ตอนเดือนเมษายนมีพายุฤดูร้อนมีลมกรรโชกแรง
ต้นมะม่วงหน้าบ้านขนาดปลูกมา
๓๕ ปีเป็นพุ่มใหญ่ขนาดตอนบ่ายแดดยังส่องลงแทบไม่ถึงพื้นดิน
ยังเจอลมพัดซะเอียงไปเล็กน้อย
เห็นได้จากพื้นดินที่โคนต้นมันปูดบวมขึ้นทางด้านหนึ่ง
ด้านที่มันทำท่าจะล้มก็ดันเป็นทิศของศาลพระภูมิและบ้านเพื่อนบ้านซะด้วย
คุณแม่ติดต่อคนตัดต้นเอาไว้
เขาบอกว่าขอให้เข้าหน้าฝนก่อนจะมาตัดให้
มันจะได้แตกกิ่งใหม่
แต่ก่อนจะถึงเวลาที่คนตัดต้นไม้เข้าจะมา
ก็เลยต้องลงมือเล็มกิ่งเล็ก
ๆ บางกิ่งออกก่อน
เพื่อไม่ให้ต้นมันรับลมมากเกินไป
ปลายเดือนที่แล้วก่อนเปิดเทอมก็เลยจัดการซะรอบบ้านไปหลายต้น
ได้มาทั้งแผลหนามตำ มือพอง
และห้อเลือด
ยังไม่นับที่โดนมดแดงกัดอีกไม่รู้กี่แห่งเพราะไปตัดรังมันลงมาทั้งกิ่งหลายรัง
โชคดีที่ปีนี้ต้นไม้ที่เล็งเอาไว้ว่าจะตัดแต่งกิ่งนั้นไม่มีนกมาทำรังวางไข่
ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเลื่อนเวลาตัดแต่งกิ่งออกไปอีก
เปิดเทอมใหม่โรงเรียนลูกจัดงานผู้ปกครองพบปะกับคุณครู
ครูสอนวิทยาศาสตร์มาเล่าเรื่องที่เด็กในกรุงเทพไม่รู้จักธรรมชาติแวดล้อมอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
(ชนิดที่ไม่รู้ว่าลูกมะพร้าวมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร)
เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสได้ไปเห็นของจริง
บ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองก็มักจะปลูกไม่ใหญ่ไม่ได้
ถนนในเมืองก็มีต้นไม้เพียงไม่กี่ชนิด
จะมีโอกาสเห็นไม้ชนิดอื่นได้ก็ทางอินเทอร์เน็ต
ก็เลยคิดว่าเนื่องจากที่บ้านยังพอมีความเป็นธรรมชาติให้แบ่งปันบ้าง
ก็เลยเอารูปต้นกาฝากที่ถ่ายเอาไว้ตอนตัดกิ่งมะม่วงมะเฟืองมาให้ดูกัน
(ส่วนพวกคุณอายุก็มากแล้ว
และไม่ได้โตในกรุงเทพด้วย
คิดว่าคงจะรู้จักและเคยเห็นต้นกาฝากของจริงมาแล้ว)
รูปที่
๑ ต้นกาฝากที่ตัดมาจากกิ่งมะเฟือง
รูปที่
๒ ต้นกาฝากที่ตัดมาจากกิ่งมะม่วง
ส่วนต้นกาฝากมันมาเกาะต้นไม้ได้อย่างไร
เอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างนั้น
คงจะไม่ขอกล่าวถึง
เพราะมีคนเขียนเรื่องต่าง
ๆ เหล่านี้เอาไว้มากแล้ว
เพียงแต่ต้องการเอารูปกาฝากมาแปะไว้บน
blog
เผื่อมีเด็กนักเรียนต้องการรูปไปทำการบ้านส่งคุณครู
รูปปิดท้ายอีกสองรูปในหน้าถัดไปก็ไม่มีอะไร
เป็นเพียงแค่วิวมองจากหน้าต่างห้องนอนของลูกทั้งสอง
สวนที่เห็นนั้นไม่ใช่ที่ดินของบ้านผมหรอก
เป็นของคนอื่นเขา
แต่ก็เห็นมันเป็นสวนอย่างนี้มานานตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี
๒๕๒๑ ผ่านน้ำท่วมมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่มันก็ยังเป็นสวนเหมือนเดิม
ที่ตอนนั้นเคยมีหิ่งห้อยบินไปมาอย่างไร
ตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่ กระรอก
กระแต วิ่งเล่นกันทั้งวัน
ทั้งปีนต้นไม้และปีนรั้ว
รวมทั้งเข้ามากินมะม่วงและมะละกอในบ้านด้วย
วันดีคืนดีก็มีนกแซงแซวหางยาวแวะเข้ามาเยี่ยม
กลางคืนไม่มีแม้แต่เสียงรถวิ่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศเช่นนี้จะคงอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด
รูปที่
๓ วิวจากหน้าต่างห้องนอนของลูก
(เป็นที่ของบ้านข้าง
ๆ ไม่ใช่บ้านของผมนะ)
หลานของภรรยาเคยมาค้างที่บ้านที่นี้คืนนึง
เขาเคยชินกับบ้านอยู่ริมถนนมีรถวิ่งไปมา
เช้าวันรุ่งขึ้นบ่นให้ฟังเลยว่าที่นี่กลางคืนเงียบมาก
เงียบจนน่ากลัว
เพราะมันไม่มีเสียงคนหรือรถวิ่ง
มีแต่เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องและตุ๊กแกบ้างเป็นครั้งคราว
แถมมืดมากด้วย ส่วนผมนั้นชินจนชอบซะแล้ว
ถ้าไม่มืดและไม่เงียบจะนอนไม่หลับเอาซะเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น