"เขา"
ในที่นี้ไม่ได้เป็นคำสรรพนามแทนบุคคลที่สาม
แต่หมายถึงภูเขา และคำว่า
"พับ"
ก็ไม่ได้เป็นคำกิริยา
ดังนั้นคำว่า "เขาพับผ้า"
ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงการกำลังบอกว่า
"ใครสักคน"
กำลัง
"พับ"
ผ้าอยู่
แต่หมายถึงเส้นทางที่คดเคี้ยววกไปวนมาเหมือนผ้าที่พับทบไปทบมา
รูปที่
๑ แผนที่ TACTICAL
PILOTAGE CHART หมายเลข
ONC
L-10 เขาพับผ้าคือถนนเส้นที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองในภาพ
แผนที่นี้ไม่ได้มีการระบุว่าข้อมูลภูมิประเทศอิงจากการสำรวจในปีใด
บอกแต่เพียงว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเดินอากาศนั้นเป็นข้อมูลในปีค.ศ.
๑๙๙๐
(พ.ศ.
๒๕๓๓)
แต่ดูจากเส้นทางถนนที่ยังไม่ปรากฏทางหลวงสาย
๔๑ เส้นปัจจุบัน
แสดงว่าข้อมูลเส้นทางถนนนั้นเป็นข้อมูลที่เก่ากว่าอย่างน้อยกว่า
๑๐ หรือ ๒๐ ปีขึ้นไป
ทิวเขานครศรีธรรมราชเป็นทิวเขาที่ทอดยาวจาก
จ.
นครศรีธรรมราชไปจนสุดชายแดนไทยที่
จ.
สตูล
ทิวเขานี้แบ่ง จ.
นครศรีธรรมราชเป็นสองส่วน
เป็นเส้นกั้นระหว่าง จ.
ตรัง
และ จ.
พัทลุง
และเส้นกั้นระหว่าง จ.
สตูล
และ จ.
สงขลา
ช่วงที่อยู่ระหว่างตรังและพัทลุงนั้น
คนท้องถิ่นจะเรียกว่า
"เทือกเขาบรรทัด"
รูปที่
๒ บางส่วนของถนนและสะพานบนเส้นทางสายเดิม
ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของถนนเส้นปัจจุบัน
ถ่ายรูปขณะรถวิ่งจากพัทลุงไปตรัง
รูปที่
๓ บางส่วนของถนนและสะพานบนเส้นทางสายเดิม
ที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านซ้ายของถนนเส้นปัจจุบัน
ถ่ายรูปขณะรถวิ่งจากพัทลุงไปตรังเช่นกัน
"เดินพ้นน้ำราบ
...
ถนนเลี้ยวไปเลี้ยวมามากขึ้น
จนเมื่อใกล้จะถึงที่ปันน้ำ
ถนนเลี้ยวหักพับ
ราษฏรจึงเรียกที่นี่ว่าเลี้ยวพับผ้า"
พระราชนิพนธ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
(ร.
๖)
ในคราวเสด็จเมื่อพ.ศ.
๒๔๕๒
ยืนยันที่มาของการเรียกชื่อถนน
"เขาพับผ้า"
ข้อความในย่อหน้าข้างต้นคัดลอกมาจากกำแพงแสดงประวัติความเป็นมาของเขาพับผ้า
(รูปที่
๔)
ที่จุดพักรถอันดามันเกตเวย์บนเส้นทางเข้าพับผ้า
ที่บอกให้รู้ว่าชื่อว่า
"เขาพับผ้า"
นี้มีการเรียกมานานแล้ว
รูปที่ ๔ การเดินทางข้ามเขาพับผ้าในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕
รูปที่ ๔ การเดินทางข้ามเขาพับผ้าในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕
ตอนเด็ก
ๆ ที่ไปเที่ยวบ้านญาติที่พัทลุง
(จำไม่ได้ว่าปีไหน
แต่น่าจะเมื่อกว่า ๔๐
ปีที่แล้ว)
วันหนึ่งคุณน้าจะไปทำธุระที่ตรัง
(คุณน้าท่านนี้เสียไปหลายปีแล้ว)
เขาชวนผมไปด้วย
ผมก็เลยมีโอกาสได้ติดรถปิคอัพคุณน้าไปตรัง
และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้มีโอกาสเดินทางผ่านเส้นทางเขาพับผ้า
(ที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของถนนเพชรเกษม)
ก่อนที่จะมีการปรับปรุงด้วยการวางแนวเส้นทางใหม่และขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
เพื่อลดความคดเคี้ยว
เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง
และลดระยะเวลาการเดินทาง
สิ่งที่จำได้มาจนถึงปัจจุบันคือถนนสายนี้ทิวทัศน์สวยมาก
ด้านหนึ่งเป็นผาสูงขึ้นไป
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งที่ต่ำลงไปนั้นเป็นลำธารไหลอยู่เคียงข้างถนน
ถ้าเปรียบเทียบความคดเคี้ยวของถนนสายเขาพับผ้าในตอนนั้น
กับถนนเส้นอื่นหลายเส้นในปัจจุบันที่ผมได้มีประสบการณ์เดินทางผ่าน
ก็ต้องบอกตามตรงว่าความคดเคี้ยวของถนนสายเขาพับผ้านั้นไม่ได้คดเคี้ยวมากไปกว่าถนนเส้นอื่น
แต่ชื่อเสียงของมันนั้นอาจเป็นเพราะความที่มันเป็นถนนเส้นหลักที่เชื่อมระหว่างภาคใต้ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก
และเป็นถนนเส้นแรก ๆ ที่ตัดขึ้น
คือดำเนินการก่อสร้างและเปิดใช้ในสมัยรัชกาลที่
๕ เพื่อให้ยานพาหนะมีล้อ
(คือเกวียนในสมัยนั้น)
เดินทางผ่านได้
จึงทำให้มันมีชื่อเสียงเลื่องลือ
การสร้างในสมัยนั้นก็เรียกว่าใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก
แม้แต่การย่อยหินก็ต้องใช้วิธีการสุมไฟให้ร้อนแล้วเอาน้ำเย็นราด
(รูปที่
๕ และ ๖)
แม้ว่าในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะช่วงที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งระหว่างคนภายในชาติ
ถนนเส้นนี้จึงกลายเป็นเส้นที่อันตรายถ้าจะเดินทางในเวลากลางคืน
เพราะอาจพบกับการปิดถนนหรือซุ่มโจมตีได้ง่าย
ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของผมก็เคยได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์บนเส้นทางเขาพับผ้านี้
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่แกจะต้องขึ้นมากรุงเทพเพื่อเข้าร่วมพิธีประดับยศขั้นนายพล
ก็เรียกว่าได้รับการประดับยศทั้ง
ๆ ที่ยังมีหัวกระสุนฝังอยู่ในแขน
ประดับยศเสร็จจึงไปผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก
รูปที่
๕
ประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าไว้บนกำแพงเล่าเรื่องที่อันดามันเกตเวย์
ที่เป็นเส้นทางจุดพักรถและชมวิว
จะอยู่ทางด้านขวาของถนนถ้าเดินทางมาจากตรัง
โดยจะถึงก่อนจุดสูงสุดของเส้นทางเล็กน้อย
ภาพนี้เล่าถึงวิธีการทำให้หินก้อนใหญ่แตกเป็นก้อนเล็กลง
ด้วยการใช้ไฟสุมและน้ำเย็นราด
รูปที่
๖ ภาพประกอบคำบรรยายในรูปที่
๔
เป็นรูปของการก่อฟืนสุมหินให้ร้อนก่อนเอาน้ำเย็นราดเพื่อให้ก้อนหินแตกออกเป็นก้อนเล็ก
(จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน)
"ในการปรับถนนให้เรียบ
พระยารัษฎาฯ ได้คิดรถบดพิเศษขึ้น
โดยใช้ช้างลากก้อนหินทรงกลมขนาดใหญ่เป็นลูกกลิ้ง
ใส่ดินให้ได้น้ำหนักตามต้องการ
ใช้ช้าง ๑ เชือกกับควาญช้างและคนหาบหญ้าให้ช้างกิน
ก็ทำงานได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลือง"
ที่จุดพักรถอันดามันต์เกตเวย์จะมีรูปปั้นช้างอยู่เต็มไปหมด
ทั้ง ๆ
ที่ในปัจจุบันนี้ถ้าใครไปเที่ยวภาคใต้ก็มักจะไม่เห็นการเลี้ยงช้างกัน
แต่การที่เขาเลือกปั้นรูปปั้นช้างเอาไว้ที่นี่ก็เป็นเพราะการเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีตนั้นมีทั้งการเดินเท้าและการใช้ช้างเป็นพาหะ
(รูปที่
๗)
และช้างก็มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างเส้นทางเส้นนี้
นับตั้งแต่การบุกเบิกเส้นทางไปจนถึงการปรับสภาพพื้นผิวถนน
รูปที่ ๗ การเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีต ที่มีทั้งการเดินเท้าและใช้ช้างเป็นพาหนะในการเดินทาง
รูปที่ ๗ การเดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ในอดีต ที่มีทั้งการเดินเท้าและใช้ช้างเป็นพาหนะในการเดินทาง
"เมื่อถนนเสร็จเรียบร้อย
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
ซึ่งเสด็จตรวจราชการแหลมมลายูได้ทรงทำพิธีเปิด
"ถนนแต่ช่องไปต่อแดนพัทลุง
๑๖๐ เส้น"
ในวันที่
๓ มิถุนายน ๒๔๔๕"
จากคำบรรยายบนกำแพงเล่าเรื่องในย่อหน้าข้างต้น
(รูปที่
๘)
ทำให้ทราบว่า
อีกไม่กี่วันข้างหน้า
ถนนเส้นนี้ก็จะเปิดใช้งานเป็นเวลานานถึง
๑๑๗ ปีแล้ว
รูปที่
๘ ภาพประกอบคำบรรยายการเปิดถนนในวันที่
๓ มิถุนายน ๒๔๔๕ โดยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ
กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
ฉบับนี้ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปอีกครั้ง เป็นเรื่องที่อยากเขียนมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้แวะไปถ่ายรูปเสียที ปีนี้มีโอกาสแล้วก็เลยขอจัดหน่อย สวัสดีครับ
ฉบับนี้ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปอีกครั้ง เป็นเรื่องที่อยากเขียนมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้แวะไปถ่ายรูปเสียที ปีนี้มีโอกาสแล้วก็เลยขอจัดหน่อย สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น