เรื่องการควบคุมความดันภายในถังเก็บของเหลวที่ความดันบรรยากาศด้วยการใช้
Vent,
Breather valve และ
Flame
arrester นั้นเคยเล่าเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๓๐๑ วันเสาร์ที่
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"การควบคุมความดันในถังบรรยากาศ(Atmospherictank)" ครั้งนึงแล้ว
ครั้งนี้เป็นการเอาตัวอย่างของจริงมาให้ชมกัน
รูปที่
๑ ถังเก็บของเหลวไวไฟ
(จุดเดือด
78-80ºC)
ที่ความดันบรรยากาศใบนี้มีการติดตั้ง
Breather
valve และ
Flame
arrester (บางทีก็จะกด
Flame
arrestor) เพื่อควบคุมความดันในถัง
และมี pressure
gauge วัดความดันภายในถัง
Breather
valve หรือวาล์วหายใจ
จะเปิดให้แก๊สที่อยู่ในถังเก็บระบายออกสู่ภายนอก
เมื่อความดันในถังเก็บสูงกว่าความดันบรรยากาศถึงระดับหนึ่ง
(ปรกติก็ไม่มากเท่าใด
บางทีก็แค่ระดับที่ต้องใช้หน่วยวัดความดันเป็น
"นิ้วน้ำ"
คือเทียบเท่ากับความดันของน้ำที่สูง
xx
นิ้ว)
และจะเปิดให้อากาศภายนอกไหลเข้าไปภายในถังได้ถ้าหากความดันในถังลดต่ำกว่าความดันบรรยากาศถึงระดับหนึ่ง
ตรงนี้เป็นจุดที่แตกต่างจากท่อ
vent
เพราะท่อ
vent
นั้นไม่มีวาล์วปิดกั้น
ดังนั้นเมื่อความดันในถังเกิดการเปลี่ยนแปลง
(ไม่ว่าจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือการเปลี่ยนแปลงระดับของเหลวในถัง)
อากาศเหนือผิวของเหลวในถังก็จะสามารถไหลเข้าออกได้ทันที
ด้วยเหตุนี้ในการเก็บของเหลวที่มีความดันไอค่อนข้างสูง
(เช่นเอทานอล)
การติดตั้ง
Breather
valve จึงช่วยลดการสูญเสียเอทานอลจากการระเหย
แต่สำหรับของเหลวที่มีความดันไอต่ำหรือเป็นของเหลวที่ติดไฟได้แต่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟ
(flash
point) สูงกว่าอุณหภูมิห้องค่อนข้างมาก
(เช่นน้ำมันดีเซลที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า
60ºC)
จึงสามารถใช้ท่อ
vent
ในการควบคุมความดันในถังเก็บได้
การใช้
Breather
valve
ควบคุมความดันในถังเก็บของเหลวที่เป็นเฃื้อเพลิงที่มีความดันไอค่อนข้างสูง
ทำให้บรรยากาศเหนือผิวของเหลวในถังเก็บนั้นมีโอกาสที่จะมีอากาศผสมอยู่
ถ้าหากว่าความดันไอของของเหลวในถังที่อุณหภูมิห้องนั้นสูงมากพอ
โอกาสที่ความดันในถังจะลดลงจนอากาศจากภายนอกไหลเข้าไปในถังได้นั้นคงยากที่จะเกิด
(แต่อาจเกิดได้ในช่วงที่อุณหภูมิเปลี่ยนกระทันหัน
เช่นจากตากแดดร้อนมาเจอฝนตกหนัก)
แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังต้องมีการป้องกันไม่ให้ไอระเหยเหนือผิวของเหลวในถังเกิดการระเบิด
ซึ่งอาจเกิดได้ถ้า (ก)
ความเข้มข้นของอากาศและไอสารเคมีในถังนั้นอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ
และ (ข)
มีการจุดระเบิดจากภายนอกที่ทำให้เกิดเปลวไฟวิ่งย้อนเข้าทางช่องทางระบายไอระเหยออกของ
Breather
valve ด้วยเหตุนี้ในกรณีนี้จึงจำเป็นต้องมีการติดตั้ง
Flame
arrester ควบคู่ไปด้วย
โดยจะติดไว้ระหว่างตัวถังเก็บของเหลวกับ
Breather
valve ดังแสดงในรูปที่
๒ ข้างล่าง
รูปที่
๒ รูปนี้ซูมถ่ายตัว Breather
valve และ
Flame
arrester สองตัวนี้วางติดตั้งซ้อนกันอยู่
โดยมี Flame
arrester อยู่ทางด้านล่าง
(ต่อเข้ากับตัวถังเก็บของเหลว)
และมี
Breather
valve วางซ้อนไปบน
Flame
arrester อีกที
Breather
valve
นั้นมีชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนที่โดยอาศัยความแตกต่างของความดันในทำนองเดียวกันกับวาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(check
valve หรือ
non
return valve ที่บางทีเขาย่อว่า
NRV)
ดังนั้นจึงควรต้องมีการตรวจสอบการทำงานของ
Breather
valve เป็นระยะ
ส่วนโครงสร้างภายในของ
Flame
arrester นั้นเป็นเพียงแค่ช่องทางการเล็ก
ๆ สำหรับให้แก๊สไหลผ่าน
ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดการอุดตันได้
จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเป็นระยะเช่นเดียวกัน
ในกรณีของหน่วยงานที่ไปเยี่ยมชมมานั้น
มีการติดตั้ง pressure
gauge วัดความดันในถังให้ด้วย
ซึ่งควรมีการบันทึกช่วงความดันที่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่ทั้ง
Breather
valve และ
Flame
arrester อยู่ในสภาพสมบูรณ์
เพราะสามารถใช้เป็นจุดสังเกตว่าตัว
Breather
valve และ
Flame
arrester นั้นมีปัญหาหรือไม่ถ้าหากความดันภายในถังอยู่นอกช่วงดังกล่าว
รูปที่
๓ รูปนี้ซูมถ่าย Breather
valve จากทางด้านล่างขึ้นไป
ช่องทางให้อากาศไหลเข้าจะอยู่ทางด้านล่างขวา
ส่วนช่องทางให้แก๊สในถังระบายออกจะอยู่ทางด้านบน
Memoir
ฉบับนี้เป็นฉบับส่งท้ายปีเก่า
ก็ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีแต่ความสุขตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น