วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน MO Memoir : Thursday 20 October 2559

"การศึกษาชาติตะวันตกนั้นเน้นไปที่ฝึกคนให้เป็นลูกจ้างของระบบทุนนิยม" เป็นคำกล่าวที่ผู้ที่ทำวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์เอ่ยให้ผมฟังนานมาแล้ว ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว เห็นได้จากการที่เราประเมินคุณภาพบัณฑิตที่จบออกไปว่าเรียนจบแล้วเอาความรู้ที่เรียนไปนั้น ไปใช้ทำงานได้ไหม โดยให้ความสำคัญมากกับความพึงพอใจของ "นายจ้าง" แทนที่จะเป็นของ "ผู้เรียน"

ระบบการจ้างงานแบบทุนนิยมนั้นสร้างภาพ "ความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน" ว่าเป็นสิ่งเดียวกับ "การประสบความสำเร็จในชีวิต
  
ในขณะเดียวกันระบบการจ้างงานแบบทุนนิยมก็ยังสร้างภาพ "ผู้ที่ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน" คือคน "คนเก่ง"

ว่าแต่ว่า "คนเก่ง" นั้นในสายตาของพวกคุณควรเป็นคนเช่นใด

"คนเก่ง" คือคนที่อยู่นำหน้า "คนอื่น" โดยทิ้ง "คนอื่น" ไว้เบื้องหลัง
 
หรือ "คนเก่ง" คือคนที่พา "คนอื่น" เดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน

คำถามถัดมาก็คือ "คนอื่น" นั้นคือใคร
 
วัฒนธรรมการทำงานของบางองค์กรนั้น กำหนดนิยามของ "คนอื่น" ก็คือ "คนอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน" ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการแข่งขันกันระหว่างเพื่อร่วมงาน ในขณะที่วัฒนธรรมการทำงานขององค์กรอื่นนั้น จะเน้นไปที่การทำงานร่วมกันระหว่างเพื่อร่วมงาน ซึ่งดูเผิน ๆ แล้วไม่น่าจะมี "คนอื่น" ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่จากมุมมองส่วนตัวแล้ว ไม่ว่าวัฒนธรรมการทำงานจะเป็นแบบไหนก็ตาม ในการขึ้นสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็มักจะมี "คนอื่น" ที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังเป็นประจำ โดยนิยามของ "คนอื่น" ในที่นี้ก็คือ "คนในครอบครัว"

บางคนเลือกที่จะผลักดัน "ตนเอง" ให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยผลักภาระทางครอบครัว (ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรือการเลี้ยงลูก) ให้เป็นหน้าที่ของ "คู่สมรส" ประเภทที่เรียกว่าฉันจะทุ่มกับงานเพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่ง ส่วนตัวคู่สมรสก็ดูแลบ้านและเลี้ยงลูกไป ไม่ต้องไปทุ่มอะไรให้กับงาน แบบนี้ถ้าจะเรียกว่า คู่สมรสต้องเป็นผู้จ่ายด้วยการหยุดความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน (เพราะไม่สามารถทุ่มเวลาให้กับงานได้ หรืออาจต้องออกจากงาน) เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ก็คงจะไม่ผิดนัก
 
คิดจะทำแบบนี้บางทีก็ต้องระวังให้ดีเหมือนกัน เพราะเคยเห็นตัวอย่างอยู่เหมือนกัน ประเภทที่ฝ่ายหนึ่งทุ่มให้กับงานเต็มที่ เช้าจรดค่ำ ไม่มีวันหยุด คู่สมรสไม่ต้องห่วงเรื่องหาเงินใช้ อีกฝ่ายขอรับผิดชอบเรื่องหาเงินเพียงฝ่ายเดียว ให้คู่สมรสเลี้ยงลูกไป ไม่ต้องทำงานอะไร วันดีคืนดีฝ่ายคนทุ่มให้กับงานเกิดปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถทำงานต่อหรือช่วยเหลือตนเองได้ ต้องออกจากงาน กรณีแบบนี้นายจ้างเขาไม่เดือดร้อนเท่าใดหรอกครับ เดี๋ยวก็หาคนมาทำงานแทนได้ แต่ทางครอบครัวนี่ซิ ใครจะเป็นผู้หาเลี้ยงแทน

บางคนก็เลือกที่จะผลักดัน "ตนเอง" ให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยเลือกที่จะไม่มีคู่สมรส (ประเภทอยู่ตัวคนเดียว) หรือสมรสแต่ไม่คิดจะมีลูก เพราะต้องการมีอิสระเสรีในการใช้ชีวิต การเดินทาง การท่องเที่ยว ซึ่งก็เป็นความจริงครับ แต่ถ้าคิดจะทำแบบนี้ก็ต้องเตรียมพร้อมนะครับว่าตนเองต้องเป็นคนจ่าย แล้วต้องจ่ายด้วยอะไรหรือครับ ต้องแก่ หรือเกษียณก่อนถึงจะเข้าใจดีครับ ว่าความเหงามันเป็นเช่นใด เว้นแต่ว่าวางแผนไว้ว่าเกษียณเมื่อใดจะเข้าไปอยู่วัด

บางครอบครัวทั้งสามีและภรรยา ก็เลือกที่จะมีลูก (เป็นเพราะอยากมี มีโดยไม่ตั้งใจ หรือมีพอเป็นพิธี ก็ตามแต่) และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยการทุ่มเทกับการทำงานให้เต็มที่ไปพร้อมกัน แบบนี้ถ้าจะเรียกว่า "ลูก" ต้องเป็นคนจ่าย ก็คงจะไม่ผิดนัก ได้ยินมาหลายรายประเภทที่พ่อแม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง รายได้สูง สามารถจ้างคนขับรถให้ทำหน้าที่ขับรถรับส่งลูกไป-กลับโรงเรียน สามารถจ้างแม่บ้านให้มาทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกแทนตนเอง จ้างครูสอนพิเศษสอนลูกทำการบ้านตอนเย็นหลังเลิกเรียน ส่งลูกไปเรียนพิเศษสารพัดอย่างในวันเสาร์-อาทิตย์ ทั้งนี้เพื่อที่ตนเองจะได้สามารถทุ่มเทกับงานได้เต็มที่แบบไม่มีวันหยุด โดยไม่ต้องกังวลว่าลูกจะมีข้าวเช้ากินหรือยัง ใครจะทำข้าวเย็นให้กิน ใครจะพาเข้านอน ใครจะดูแลเสื้อผ้าสวมใส่ไปโรงเรียน และบางทีคนขับรถหรือแม่บ้านก็ยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้สอนการบ้าน หรือเป็นผู้ปกครองให้ด้วยเวลาที่โรงเรียนขอนัดประชุมผู้ปกครอง อะไรทำนองนี้

ลองไปดูหน้าโรงเรียนที่รถติดเวลาส่งนักเรียนตอนเช้า ๆ ดูซิครับ ผมเห็นอยู่เป็นประจำ พ่อแม่บางรายจะพยายามนำรถจอดชิดขอบทางเท้าเพื่อส่งลูก เพื่อที่จะให้ลูกได้ลงรถโดยปลอดภัย แม้ว่าต้องนำรถต่อแถวยาว ในขณะที่พ่อแม่ (หรือคนขับรถ) หลายราย จะขับรถไปจอดให้ตรงกับหน้าประตูโรงเรียนมากที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะอยู่เลนไหน เลนข้าง ๆ จะมีรถวิ่งมาหรือเปล่า แล้วปล่อยให้ลูกข้ามถนนตัดหน้ารถที่เคลื่อนตัวอยู่ทางด้านข้าง ทั้งนี้เพื่อให้หมดภาระการส่งลูกเร็ว ๆ จะได้เอาเวลาไปทำงานยังที่ทำงานซะที

ผมมีโอกาสได้เห็นพ่อแม่บางราย ที่มีลูกที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยทิ้งพ่อแม่ไว้เบื้องหลังให้อยู่บ้านกันตามลำพังสองคน โดยอาจมีหรือไม่มีเด็กรับใช้คอยดูแล (เช่นประเภทลูกไปตั้งหลักแหล่งใหม่ยังต่างประเทศ เพราะมีรายได้ดีกว่าทำงานในประเทศ ส่วนพ่อแม่ก็เฝ้าบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยไปวัน ๆ รายที่ยังสามารถเดินไปไหนได้ด้วยตนเองหรือยังขับรถได้ ก็ยังไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใดนัก แต่รายที่อยู่คนเดียว อายุมากแล้วขับรถก็ไม่ไหว อยู่ในซอยลึกเดินทางเข้าออกลำบาก ก็ยังได้อาศัยอาหารจากการฝากเพื่อนบ้านหรือเด็กรับใช้ที่จ้างมานั้นซื้อกับข้าวมาเก็บไว้ หรือไม่ก็จากรถขายกับข้าวหรือรถขายอาหารที่แวะผ่านเข้ามาถึงก้นซอย

ได้มีโอกาสเห็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในตำแหน่งหน้าที่การงาน เขาทุ่มให้กับการทำงานด้วยการมาถึงที่ทำงานแต่เช้าตรู่ ออกจากที่ทำงานหลังดวงอาทิตย์ตก วันหยุดราชการใด ๆ ที่อยู่ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ หรือช่วงเทศกาลหยุดยาวก็ไม่หยุดงาน แถมวันเสาร์ (ซึ่งคนอื่นเขาหยุดงานกัน) ก็ยังมาทำงานเป็นประจำอีก จะไม่โผล่มาที่ทำงานก็เพียงแค่วันอาทิตย์เท่านั้น แถมยังกดดันให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำแบบเดียวกับเขาอีก 
  
"ใครที่ยังมีพ่อแม่อยู่ ก็รีบ ๆ ดูแลท่านด้วยนะ" นั่นเป็นข้อความที่เขาเที่ยวบอกใครต่อใครที่เขารู้จัก เขาอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ของเขา แต่เพิ่งจะมีเวลากลับไปดูแลคุณพ่อที่อยู่ในวัยชราของเขาเพียงแค่สัปดาห์เดียวก่อนที่คุณพ่อของเขาจะเสียชีวิต หลังจากที่คุณพ่อของเขาเสียชีวิต เขาตัดสินใจเลิกการมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เลิกกลับค่ำ เลิกทำงานในวันเสาร์หรือวันหยุดราชการ เลิกนัดประชุมหลังเวลาเลิกงาน เพื่อที่จะได้ใช้เวลาไปอยู่กับคุณแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่คุณแม่ผู้ชราภาพของเขาก็เสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือนถัดมา
 
หลังการเสียชีวิตของบุพการีของเขาทั้งสองท่าน ปรากฏว่าพฤติกรรมการทำงานกลับกลายเป็นทำงานหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก จนผู้คนรอบข้างที่ทำงานอยู่ด้วยกันถึงกับเปรยว่า "นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าเขายังมีลูกเมียอยู่"

สิ่งที่เล่ามาข้างต้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนทุกคน เป็นเพียงแค่ประสบการณ์ส่วนตัวบางส่วนเท่านั้น ทั้งที่ได้ยินได้ฟังมาจากคนใกล้ชิด และประสบพบเห็นด้วยตนเอง 
  
แต่ก็เชื่อว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน โดยเลือกที่จะทิ้งคนอื่นซึ่งก็คือคนในครอบครัวเอาไว้เบื้องหลัง โดยที่เขาไม่รู้ตัว

ถ้านิยามของคำว่า "ความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน" คือการที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง การได้รับรางวัลจากหน่วยงานที่ตนเองทำงานอยู่ ซึ่งนิยามนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นกันทั่วไปในองค์กรต่าง ๆ ใครที่อยากจะประสบความสำเร็จตามนิยามนี้ก็ต้องเตรียมพร้อมว่าต้องมีคนจ่ายให้กับความสำเร็จนั้น ว่าแต่คน ๆ นั้นจะเป็นใครเท่านั้นเองครับ

แต่ถ้านิยามของคำว่า "ความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน" คือการได้รับความเคารพนับถือจากผู้ที่เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา การได้รับความยอมรับในเรื่องความรู้ ความสามารถ และความพึงพอใจจากผู้รับบริการ การมีเวลาให้กับครอบครัวและญาติพี่น้อง ก็ต้องเตรียมรับความจริงว่าตัวเองอาจต้องเป็นคนจ่าย ด้วยการที่อาจไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่ในหน่วยงานที่ตนเองทำงานนั้น

สำหรับพวกคุณทั้ง ๕ คนที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันนี้ และกับ Memoir ฉบับนี้ที่เป็นฉบับสุดท้ายที่ผมส่งตรงให้กับพวกคุณทั้ง ๕ ทางอีเมล์ ก็ต้องขอแสดงความยินดีที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาจนถึงวันนี้ได้ (ขอโทษด้วยที่ไม่ได้อยู่รอตอนออกจากหอประชุม) และคงฝากทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อความที่ผมเขียนไว้ในส่วนคำนำของ "MO Memoir รวมบทความชุดที่ ๑๒ แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์ ๒๕๕๗" ที่แจกให้กับพวกคุณไปเมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า
 
"๒ ปีที่ผ่านมา สำหรับผมแล้ว เป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่ต้องขอยอมรับว่ามีหลากหลายเรื่องราวให้วิตกกังวล
แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตการทำงานมีความสุขมากเช่นกัน
จากการที่ได้ทำงานร่วมกับทีมงานที่พร้อมจะเรียนรู้และเหนื่อยยากไปด้วยกัน

เราต่างก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกัน
เพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายพร้อมกัน

บ่ายของวันที่พวกคุณมาจัดงานเลี้ยงวันเกิดเล็ก ๆ ให้ผมนั้น
อาจถือได้ว่าเป็นวันที่เราต่างได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางการเดินทางร่วมกันแล้ว
และเป็นวันเริ่มต้นของแต่ละคนในการที่จะเริ่มเดินการเดินทางในเส้นทางที่ตัวเองเลือกต่อไป

ขอให้ทุกคนพบแต่ความสุขตลอดไป"

ไม่มีความคิดเห็น: