ไตรเอทานอลเอมีน
(Triethanol
amine - N-(CH2CH2-OH)3)
เป็นเบสอินทรีย์
(organic
base) ตัวหนึ่งที่มีความเป็นเบสแรงกว่าแอมโมเนีย
(ammonia
- NH3) หรือจะเรียกว่าเป็นอนุพันธ์
(derivative)
ของแอมโมเนียก็ได้
ด้วยการแทนที่อะตอม H
ทั้งสามอะตอมของแอมโมเนียด้วยหมู่
-CH2CH2-OH
รูปที่
๑ (บน)
ฉลากจากเจลใส่ผมและโฟมโกนหนวด
(ล่าง)
ครีมทาผิว
ต่างก็ใช้ไตรเอทานอลเอมีนในส่วนประกอบ
ไตรเอทานอลเอมีนมีการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
ที่ผมเอามาให้ดูในรูปข้างบนก็มี
เจลใส่ผม โฟมโกนหนวด และโลชันทาผิว
นอกจากนี้ด้วยการที่มันมีฤทธิ์เป็นเบสที่แรงกว่าแอมโมเนีย
(NH3)
จึงถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมในการกำจัดแก๊สกรด
(พวก
CO2
และ
H2S)
ออกจากแก๊สธรรมชาติก่อนเข้ากระบวนการกลั่นแยก
(แก๊สสองตัวนี้มันมีอุณหภูมิจุดเยือกแข็งสูงกว่าสารอื่นในแก๊ส
ดังนั้นจะทำให้เกิดการอุดตันขึ้นได้ในระบบเมื่อทำการลดอุณหภูมิแก๊สให้ต่ำลงก่อนทำการกลั่นแยก
และยังมีฤทธิ์กัดกร่อนด้วย)
ในระดับอุตสาหกรรมผลิตไตรเอทานอลเอมีนจากปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนออกไซด์
(C2H4O)
กับแอมโมเนีย
(โดยมีน้ำร่วมด้วย)
ดังสมการในรูปที่
๒ ข้างล่าง
(หาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกา
เช่นสิทธิบัตรเลขที่ US
1,904,013, US 4,355,181 และ
US
6,696,610) ในบ้านเราเองก็มีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตไตรเอทานอลเอมีนนี้
รูปที่
๒ จากเอทิลีนสู่ไตรเอทานอลเอมีน
เอทิลีนออกไซด์เตรียมได้จากปฏิกิริยาการออกซิไดซ์เอทิลีนด้วยออกซิเจนโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาตระกูลโลหะเงิน
(Ag)
ปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนออกไซด์กับแอมโมเนียจะได้สารผสมที่เป็นโมโนเอทานอลเอมีน
(Monoethanolamine
- MEA) ไดเอทานอลเอมีน
(Diethanolamine
- DEA) และไตรเอทานอลเอมีน
(Triethanolamine
- TEA)
ส่วนจะได้สารใดมากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างเอทิลีนออกไซด์กับแอมโมเนียที่ใช้ทำปฏิกิริยา
ถ้าปริมาณแอมโมเนียมีมากกว่าเอทิลีนออกไซด์มาก
ก็จะได้ MEA
เป็นตัวหลัก
แต่ถ้ามีเอทิลีนออกไซด์มากก็จะได้
TEA
เป็นตัวหลัก
-
การเปลี่ยนหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
-OH) ให้กลายเป็นเฮไลด์
(-X)
ในตำราเคมีอินทรีย์ในบทแอลกอฮอล์หรืออัลคิลเฮไลด์
(alkyl
halide)
จะมีการกล่าวถึงปฏิกิริยาการเตรียมสารประกอบอัลคิดเฮไลด์ด้วยการแทนที่หมู่ไฮดรอกซิล
-OH
ของแอลกฮอลฮอล์ด้วยเฮไลด์
(Cl,
Br หรือ
I)
ด้วยการทำปฏิกิริยากับสารประกอบ
PX3,
HX (hydrogen halide) หรือ
SOCl2
(ไธโอนิลคลอไรด์
-
Thionyl chloride) ดังตัวอย่างเช่น
รูปที่
๓ ปฏิกิริยาการเปลี่ยนหมู่ไฮดรอกซิล
-OH
ให้กลายเป็นเฮไลด์
-X
ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับ
PX3
นั้นใช้ได้ดีกับ
PBr3
และ
PI3
ส่วน
PCl3
นั้นจะให้
HCl
กับ
P(OR)3
เป็นหลัก
ในกรณีของปฏิกิริยากับ
HX
นั้น
ความว่องไวจะเรียงตามลำดับ
HI > HBr > HCl >> HF
และความว่องไวของแอลกอฮอล์ในการทำปฏิกิริยาดังกล่าวจะเรียงตามลำดับ
tertiary > secondary > primary > CH3OH
ดังนั้นในกรณีของแอลกอฮอล์ตติภูมิ
(tertiary
alcohol) นั้นปฏิกิริยาสามารถเกิดได้ที่อุณหภูมิห้อง
แต่ถ้าเป็นแอลกอฮอล์ทุติยภูมิ
(secondary
alcohol) หรือแอลกฮอล์ปฐมภูมิ
(primary
alcohol) จำเป็นต้องมีการให้ความร้อนช่วย
และถ้าเป็นการทำปฏิกิริยากับ
HCl
ก็มักจะต้องการตัวเร่งปฏิกิริยา
(เช่น
ZnCl2)
ช่วยในการทำปฏิกิริยาอีก
-
The Australia Group (AG)
The
Australia Group (ย่อว่า
AG)
เป็นกลุ่มประเทศที่มีการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการเพื่อหามาตรการควบคุมการนำเข้าและการส่งออก
โดยเฉพาะสารเคมีที่เป็นหรือสามารถใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตอาวุธเคมีและชีวภาพ
กลุ่มนี้ได้จัดทำคู่มือรายชื่อสารเคมีที่เป็นหรือสามารถใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตอาวุธเคมีและชีวภาพ
และคู่มือดังกล่าวได้รับการยอมรับจากคณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติเพื่อใช้ในการควบคุมการแพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง
รายละเอียดเพิ่มเติมของ
AG
และรายการสารเคมีต่าง
ๆ (ดาวน์โหลดไฟล์
pdf
ได้)
ที่เข้าข่ายที่ต้องทำการควบคุมสามารถอ่านได้จาก
http://www.australiagroup.net/en/index.html
ไตรเอทานอลเอมีนตัวหนึ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ
AG
list โดยประเทศไทยเองก็เป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายหนึ่งของโลกด้วย
(รูปที่
๔ และ ๕)
รูปที่
๔ รายละเอียดของไตรเอทานอลเอมีนที่ปรากฏใน
Autralia
Group Common Control List Handbook - Vol I
เล่มนี้จะเกี่ยวกับสารเคมีและอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่ใช้ในการผลิตอาวุธเคมี
ถ้าเป็น Vol
II จะเป็นส่วนของอาวุธชีวภาพ
รูปที่ ๕ หน้าที่สองของรายละเอียดของไตรเอทานอลเอมีนที่ปรากฏใน Autralia Group Common Control List Handbook - Vol I หน้านี้มีการระบุรายชื่อประเทศที่เป็นผู้ผลิตไตรเอทานอลเอมีน
รูปที่ ๕ หน้าที่สองของรายละเอียดของไตรเอทานอลเอมีนที่ปรากฏใน Autralia Group Common Control List Handbook - Vol I หน้านี้มีการระบุรายชื่อประเทศที่เป็นผู้ผลิตไตรเอทานอลเอมีน
-
Nitrogen mustard
มัสตาร์ด
(mustard)
เป็นชื่อพืช
แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงพืช
แต่เป็นสารเคมีที่มีกลิ่นคล้ายกลิ่นของพืชดังกล่าว
สารเคมีตระกูลนี้ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธเคมีตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่
๑ โดยออกฤทธิ์ทำให้เกิดแผลบวมพองบนผิวหนัง
(ที่เรียกว่า
Blister
agent) สารกลุ่มนี้แบ่งได้เป็น
๒ กลุ่มคือ Sulphur
mustard และ
Nitrogen
mustard ลักษณะโครงสร้างทั่วไปคือมีอะตอม
S
หรือ
N
เป็นศูนย์กลาง
และมีหมู่อัลคิลเฮไลด์เกาะอยู่กับอะตอม
S
หรือ
N
ดังกล่าว
ในกรณีของ Sulphur
mustard ก็จะมีหมู่มาเกาะกับอะตอม
S
ได้
๒ หมู่ ส่วนกรณีของ Nitrogen
mustard ก็จะมีหมู่มาเกาะกับอะตอม
N
ได้
๓ หมู่ (หมู่ที่มาเกาะไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมด
และไม่จำเป็นต้องเป็นหมู่อัลคิลเฮไลด์ทุกหมู่ด้วย)
สารประกอบตระกูล
Sulphur
mustard
นอกจากจะใช้เป็นอาวุธเคมีแล้วก็ดูเหมือนว่าจะใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้
ส่วนสารประกอบตระกูล Nitrogen
mustard นั้นบางตัวก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นอาวุธเคมี
และหลายตัวก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง
(ที่เราเรียกว่ารักษาด้วยคีโม)
แล้วไตรเอทานอลเอมีนมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับอาวุธเคมีล่ะ
คำตอบก็คือมันไปเกี่ยวข้องตรงที่ถ้าเราไปเปลี่ยนหมู่
-OH
ของมันให้กลายเป็น
-Cl
มันก็จะกลายเป็นสารประกอบที่เรียกว่า
Tris(2-chloroethyl)amine
ที่มีรหัสว่า
HN3
ที่จัดว่าเป็น
blister
agent ตัวหนึ่ง
(รูปที่
๖)
รูปที่
๖ Tris(2-chloroethyl)amine
(ชื่อรหัส
HN3)
เตรียมได้จากการเปลี่ยนหมู่
-OH
ของไตรเอทานอลเอมีด้วยอะตอม
Cl
แล้วการเปลี่ยนหมู่
-OH
ให้กลายเป็น
-Cl
นั้นทำได้อย่างไรล่ะ
คำตอบมันก็มีอยู่ในตำราเคมีอินทรีย์อยู่แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น