอ
(bottom
reboiler) ความร้อนที่ให้เหล่านี้ก็เพื่อการระเหยเอทิลีนออกจากอีเทน
เอทิลีนที่กลั่นได้ควรมี
มีเทน ไม่เกิน 111
ppm (โดยปริมาตร)
อะเซทิลีนไม่เกิน
1
ppm (โดยปริมาตร)
และอีเทนไม่เกิน
388
ppm (โดยปริมาตร)
ส่วนอีเทนที่เป็นผลิตภัณฑ์ก้นหอนั้นควรมี
เอทิลีนไม่เกิน 1
vol% และมีน้ำและผลิตภัณฑ์
C4
รวมกันไม่เกิน
5000
ppm (vol%)
อัตราการป้อนสาย
reflux
กลับไปยังหอกลั่นใหม่ยังใช้เป็นตัวควบคุมความเข้มข้นของอีเทนที่ปะปนอยู่ในผลิตภัณฑ์เอทิลีน
กล่าวคือถ้าพบว่าผลิตภัณฑ์เอทิลีนที่ได้นั้นมีอีเทนปนเปื้อนมากเกินไป
ก็ให้เพิ่มอัตราการไหลของสาย
reflux
นี้ก่อน
แต่ถ้าเพิ่มอัตราการไหลจนเต็มที่แล้วก็ยังมีปัญหาอยู่
ก็ให้ลดปริมาณความร้อนที่ให้ที่
reboiler
ส่วนการควบคุมเอทิลีนที่ยังหลงเหลืออยู่ในผลิตภัณฑ์อีเทนก้นหอจะใช้การเพิ่มความร้อนที่ให้กับ
bottom
reboiler ก่อน
ถ้าพบว่ายังไม่พอก็จะใช้การเพิ่มความร้อนที่
side
reboiler เข้าช่วย
สาร
C2
ที่เข้ามายังหน่วยกลั่นแยกนี้ยังมีน้ำละลายปะปนอยู่ในปริมาณเล็กน้อย
เพียงส่วนน้อยของน้ำปนเปื้อนนี้ที่ออกไปพร้อมกับผลิตภัณฑ์อีเทนก้นหอ
ทำให้มีโอกาสที่จะมีน้ำสะสมอยู่ในหอกลั่นและทำให้หอกลั่นอุดตันเนื่องจากการแข็งตัวเป็นน้ำแข็งของน้ำที่สะสมนี้ได้
การแก้ปัญหาทำได้ด้วยการฉีดเมทานอล
(methanol
- CH3OH) เข้าไปเพื่อละลายน้ำแข็งที่เกิดขึ้นดังกล่าว
(ตรงเหนือ
tray
ที่
89
ในรูปที่
๑)
การตรวจสอบว่ามีการอุดตันเนื่องจากการเกิดน้ำแข็งหรือไม่ทำได้ด้วยการวัดผลต่างความดันระหว่างยอดหอกับก้นหอ
(คือถ้ามีการอุดตัน
ผลต่างความดันจะเพิ่มสูงขึ้น
โดยปรกติความดันที่ก้นหอกลั่นจะสูงกว่าที่ยอดหอกลั่น)
ผลิตภัณฑ์อีเทนที่มีเมทานอลปนอยู่ที่ออกทางก้นหอ
จะถูกทำให้ระเหยกลายเป็นไอด้วย
vaporizer
เพื่อส่งกลับไปยัง
pyrolysis
heater ใหม่
ในระหว่างการระเหยอีเทนนี้
เมทานอล (มีจุดเดือดสูงกว่า)
ที่ปะปนอยู่จะยังคงเป็นของเหลวตกค้างอยู่ใน
vaporizer
ได้
และถ้ามีเมทานอลที่เป็นของเหลวนี้ค้างอยู่ใน
vaporizer
ก็ต้องทำการระบายออก
การกลั่นเป็นกระบวนการแยกสารโดยอาศัยจุดเดือดที่แตกต่างกัน
สำหรับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนนั้นเนื่องจากเป็นโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว
ดังนั้นจุดเดือดของสารจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักโมเลกุลของแต่ละสารเป็นหลัก
ในกรณีของสารประกอบที่มีจำนวนอะตอม
C
เท่ากัน
แต่จำนวนอะตอม H
ต่างกัน
(เช่นกรณีของอีเทนกับเอทลีนในที่นี้)
น้ำหนักโมเลกุลจะแตกต่างกันไม่มาก
ทำให้สารทั้งสองมีจุดเดือดใกล้เคียงกัน
การกลั่นแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์
(หรือเกือบสมบูรณ์
จะทำได้ยากขึ้น ต้องใช้หอกลั่นที่มีจำนวน
tray
ที่มาก
แต่การเปลี่ยนความดันก็สามารถทำให้ความแตกต่างของจุดเดือดเปลี่ยนแปลงได้
เช่นที่ความดันบรรยากาศ
อีเทนมีจุดเดือด -88.5ºC
ส่วนเอทิลีนมีจุดเดือด
-103.7ºC
หรือต่างกันอยู่
15.2ºC
แต่ถ้าเพิ่มความดันเป็น
7600
mmHg (ความดันสัมบูรณ์)
จุดเดือดของอีเทนจะเป็น
-32.0ºC
ส่วนจุดเดือดของเอทิลีนจะเป็น
-52.8ºC
หรือต่างกัน
20.8ºC
และถ้าเพิ่มความดันเป็น
30400
mmHg (ความดันสัมบูรณ์)
จุดเดือดของอีเทนจะเป็น
23.6ºC
ส่วนจุดเดือดของเอทิลีนจะเป็น
-1.5ºC
หรือต่างกัน
25.1ºC
แต่จะว่าไปแล้วเมื่อเทียบกับการกลั่นแยกโพรพิลีน-โพรเพน
การกลั่นแยกเอทิลีน-อีเทนนี่ง่ายกว่าเยอะ
หมายเหตุ
ข้อมูลจุดเดือดของอีเทนและเอทิลีนที่ความดันต่าง
ๆ นำมาจาก
สำหรับอีเทน
https://en.wikipedia.org/wiki/Ethane_(data_page)
สำหรับเอทิลีน
https://en.wikipedia.org/wiki/Ethylene_(data_page)
รูปที่
๒ แผนผังแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมของหน่วย
ethylene
fractionation section
รูปที่
๓ แผนผังแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมของหน่วย
ethylene
fractionation section (ต่อจากรูปที่
๒)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น