วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กาฝาก ณ บางพลัด MO Memoir : Friday 14 June 2556

ตอนเดือนเมษายนมีพายุฤดูร้อนมีลมกรรโชกแรง ต้นมะม่วงหน้าบ้านขนาดปลูกมา ๓๕ ปีเป็นพุ่มใหญ่ขนาดตอนบ่ายแดดยังส่องลงแทบไม่ถึงพื้นดิน ยังเจอลมพัดซะเอียงไปเล็กน้อย เห็นได้จากพื้นดินที่โคนต้นมันปูดบวมขึ้นทางด้านหนึ่ง ด้านที่มันทำท่าจะล้มก็ดันเป็นทิศของศาลพระภูมิและบ้านเพื่อนบ้านซะด้วย
 
คุณแม่ติดต่อคนตัดต้นเอาไว้ เขาบอกว่าขอให้เข้าหน้าฝนก่อนจะมาตัดให้ มันจะได้แตกกิ่งใหม่ แต่ก่อนจะถึงเวลาที่คนตัดต้นไม้เข้าจะมา ก็เลยต้องลงมือเล็มกิ่งเล็ก ๆ บางกิ่งออกก่อน เพื่อไม่ให้ต้นมันรับลมมากเกินไป ปลายเดือนที่แล้วก่อนเปิดเทอมก็เลยจัดการซะรอบบ้านไปหลายต้น ได้มาทั้งแผลหนามตำ มือพอง และห้อเลือด ยังไม่นับที่โดนมดแดงกัดอีกไม่รู้กี่แห่งเพราะไปตัดรังมันลงมาทั้งกิ่งหลายรัง โชคดีที่ปีนี้ต้นไม้ที่เล็งเอาไว้ว่าจะตัดแต่งกิ่งนั้นไม่มีนกมาทำรังวางไข่ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเลื่อนเวลาตัดแต่งกิ่งออกไปอีก
 
เปิดเทอมใหม่โรงเรียนลูกจัดงานผู้ปกครองพบปะกับคุณครู ครูสอนวิทยาศาสตร์มาเล่าเรื่องที่เด็กในกรุงเทพไม่รู้จักธรรมชาติแวดล้อมอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง (ชนิดที่ไม่รู้ว่าลูกมะพร้าวมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร) เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสได้ไปเห็นของจริง บ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองก็มักจะปลูกไม่ใหญ่ไม่ได้ ถนนในเมืองก็มีต้นไม้เพียงไม่กี่ชนิด จะมีโอกาสเห็นไม้ชนิดอื่นได้ก็ทางอินเทอร์เน็ต ก็เลยคิดว่าเนื่องจากที่บ้านยังพอมีความเป็นธรรมชาติให้แบ่งปันบ้าง ก็เลยเอารูปต้นกาฝากที่ถ่ายเอาไว้ตอนตัดกิ่งมะม่วงมะเฟืองมาให้ดูกัน (ส่วนพวกคุณอายุก็มากแล้ว และไม่ได้โตในกรุงเทพด้วย คิดว่าคงจะรู้จักและเคยเห็นต้นกาฝากของจริงมาแล้ว)

รูปที่ ๑ ต้นกาฝากที่ตัดมาจากกิ่งมะเฟือง



รูปที่ ๒ ต้นกาฝากที่ตัดมาจากกิ่งมะม่วง

ส่วนต้นกาฝากมันมาเกาะต้นไม้ได้อย่างไร เอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างนั้น คงจะไม่ขอกล่าวถึง เพราะมีคนเขียนเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เอาไว้มากแล้ว เพียงแต่ต้องการเอารูปกาฝากมาแปะไว้บน blog เผื่อมีเด็กนักเรียนต้องการรูปไปทำการบ้านส่งคุณครู
 
รูปปิดท้ายอีกสองรูปในหน้าถัดไปก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงแค่วิวมองจากหน้าต่างห้องนอนของลูกทั้งสอง สวนที่เห็นนั้นไม่ใช่ที่ดินของบ้านผมหรอก เป็นของคนอื่นเขา แต่ก็เห็นมันเป็นสวนอย่างนี้มานานตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ ผ่านน้ำท่วมมาหลายต่อหลายครั้ง แต่มันก็ยังเป็นสวนเหมือนเดิม ที่ตอนนั้นเคยมีหิ่งห้อยบินไปมาอย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่ กระรอก กระแต วิ่งเล่นกันทั้งวัน ทั้งปีนต้นไม้และปีนรั้ว รวมทั้งเข้ามากินมะม่วงและมะละกอในบ้านด้วย วันดีคืนดีก็มีนกแซงแซวหางยาวแวะเข้ามาเยี่ยม กลางคืนไม่มีแม้แต่เสียงรถวิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศเช่นนี้จะคงอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด



รูปที่ ๓ วิวจากหน้าต่างห้องนอนของลูก (เป็นที่ของบ้านข้าง ๆ ไม่ใช่บ้านของผมนะ)

หลานของภรรยาเคยมาค้างที่บ้านที่นี้คืนนึง เขาเคยชินกับบ้านอยู่ริมถนนมีรถวิ่งไปมา เช้าวันรุ่งขึ้นบ่นให้ฟังเลยว่าที่นี่กลางคืนเงียบมาก เงียบจนน่ากลัว เพราะมันไม่มีเสียงคนหรือรถวิ่ง มีแต่เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องและตุ๊กแกบ้างเป็นครั้งคราว แถมมืดมากด้วย ส่วนผมนั้นชินจนชอบซะแล้ว ถ้าไม่มืดและไม่เงียบจะนอนไม่หลับเอาซะเลย

ไม่มีความคิดเห็น: