เมื่อราว
ๆ ๒๐
ปีเศษที่แล้วผมได้รับการติดต่อจากบริษัทแห่งหนึ่งร่วมกับทางกรมศุลการกรว่า
สามารถที่จะวิเคราะห์องค์ประกอบของพื้นผิวโลหะได้หรือไม่
คือเรื่องมันเกิดจากการที่บริษัทแห่งนั้นนำเข้าชิ้นงานเหล็กชนิดหนึ่งที่มีการเคลือบผิวโลหะ
ทีนี้มันก็ไปเกี่ยวพันกับอัตราภาษีนำเข้า
กล่าวคือถ้าหากชิ้นงานเดียวกันนั้นสามารถผลิตได้เองในประเทศ
ก็จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่ากรณีที่ชิ้นงานนั้นยังไม่มีการผลิตในประเทศ
ทางผู้นำเข้าก็อ้างว่าชิ้นงานของเขานั้นมีการเคลือบผิวมาเป็นพิเศษ
แต่เมื่อนำไปทดสอบหาองค์ประกอบของพื้นผิวแล้วปรากฏว่า
"ไม่พบ"
ชั้นผิวเคลือบ
แต่ทางบริษัทก็ยืนยันว่าชิ้นงานดังกล่าวมีการเคลือบผิวจริง
และบังเอิญช่วงเวลานั้นทางห้องปฏิบัติการวิจัยที่ผมทำงานอยู่เพิ่งจะได้รับอุปกรณ์วัดองค์ประกอบของพื้นผิวมาตัวหนึ่ง
และผมก็บังเอิญเป็นคนที่ใช้เครื่องนั้นเป็นพอดี
แต่ก่อนอื่นเราลองไปทำความรู้จัก
"การเคลือบผิว"
และดูคำจำกัดความของคำว่า
"พื้นผิว"
กันก่อนดีไหมครับ
รูปที่ ๑ รายละเอียดบางส่วนของรายการ 2B350 ตัวเลข 2หมายถึงวัสดุที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต อักษร B หมายถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบ ตรวจสอบ และการผลิต เลข 3 หมายถึงหมวดหมู่นี้มีที่มาจาก Australia Group (AG) ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธเคมีและชีวภาพ ส่วน 50 คือลำดับรายการ รายการนี้ยังมีข้อย่อย a, b, c, d, ... ลงไปอีก ในรูปนี้ตัดมาเฉพาะข้อย่อย d
การเคลือบผิวโลหะเป็นวิธีการหนึ่งในการป้องกันโลหะที่อยู่ลึกลงไปจากพื้นผิวจากความเสียหาย
(ที่อาจเกิดจากกระบวนการทางเคมีหรือทางกายภาพ)
เช่นการชุบแผ่นเหล็กด้วยสังกะสีหรือโครเมียมเพื่อป้องกันการเกิดสนิม
ซึ่งโดยปรกติแล้วจะเลือกชั้นผิวเคลือบให้มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมที่สูงกว่าตัวโลหะที่ถูกเคลือบปิดผิวเอาไว้
ในกรณีเช่นนี้ความหนาของชั้นผิวเคลือบจะอยู่ที่ระดับไมครอน
(10-6
m หรือ
micrometre
หรือไมโครเมตร)
ก็ไม่แปลก
แต่ถ้าเป็นในกรณีของการทำปฏิกิริยาบนตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์
(Heterogeneous
catalyst) ที่เป็นของแข็ง
ส่วนที่มีบทบาทในการทำปฏิกิริยานั้นเป็นเพียงแค่
"อะตอม"
ชั้นบนสุดของพื้นผิวของแข็งเท่านั้น
ดังนั้นในงานนี้เวลาพูดถึง
"พื้นผิว"
ก็จะจำกัดอยู่ที่ความหนาเพียงแค่ระดับชั้นอะตอม
ความสับสน
(โดยเฉพาะในกรณีของวงการวิจัยตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์
ที่ผมเห็นบ่อยในบ้านเรา)
มันเกิดขึ้นเมื่อมันมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบของธาตุบน
"พื้นผิว"
ของแข็ง
แล้วก็มีการนำมาใช้ในการวัดองค์ประกอบของธาตุบน
"พื้นผิว"
แต่ความหมายของ
"พื้นผิว"
ที่เครื่องวัดได้นั้น
กับความหมายของ "พื้นผิว"
ที่ผู้ใช้เครื่องเข้าใจนั้นมันไม่ตรงกัน
มันก็เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่เครื่องวัดได้นั้นคือองค์ประกอบทางเคมีโดยรวมของตัวอย่างทั้งชิ้น
ไม่ใช่ "พื้นผิว"
ดังที่ผู้ส่งตัวอย่างต้องการวิเคราะห์
เรื่องแบบนี้เห็นได้บ่อยครั้งในกรณีของการวัดด้วยเทคนิคการวิเคราะห์รังสีที่เปล่งออกมาจากตัวอย่างในขณะที่ถูกระดมยิงด้วยลำอิเล็กตรอนในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด
(Scanning
Electron Microscope ที่เรียกกันย่อ
ๆ ว่า SEM)
คลื่นนั้นมันมองไม่เห็นสิ่งที่เล็กกว่าความยาวคลื่น
ดังนั้นขนาดที่เล็กที่สุดของสิ่งของที่แสงในช่วงที่ตามองเห็นได้
(visible
light) จะมองเห็นก็คือความยาวคลื่นแสงที่สั้นที่สุดที่ตามองเห็นได้
ถ้าเราอยากมองเห็นสิ่งที่เล็กกว่านั้นลงไปอีกก็ต้องใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นลงไปอีก
เช่นถ้าอยากดูว่าอะตอมมีการเรียงตัวกันอย่างไรในโครงร่างผลึกที่ระยะห่างระหว่างอะตอมนั้นอยู่ในระดับอังสตรอม
(Å
- Angstrom หรือ
10-10
m) ก็ต้องใช้คลื่นที่มีความยาวคลื่นในระดับนี้ซึ่งก็ได้แก่รังสีเอ็กซ์
แต่ปัญหาก็คือเราไม่มีเลนส์ที่สามารถโฟกัสรังสีเอ็กซ์ได้
(ถ้านึกภาพไม่ออกว่าปัญหามันเป็นอย่างไร
ก็ลองเอากล้องถ่ายรูปที่ถอดเลนส์ได้
(ถ้ามี)
มาถ่ายรูปโดยไม่ใส่เลนส์ดูก็ได้ครับ)
แต่เนื่องจากอนุภาคที่มีความเร็วมากพอนั้นสามารถแสดงคุณสมบัติเป็นคลื่นได้
(ตามที่
De
Broglie ได้ทำนายไว้และได้รับการพิสูจน์ในช่วงเวลาต่อมา)
ดังนั้นถ้าเราเร่งลำอิเล็กตรอนให้มีความเร็วสูงมากพอ
ลำอิเล็กตรอนนั้นก็จะแสดงคุณสมบัติเป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นในระดับอังสตรอมได้
และเนื่องจากอิเล็กตรอนเป็นอนุภาคมีประจุ
เราจึงสามารถใช้สนามแม่เหล็ก/สนามไฟฟ้าในการเร่งความเร็วและโฟกัสลำอิเล็กตรอนได้
และนี่ก็เป็นที่มาของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
(Electron
Microscope - EM)
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่ใช้กันทั่วไปมีอยู่
๒ แบบ แบบแรกนั้นคือกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน
(Transmission
Electron Microscope - TEM)
ที่มีหลักการทำงานแบบเดียวกับกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงทั่วไป
คือยิงให้ลำอิเล็กตรอนวิ่งทะลุผ่านตัวอย่างไปยังฉากรับภาพ
ในกรณีนี้ตัวอย่างต้องมีความบางมากไม่เช่นนั้นลำอิเล็กตรอนจะไม่ทะลุผ่าน
แบบที่สองนั้นคือกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด
(Scanning
Electron Microscope - SEM)
ที่มีหลักการเดียวกันกับเวลาที่เรามองเห็นวัตถุต่าง
ๆ
ที่เราเห็นด้วยการที่วัตถุนั้นมีแสงตกกระทบแล้วแสงนั้นก็สะท้อนเข้าดวงตาเรา
แต่ในกรณีของ SEM
นั้นเป็นลำอิเล็กตรอนที่ตกกระทบวัตถุและสะท้อนเข้าฉากรับภาพ
ข้อดีของ SEM
ก็คือไม่ต้องเตรียมตัวอย่างให้บางมากแบบ
TEM
ทำให้สามารถดูตัวอย่างที่มีชิ้นใหญ่กว่าได้
(เช่นยุงทั้งตัวหรือเหรียญบาททั้งเหรียญ)
ในระหว่างการส่องดูตัวอย่างด้วย
SEM
นั้น
เนื่องด้วยลำอิเล็กตรอนที่ยิงใส่ตัวอย่างนั้นมีพลังงานจลน์ที่สูง
(เพราะถูกเร่งความเร็วด้วยความต่างศักย์ระดับหลายพันโวลต์หรือหมื่นโวลต์
ขึ้นกับกำลังขยายภาพที่ต้องการ)
ลำอิเล็กตรอนที่ไม่สะท้อนออกจะสามารถซึมลึกเข้าไปในตัวอย่างได้ในระดับความลึกที่เป็นไมครอน
และอิเล็กตรอนบางตัวที่ซึมลึกเข้าไปในตัวอย่างนั้นจะเข้าไปชนให้อิเล็กตรอนในชั้นวงโคจรในของอะตอมตัวอย่างหลุดออก
เกิดการเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนที่อยู่ในวงโคจรชั้นนอกที่มีระดับพลังงานมากกว่า
เคลื่อนตัวลงมาแทนที่ตำแหน่งอิเล็กตรอนที่ถูกชนหลุดออกไป
โดยในการนี้อิเล็กตรอนที่เคลื่อนตัวลงมาแทนที่นั้นต้องคายพลังงานบางส่วนออก
โดยพลังงานที่คายออกนั้นอยู่ในรูปของรังสีเอ็กซ์
และเนื่องจากรังสีเอ็กซ์ที่เปล่งออกมาด้วยกลไกนี้ของแต่ละธาตุนี้แตกต่างกัน
ถ้าเราทำการวิเคราะห์พลังงานหรือความยาวคลื่นรังสีเอ็กซ์ที่ตัวอย่างเปล่งออกมา
เราก็จะสามารถระบุได้ว่าตำแหน่งของตัวอย่างที่ถูกลำอิเล็กตรอนยิงเข้าไปนั้นประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง
ด้วยเหตุนี้จึงมีการออกแบบอุปกรณ์ติดตั้งเสริมเข้ากับ
SEM
ที่อาจเป็นอุปกรณ์วัดพลังงานรังสีเอ็กซ์ที่เปล่งออกมาที่เรียกว่า
Energy
Dispersive X-ray Spectroscopy (ย่อว่า
EDX
หรือ
EDS)
หรือเป็นอุปกรณ์ที่วัดความยาวคลื่นรังสีเอ็กซ์ที่เปล่งออกมาที่เรียกว่า
Wavelength
Dispersive X-ray Spectroscopy (ย่อว่า
WDX
หรือ
WDS)
และเรียกเครื่อง
SEM
ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ว่า
SEM-EDX,
SEM-EDS หรือSEM-WDX,
SEM-WDS
ด้วยการที่รังสีเอ็กซ์เป็นรังสีที่มีพลังงานสูง
รังสีเอ็กซ์ที่เกิดจากอะตอมที่อยู่ลึกจากพื้นผิวลงไปในระดับไมครอนจึงสามารถทะลุผ่านพื้นผิวไปยังตัวรับสัญญาณได้
ดังนั้นองค์ประกอบของธาตุที่เห็นจึงเป็นองค์ประกอบของธาตุที่เป็นอะตอมชั้นบนสุดลึงลงไปถึงระดับหลายไมครอนจากพื้นผิว
และถ้าตัวอย่างที่วิเคราะห์นั้นเป็นผงละเอียดที่ขนาดอนุภาคอยู่ในระดับไมครอน
องค์ประกอบธาตุที่วัดได้จะเป็นองค์ประกอบรวมทั้งอนุภาค
(bulk
composition) ของตัวอย่างนั้น
ไม่ได้เป็นเพียงแค่เฉพาะส่วนพื้นผิวของผงอนุภาคนั้น
รูปที่ ๒ ตัวอย่างที่ยกมาโดยวิทยากรของ Mitsubishi Electric เกี่ยวกับ Heat sink ที่ใช้ระบายความร้อนจากอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ แต่ชิ้นส่วนนี้ถูกควบคุมในฐานะที่เป็นอุปกรณ์ระบายความร้อนที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการเคมีที่สารเคมีนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนที่สูงได้
เทคนิคที่ในปัจจุบันมีการนำมาใช้วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของพื้นผิวกันมากขึ้นได้แก่
XPS
(ที่ย่อมาจาก
X-ray
Photoelectron Spectroscopy หรือในชื่อเดิมคือ
ESCA
ที่ย่อมาจาก
Electron
Spectroscopy for Chemical Analysis) เพราะว่าตัวเครื่องมีราคาถูกลงมาก
เทคนิคนี้จะใช้รังสีเอ็กซ์พลังงานต่ำ
(ที่ใช้โลหะ
Mg
หรือ
Al
เป็นแหล่งกำเนิดโดยมีพลังงานอยู่ระดับ
1000
eV ต้น
ๆ)
ฉายลงไปบนตัวอย่างของแข็ง
รังสีเอ็กซ์ที่ฉายลงไปจะไปกระตุ้นให้อิเล็กตรอนของอะตอมของธาตุที่เป็นองค์ประกอบของตัวอย่างหลุดออกมา
และเมื่อทำการวิเคราะห์พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจากตัวอย่างก็จะสามารถระบุธาตุที่เป็นองค์ประกอบของตัวอย่างหรือเลขออกซิเดชันของธาตุที่เป็นองค์ประกอบนั้นได้
แม้ว่ารังสีเอ็กซ์ที่ฉายลงไปนั้นจะส่องทะลุผ่านตัวอย่างทั้งชิ้น
แต่อิเล็กตรอนที่หลุดออกมานั้นมีพลังงานจลน์ที่ต่ำ
ด้วยเหตุนี้จึงมีเฉพาะอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจากอะตอมที่อยู่ลึกจากพื้นผิวลงไปไม่เกินประมาณ
10
ชั้นอะตอมที่สามารถหลุดพ้นออกมาจากตัวอย่างและวิ่งไปถึงตัวตรวจวัดได้โดยไม่ถูกอะตอมอื่นที่อยู่ในเส้นทางจับเอาไว้
ดังนั้นการวัดองค์ประกอบทางเคมีของพื้นผิวด้วยเทคนิค
XPS
นี้จึงเป็นการวัดในระดับชั้นอะตอม
กรณีของปัญหาที่เขาติดต่อผมมานั้นเขาวัดด้วย
SEM-EDX
ก่อน
และพบว่าตัวอย่างมีแต่เหล็กเป็นองค์ประกอบ
แต่เมื่อผมทำการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค
XPS
ผมตรวจไม่พบอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจากอะตอมเหล็ก
ก็เลยแจ้งเขากลับไปว่าตัวอย่างที่ส่งมาให้วิเคราะห์นั้น
10
ชั้นอะตอมแรกไม่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ
ต่อจากนั้นจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้เหมือนกัน
รูปที่ ๓ ผลการวินิจฉัยตัว Heat sink ที่ไปปรากฏอยู่กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่ชิ้นส่วนนี้ถูกควบคุมไว้ในรายการอุปกรณ์การผลิตทางเคมี
รูปที่ ๓ ผลการวินิจฉัยตัว Heat sink ที่ไปปรากฏอยู่กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่ชิ้นส่วนนี้ถูกควบคุมไว้ในรายการอุปกรณ์การผลิตทางเคมี
ของเหลวนั้นระบายความร้อนได้ดีกว่าอากาศ
ดังนั้นในที่แคบ ๆ
หรือจำกัดนั้นการระบายความร้อนด้วยของเหลวจะกินพื้นที่ต่ำกว่าการระบายความร้อนด้วยอากาศ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเครื่องยนต์รถยนต์
ที่เราใช้น้ำไปหล่อเย็นรอบกระบอกสูบในเครื่องยนต์
(ที่ไม่ได้มีที่กว้างอะไรนั้น)
แล้วจึงค่อยระบายความร้อนออกจากน้ำสู่อากาศที่รังผึ้งของหม้อน้ำอีกที
ในกรณีของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็เช่นกัน
ถ้ามันไม่ร้อนมากก็อาจทำเพียงแค่ติดแผงระบายความร้อนและใช้พัดลมเป่าช่วยแบบ
CPU
ที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป
แต่ถ้ามันร้อนมาก็ต้องติดตั้งตัว
Heat
sink (ที่ทำจากโลหะ)
ช่วยในการดึงความร้อนออกจากตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น
ส่งต่อสู่น้ำระบายความร้อนที่ไหลผ่านตัว
Heat
sink อีกที
ในการบรรยายให้ความรู้โดยวิทยากรของ
Mitsubishi
Electric ที่จัดโดย
Ministry
of Economy, Trade and Industry (METI) ของประเทศญี่ปุ่น
ที่ Keio
Hotel ในช่วงบ่ายของวันพุธที่
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒
นั้นมีการยกตัวอย่างที่น่าสนใจหลายตัวอย่างที่ได้เล่าไปในหลายตอนก่อนหน้านี้
อันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นกรณีของ
"ชิ้นส่วนที่ไปปรากฏอยู่กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
แต่มันเป็นสินค้าควบคุมที่อยู่ในรายการของอุปกรณ์การผลิตในกระบวนการทางเคมี"
ความท้าทายของตัวอย่างนี้ก็คือ
ผู้ที่มีความถนัดในแขนงหนึ่ง
จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่กำลังตรวจสอบนั้นแม้ว่าจะดูแล้วอยู่ในแขนงที่เขาเชี่ยวชาญ
แต่ในความเป็นจริงนั้นมันมีการซ่อนสิ่งที่ถูกควบคุมไว้อยู่ในรายการอีกแขนงหนึ่งที่เขาไม่มีความถนัด
ซึ่งตรงนี้อาจจะช่วยบรรเทาได้ด้วยการบันทึกความรู้และประสบการณ์
และแบ่งปันสิ่งที่เรียนรู้นั้นร่วมกัน
รูปที่
๒ นั้นเป็นสไลด์ประกอบการบรรยายที่กล่าวถึง
Heat
sink ที่ใช้สำหรับระบายความร้อนออกจากอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์
ปรกติตัว Heat
sink ก็จะทำจากโลหะที่นำความร้อนได้ดี
ซึ่งถ้าหากเป็นการใช้งานในสภาพแวดล้อมธรรมดา
ๆ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีการเคลือบผิวตัว
Heat
sink เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยากับอากาศหรือสภาพแวดล้อม
ที่ทำให้เกิดเป็นชั้นสารประกอบที่นำความร้อนไม่ดีที่ไปปิดกั้นการไหลของความร้อน
ดังนั้นถ้าเป็นการใช้งาน
Heat
sink ในสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดปฏิกิริยาได้ก็ต้องทำการเคลือบผิวของ
Heat
sink เอาไว้เพื่อป้องกันการกัดกร่อน
รูปที่
๓ เป็นผลการวินิจฉัยชิ้นส่วน
Heat
sink ดังกล่าวที่พบว่าโครงสร้างของพื้นผิวของ
Heat
sink ตัวนี้ที่มีการเคลือบผิวให้ทนการกัดกร่อนสูง
ทำให้มันเป็นชิ้นส่วนที่ต้องควบคุมการส่งอออก
แต่ชื่อมันไปปรากฏอยู่ในรายการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตทางเคมี
ในตอนที่
๓
ของบทความชุดนี้ผมเริ่มต้นเอาไว้ด้วยเรื่องเกี่ยวกับการผสมสารปนเปื้อนให้กับสารเคมีที่ต้องควบคุมการส่งออก
เพื่อให้ความบริสุทธิ์ของสารนั้นไม่อยู่ในข่ายต้องถูกควบคุม
แต่ทางผู้รับนั้นสามารถแยกเอาสารปนเปื้อนออกได้ง่ายเพื่อให้มันกลับมามีคุณสมบัติดังเช่นสารเคมีที่ต้องถูกควบคุมตามเดิม
ในกรณีเช่นนี้จะพิจารณาอย่างไร
และได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าทางวิทยาการผู้บรรยายนั้นก็ได้ยกตัวอย่างที่ผมเห็นว่าคล้ายกันขึ้นมา
ซึ่งก็คือกรณีของ Heat
sink ตัวนี้
ประเด็นที่ผมสนใจก็คือ
พื้นผิวของตัว Heat
sink ตัวนี้ได้รับการเคลือบเอาไว้ด้วยโลหะที่ทนการกัดกร่อนสูง
แต่ถ้าหากมีการเคลือบพื้นผิวนี้ทับอีกชั้นด้วยโลหะที่ไม่ทนการกัดกร่อนสูง
จะเรียกว่าเป็นการเลี่ยงบาลีข้อกำหนด
"พื้นผิว"
ของข้อ2B350
ที่แสดงในรูปที่
๑ ก็ได้
เพื่อให้ยากที่จะตรวจสอบได้ว่าภายใต้ชั้นผิวเคลือบนั้นมีชั้นโลหะที่ทนการกัดกร่อนสูงซ่อนอยู่หรือไม่
(เช่นเคลือบไว้หนาจนกระทั่งตรวจสอบด้วยเทคนิค
SEM-EDX
ไม่ได้)
ซึ่งถ้าชิ้นส่วนนี้หลุดผ่านไปได้
ทางผู้รับก็สามารถกำจัดชั้นผิวเคลือบที่ไม่ทนการกัดกร่อนสูงออกได้ง่าย
(เช่นละลายด้วยกรดหรือด่าง)
ทำให้ได้ตัวอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนที่มีพื้นผิวสัมผัสทนการกัดกร่อนสูงกลับคืนมา
และถ้าต้องการตรวจสอบนั้นจะใช้เทคนิคการตรวจสอบใด
ที่จะตรวจสอบได้โดยไม่ทำลายตัวอย่าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น