วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เก้งที่ห้วยกระพร้อย เสือสมิงที่หนองบัว MO Memoir : Saturday 16 June 2561

ตอนที่อ่านมาถึงบทเรื่อง "เก้งที่ห้วยกระพร้อย" ก็รู้สึกคุ้นชื่อสถานที่ขึ้นมา ก็เลยตรวจสอบดูหน่อยว่าใช่ที่เดียวกับอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อยที่ได้ไปมาเมื่อวันสิ้นปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านมาหรือเปล่า และเมื่อตรวจสอบสถานที่ต่าง ๆ ที่มีการกล่าวถึงในหนังสือกับแผนที่ปัจจุบัน ก็เชื่อได้ว่าเป็นสถานที่เดียวกัน
 
หนังสือ "ป่าสมิง" ที่เขียนโดยนักเขียน ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ เล่มนี้ซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ นักเขียนท่านนี้ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีอายุครบรอบ ๑๐๐ ปีในเดือนหน้า วันนี้ก็เลยลองขอแกะรอยสถานที่ต่าง ๆ ที่มีการกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้น เทียบกับแผนที่ปัจจุบันจาก google map


ผมไป อ. บ่อพลอย จ. กาญจนบุรี ครั้งแรกก็น่าจะเมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นไปธุระกับญาติที่ห้วยกระเจา เห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่ก็เลยขับรถต่อไปยังถ้ำธารลอด จำได้แต่เพียงว่าถ้ำธารลอดตอนนั้นยังไม่มีทางเดินแบบในปัจจุบันที่เดินได้อย่างสบาย ต้องเดินลุยน้ำเข้าไป แผนที่การเดินทางครั้งนั้นก็มีแค่แผนที่ทางหลวงประเทศไทยของ Esso ฉบับเดียว
 
ไปถ้ำธารลอดอีกทีก็เมื่อวันสิ้นปีที่ผ่านมา ครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วมาก เพราะมี GPS คอยบอกตำแหน่งว่าขับมาถึงไหนแล้ว แถมยังสามารถดูแผนที่ได้จากโทรศัพท์มือถืออีกว่ามีเส้นทางไหนเป็นเส้นทางลัดบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบว่า google map ก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เพราะตรงห้วยกระพร้อยนั้นตอนนี้มันเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีน้ำเต็มอ่าง แต่ในแผนที่ยังคงเป็นไร่ โดยอ่างเก็บน้ำเพิ่งจะเริ่มก่อสร้าง

มาวันนี้จะลองใช้หนังสือเล่านี้เป็นหลัก เทียบกับแผนที่ google map ในปัจจุบัน เพื่อที่จะตามรอยผู้เขียน (ในที่นี้หมายถึงคุณ ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์) ว่าเดินทางผ่านถิ่นใดบ้าง และสภาพภูมิประเทศของเส้นทางในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างไร ข้อความสีน้ำเงินคือข้อความที่คัดมาจากหนังสือ "ข้าพเจ้า" ในข้อความดังกล่าวก็คือตัวผู้เขียน

... ป่าสูงที่เราจะมุ่งหน้าเข้าไปนี้ ไม่มีคณะนิยมไพรคณะใดเข้าไปกันเลย ...
ในบท "เตรียมผจญภัย" ผู้เขียนเล่าถึงจุดหมายปลายทางที่จะเดินทางไป ตามเนื้อเรื่องนั้นการเตินทางเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูหนาว คือปลายเดือนกุมภาพันธ์ต่อต้นเดือนมีนาคม เสียดายที่ไม่มีรายละเอียดว่าเป็นช่วงปี พ.ศ. ใด รู้แต่ว่าออกจากกรุงเทพตอนตี ๕ วิ่งไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านสะพานโพธิ์แก้ว (คิดว่าคงเป็นสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนที่ อ. สามพราน) ก็สามารถไปถึง อ. ท่าม่วง จ. กาญจนบุรีได้ตอน ๗ โมงเช้า เป็นเวลาที่ตลาดท่าม่วงเต็มไปด้วยผู้คนที่มีจับจ่ายซื้อสิ่งของ

... สภาพของพื้นดินที่เราผ่านเข้าไปนั้นบอกให้รู้ว่า มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความกันดารอย่างยิ่งยวด และร้องแรงแห้งเกรอะมาเป็นเวลานานทีเดียว เราเห็นต้นหญ้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยฝุ่นสีแดงจับเขรอะอยู่ทั่วไป ใบของมันก็แสดงความอับเฉาและกร้านเกรียน สีเขียวที่ยังเห็นอยู่นั้นอาศัยจากหยาดน้ำค้างประพรมในตอนกลางคืนซึ่งคงจะลงหนัก เป็นการช่วยประคองชีวิตของมันให้ยืนยงคงทนอยู่ได้ ...
จากท่าม่วง ผู้เขียนไม่ได้เล่าอะไรมากนัก บอกแต่เพียงว่า "จี๊ปกลางก็ตะบึงลงจากถนนใหญ่วกเข้าไปสู่ถนนดินลูกรังที่จะมุ่งไปสู่ทุ่งนางหลอก และลำตะเพินนั้นคลุ้งไปด้วยฝุ่นแดง" และเรื่องก็ดำเนินเข้าสู่ตอน "ทุ่งนางหลอก" และ "บ่อพลอยเมืองกาญจน์"
"ทุ่งนางหลอก" ที่กล่าวถึงในหนังสือน่าจะเป็น "ทุ่งนานางหรอก" ในปัจจุบัน เพราะมีการกล่าวถึงการเดินทางข้ามลำน้ำลำตะเพิน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ "มะสัง" และ "หนองกระทุ่ม" และ "หนองยั้งช้าง" และเข้าสู่ อ. บ่อพลอย เส้นทางระหว่างหนองกระทุ่มและหนองยั้งช้างนี้ผู้เขียนบรรยายไว้ว่าเป็นที่ราบกว้างและลุ่ม สามารถปลูกข้าวได้ อนึ่ง "หนองยั้งช้าง" ในปัจจุบันดูเหมือนจะเป็น "หนองย่างช้าง" ไปแล้ว เรียกว่าความหมายเป็นคนละเรื่องเลย จาก "ยั้ง" ที่หมายความว่าหยุด กลายมาเป็น "ย่าง" ที่เป็นการทำให้สุกด้วยการนำเอามาวางไว้เหนือไฟ

... ข้าพเจ้าได้ชี้แจงความประสงค์ที่ผ่านเข้ามารบกวนโดยจำเป็นจะต้องอาศัยครัวของแกเป็นการชั่วคราวสักมื้อหนึ่ง หญิงผู้นั้นตอบรับด้วยความเต็มอกเต็มใจและเชื้อเชิญพวกเราให้ขึ้นไปบนบ้านกัน น้ำใจไมตรีของชาวบ้านในป่าในดงนั้นโอบอ้อมต่ออาคันตุกะของเขายิ่งนัก ซึ่งในเมืองนั้นมักจะไม่ค่อยพบกับการต้อนรับคนแปลกหน้าในทำนองนี้ ...
การเดินทางออกจาก อ. บ่อพลอย ตอน ๗ โมงเช้า อาศัยการขับรถมาตามทางเกวียน มุ่งหน้าขึ้นเหนือตัดผ่านป่ารวกและป่าไผ่ (บท "พรานวา-พรานนำ") มาถึงบ้านลำเหยในตอนบ่าย เส้นทางบ่อพลอย-บ้านลำเหยนี้ถ้าดูตามถนนปัจจุบันก็น่าจะราว ๆ ๑๕ - ๒๐ กิโลเมตร เรียกว่าขับรถไปถึงกันได้ในเวลาไม่ถึง ๒๐ นาที แต่ในยุคที่เป็นทางเกวียน (แถมยังมีการยิงสัตว์เล็กเก็บไว้เป็นเสบียงด้วย) ก็หมดไปครึ่งวัน สภาพของหมู่บ้านลำเหยและนิสัยใจคอของชาวบ้านแห่งนั้น ผู้เขียนได้บรรยายไว้ในตอน "พรานเยี่ยมแห่งโป่งรี" ที่ได้คัดส่วนหนึ่งมาแสดงไว้ข้างบน

... ห่างออกไปเล็กน้อยลำห้วยกว้างพอสมควรมีน้ำใสไหลรินอยู่ตลอดเวลา ระดับน้ำสูงพอที่จะตักตวงมาใช้ได้อย่างสะดวกสบายไม่ขาดแคนล เต็นท์ของเราหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทางด้านหลังออกไปเป็นเขาลูกเล็ก ๆ ซึ่งพรานเยี่ยมบอกว่าชื่อ "เขาจ้าว" ห้วยที่เราเห็นเคียงข้างเต็นท์นี้มีชื่อว่าห้วยอีซู ...
จากบ้านหนองรี ในที่สุดคณะผู้เขียนก็เดินทางมาถึงจุดตั้งค่ายบริเวณลำอีซู (ตอน "ลำอีซู") ที่เป็นลำน้ำไหลมาจากทางเขากำแพงที่อยู่ทางทิศตะวันตก
  

... เราบุกมาถึงห้วยกระพร้อย
ผ่านไปตามแนวป่าโปร่งชายทุ่ง พรานวาฉายไปจับตาสัตว์ที่เห็นในระยะไม่ถึง 50 เมตร
"เก้งใหญ่ นาย" พรานวาบอกพวกเรา
อาจิตเบาเครื่องแล้วคลานเข้าไปจนใกล้ ...
ห้วยกระพร้อยตอนนั้นคือบริเวณใดในปัจจุบันคงยากที่จะบอก เพราะปัจจุบันมีการสร้างเขื่อนขวางกั้นลำน้ำห้วยกระพร้อมกลายเป็นอ่างเก็บน้ำ (รูปข้างล่าง หรือดูได้จากบทความวันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง "อ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย หนองปรือ กาญจนบุรี") ป่าโปร่งชายทุ่งในยุคนั้นก็คงเป็นที่ใดที่หนึ่งสักแห่งภายใต้ผืนน้ำในปัจจุบัน ในหนังสือนี้ผู้เขียนยังได้เล่าถึงการเดินทางไปพบโขลงช้างป่าที่บริเวณหุบเขากำแพง


... "ใครนะช่างดันออกมาสุ่มปลากลางดึงกลางดื่นอย่างนี้" ข้าพเจ้าคิดในใจ "ดีไม่ดีได้โดนเสือเอาไปกิน"
ความคิดของข้าพเจ้ายังไม่ทันจะดำเนินไปกี่มากน้อย จรวยซึ่งเดินเคียงข้างกับข้าพเจ้าก็ยกปืนขึ้นประทับ
"อย่ายิง อย่าคุณจรวย"
ดูเหมือนหูของจรวจจะอื้อไม่ได้ยินเสียงปรามของข้าพเจ้า และสิ่งที่เขาเห็นนั้นย่อมชัดโทนอยู่แล้วว่าเป็นคน แต่เหตุไฉนเขาจึงประทับปืนไปยังเป้าตรงนั้นอย่างเคร่งเครียด
"นั่นคน-คนสุ่มปลานะ คุณจรวย" ข้าพเจ้าแทบหอบด้วยความตระหนกพร้อมกับยึดต้นแขนเขาไว้ ขาดเสียงห้ามของข้าพเจ้า จรวยก็เหนี่ยวไกปืน แสงไต้ในมือชายคนนั้นดับวูบลงทันที ...
จากลายพาดกลอนที่หนองว้า จนมาพบกับ "เสือสมิง" ที่หนองบัว ผู้เขียนได้บันทึกตำนานเรื่องเล่าของพรานพื้นเมือง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นประมาณสองสามปี เกี่ยวกับชายรับจ้างตัดไม้ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ที่วันหนึ่งมาพร้อมกับคณะตัดไม้รวกไม้ไผ่ ที่เพื่อนร่วมคณะรู้แต่ว่าชอบออกไปจับปลาตามหนอง แล้ววันหนึ่งก็หายไป เพื่อนร่วมคณะที่ติดตามไปจนถึงบริเวณหนองบัว พบแต่เพียงแค่สุ่มจับปลาทิ้งกลิ้งอยู่ริมหนอง และรอยตีนเสือใหม่ ๆ แต่ปราศจากรอยเลือดหรือรอยลากครูดถ้าหากเสือลากศพไปกิน

... "อย่ากระนั้นเลย" อาจิตพูดอย่างเอาการเอางาน ก่อนจะเดินทางกลับ ยังมีเวลาเหลือ ขอผมออกไปหนองบัวอีกครั้งจะดีไหม"
ทุกคนมองตากัน ไม่คิดว่าอาจิตจะมุถึงเพียงนั้น แต่ความสงสัยที่ติดใจของใครก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นแล้วเขาก็ย่อมจักต้องแก้สงสัยให้ได้ อาจิตก็ปราถนาที่จะกลับไปยังหนองบัวอีกครั้งแม้ว่าจะดึกดื่นค่อนคืน ...

ไม่มีความคิดเห็น: