"ตอนนี้ทางทีมของพวกผมขาดบุคลากรในด้านนี้มากครับ
คือด้านเกี่ยวกับการทำ Know
how การถ่ายทอด
รุ่นสู่รุ่น และการจดบันทึก
เหมือนที่อาจารย์แนะนำ
จนเป็นเวลาผ่านมาหลายปี
ยังไม่ประสบผลสำเร็จเลยครับ
ผมอยากทำเรื่องนี้เลยค่อย
ๆ อ่านศึกษาเรื่อย ๆ
ตัวเองทำงานมาประมาณ10ปี
ก็พอมีพื้นฐานบ้างครับ
พยายามถ่ายทอดออกมา
และจดบันทึกได้บ้าง
จะพยายามทำให้ได้ครับ
ถ้าอาจารย์ มีอะไรแนะนำ
ก็เชิญได้นะครับ ยินดีรับคำติชมครับ"
อย่างแรกเลยผมคงต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากครับที่ส่งอีเมล์มาให้กำลังใจในการเขียนเรื่องราวต่าง
ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ขอบอกตามตรงเลยนะครับว่า
ถ้าเป็นเรื่องราววิชาการความรู้
คนใกล้ตัวผม (คือนิสิตที่กำลังเรียนอยู่)
มักจะไม่อ่านหรอกครับ
เว้นแต่ว่าจะบอกว่ามีข้อสอบอยู่ในนั้น
หรือบางเรื่องมันมีเนื้อหาตรงกับรายงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ
และบนหน้า blog
ผมมันเป็นเนื้อหาภาษาไทย
(เพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องแปลแบบถูก
ๆ ผิด ๆ)
แต่ถ้าเป็นพวกเรื่องราวไร้สาระเนี่ย
ยอด กดไลค์มักจะต่ำ
แต่ยอดเข้าชมมักจะสูงครับ
(คือพอผมโพสเรื่องใหม่ขึ้น
blog
ผมจะนำไปเผยแพร่ใน
facebook
ของนิสิตก่อนครับ)
ส่วนพวกความรู้พื้นฐานต่าง
ๆ (เช่น
pipe
กับ
tube
ต่างกันอย่างไร)
มักจะมีคนเข้ามาอ่านกันมากตอนช่วงฝึกงานครับ
โดยความเห็นส่วนตัวนะครับ
หลากหลายเรื่องราวมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออาหารการกิน
ในอดีตกาลผู้คนที่อาศัยอยู่ในแต่ละท้องถิ่นนั้นรู้ว่าในภูมิประเทศที่เขาอาศัยอยู่นั้นมันมีอะไรที่เขากินเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิตได้
เขาก็กินสิ่งที่เขาหาได้ในท้องถิ่นนั้น
ตัวอย่างเช่นพวกเอสกิโมที่อยู่ในภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
ปลูกผักอะไรไม่ได้
เขาก็บริโภคเนื้อเป็นหลัก
อยู่ดี ๆ จะไปบอกเขาว่าหันมากินผักแทนเถอะ
เพราะมันไม่บาป ผมว่ามันก็ไม่ถูก
ผมเห็นว่าการเล่าเรื่องราวต่าง
ๆ ก็เช่นเดียวกันครับ
รูปที่
๑ หน้าปกหนังสือของ "เหม
เวชกร"
รุ่นที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า
เป็นหนังสือชุดที่ผมชอบอ่านมากชุดหนึ่ง
แต่ทำไมถึงมาโผล่อยู่ในบทความนี้ได้
ก็ลองอ่านเนื้อหาบทความไปเรื่อย
ๆ ก็แล้วกันครับ
ผู้เล่าเรื่องราวอาจเปรียบได้เหมือนพ่อครัวผู้ทำอาหาร
(อันนี้ของรวมถึงแม่ครัวด้วยนะครับ
ไม่ได้ลำเอียงใด ๆ)
พ่อครัวนั้นมีวัตถุดิบคือ
พืช ผัก เนื้อ และเครื่องปรุงต่าง
ๆ ส่วนวัตถุดิบของผู้เล่าเรื่องราวก็คือสิ่งที่เขาได้ไปพบ
ไปเห็น ได้รับฟังมา
การได้วัตถุดิบของพ่อครัวอาจได้มาจากตลาดใกล้บ้าน
หรือการท่องเที่ยวเดินทางไปยังท้องถิ่นอื่นเพื่อสรรหาวัตถุดิบใหม่
ผู้เล่าเรื่องราวก็เช่นกันครับ
เรื่องที่นำมาเล่านั้นอาจเป็นเรื่องใกล้ตัว
เช่นงานที่ทำอยู่หรือประสบการณ์ในการทำงาน
หรือจากคนอื่นเล่าให้ฟัง
แต่บางครั้งเราก็ต้องเดินทางไปยังที่อื่นบ้างเพื่อเปิดโอกาสได้เจอกับสิ่งใหม่
ๆ บ้าง
มันไม่มีอาหารชนิดใดหรอกครับที่คนทุกคนบนโลกจะชื่นชอบ
ทำนองเดียวกันครับ
มันไม่มีรูปแบบการเขียนที่ถือว่าเป็นสุดยอดที่ทุกคนต้องเอาเยี่ยงอย่าง
พ่อครัวแต่ละคนต่างก็มีความถนัดในด้านการทำงานแต่ละด้าน
จะมาบอกว่าคนที่เป็นพ่อครัวอาหารฝรั่งเศสนั้นเหนือกว่าอาหารจีนก็ไม่ถูก
คนเล่าเรื่องราวก็เช่นเดียวกัน
บางคนเล่าเรื่องสยองขวัญเก่ง
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเล่าเรื่องชีวิตรักได้หวานซึ้งหรือเรื่องตลกได้ขำกลิ้ง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพอเราถนัดในเรื่องใดแล้วเราก็ควรต้องยึดติดในเรื่องนั้นนะครับ
ผมเชื่อว่าแต่ละคนก็มีบ้างเหมือนกันในบางครั้งที่อยากลองทำอะไรที่เราไม่เคยลองทำหรือคิดว่าไม่มีความถนัด
แต่ที่เราไม่ทำก็เพราะกลัวว่าจะออกมาไม่ดี
ผมเองก็เคยลองทำเหมือนกัน
และบังเอิญออกมาประสบความสำเร็จดีซะด้วย
(แต่ยังทำซ้ำไม่ได้นะครับ)
คือดีซะจนคนในที่ทำงานเดียวกับผม
(ซึ่งปรกติเขาก็ไม่ค่อยมาอ่านบทความที่ผมเขียนลง
blog
อยู่แล้ว)
เวลาเจอหน้าผมเขาถึงกับมองหน้าผมด้วยความสงสัยว่า
มันเป็นเรื่องจริงหรือนิยาย
(ทีเรื่องแบบนี้ละก็
อ่านแล้วอ่านอีก อ่านละเอียดเสียด้วย)
ถ้ายังไงก็อยากขออนุญาตแนะนำให้ลองอ่านเรื่อง
"อาจารย์ครับ ผมไม่เรียนต่อแล้วนะครับ"
เล่น
ๆ ก่อนก็ได้ครับ (สำหรับผู้อ่านบนหน้าเว็บ
สามารถกดลิงค์ที่ชื่อบทความเพื่อเข้าไปยังเรื่องดังกล่าวได้เลยนะครับ)
ดังนั้นเรื่องที่จะเล่าต่อไปจากนี้
ถือเสียว่าเป็นการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวก็แล้วกันนะครับ
อย่ายึดถือว่าเป็นตัวอย่างที่ควรเลียนแบบ
เป็นคำติหรือคำชม หรือคำแนะนำใด
ๆ นะครับ :)
:) :)
MO
Memoir เริ่มจากการเขียนบันทึกเป็นไฟล์
pdf
แจกจ่ายให้กับนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ครับ
เรื่องทั้งเรื่องมันเริ่มจากการที่รู้สึกว่าต้องมาฝึกสอนเรื่องเดิม
ๆ (โดยเฉพาะเทคนิคปฏิบัติงาน
และการปรับความเข้าใจในความรู้พื้นฐานให้ถูกต้อง)
ให้กับนิสิตรุ่นใหม่ทุกปี
และบางปีก็ลืมสอนในบางเรื่องด้วย
ก็เลยคือทำเป็นบันทึกแจกจ่ายทางอีเมล์ให้กับเฉพาะนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เท่านั้น
(ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่
โดยจะส่งให้ทางอีเมล์ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาเรียน
จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร)
แต่พอเขียนไปได้หลายเรื่องก็เริ่มมีปัญหาแล้วว่าเคยเขียนเรื่องอะไรไว้บ้างและเขียนไว้เมื่อไร
ก็เลยคิดนำเอาเรื่องต่าง
ๆ นั้นขึ้น blog
เพราะมันทำให้ค้นหาเรื่องย้อนหลังได้ง่ายขึ้น
(ตรงที่ผมทำช่อง
"ค้นหาบทความ
MO
Memoir" นั่นแหละครับ)
ทีนี้พอโพสเรื่องต่าง
ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ
ก็เลยทำให้มีผู้อ่านหลากหลายมากขึ้นครับ
รูปแบบการเขียนนั้น
ผมมักจะอิงแนวทางเหมือนกับว่าผมกำลังเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟังอยู่
ถ้าเป็นเรื่องงานวิจัยก็จะวางแนวทางการเล่าเสมือนกับเล่าให้นิสิตปริญญาโทในที่ปรึกษาฟัง
ถ้าเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปก็จะวางแนวทางการเล่าเสมือนกับเล่าให้นิสิตที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือผู้ที่เรียนต่างสาขาฟัง
ทีนี้พอวางภาพว่าคนฟังเป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่
ดังนั้นคำบางคำที่คนที่กำลังทำงานอยู่นั้นอ่านแล้วเข้าใจเลย
แต่สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่นั้นจะพบว่าเป็นคำศัพท์ใหม่
ทำให้จำเป็นต้องมีการขยายความเป็นระยะ
"แค่เห็นรูปก็กลัวแล้ว
แค่ได้ยินคำบรรยายก็สามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติอาหาร"
เป็นคำอธิบายงานเขียนของศิลปินแห่งชาติ
"เหม
เวชกร"
ที่ผมต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อรูปแบบการเขียนของผมมาก
ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านการใช้ภาษาที่เรียบง่ายและความสมจริงอย่างน่าประทับใจของตัวละครที่เป็นผู้เล่าเรื่อง
ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้นำเอารูปหนังสือที่เขียนโดย
เหม เวชกร
ที่ผมมีเก็บไว้บางเล่มนำมาประกอบเรื่องเล่าวันนี้ครับ
ผมเองจะไม่พยายามเขียนเรื่องยาว
ๆ ให้จบในตอนเดียว
ในกรณีที่คิดว่าเรื่องมันค่อนข้างจะยาว
ก็จะพยายามตัดตอนเป็นช่วง
ๆ วิธีการนี้มันก็มีข้อดีตรงที่ผู้อ่านไม่ต้องเสียเวลาในการอ่านมาก
และยังทำให้ตัว blog
นั้นมีเรื่องราวใหม่
ๆ ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ
เหมือนกับว่ามันยังมีชีวิตอยู่
ยิ่งในปัจจุบันที่คนหันไปอ่านจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น
จึงทำให้ยากที่จะมีคนอ่านบทความยาว
ๆ จากหน้าจอรวดเดียวจนจบ
นอกจากนี้ก็จะพยายามให้แต่ละย่อหน้ามันไม่ยาวเกินไป
เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้พักสายตาเมื่ออ่านจบแต่ละย่อหน้า
และบางครั้งก็จะใช้การเว้นบรรทัดช่วยแยกย่อหน้าให้ห่างจากกัน
ซึ่งการเว้นบรรทัดนี้มันมีประโยขน์ทั้งการจัดหน้ากระดาษและการเน้นข้อความ
ยังช่วยบอกให้ผู้อ่านทราบเป็นนัยว่ากำลังจะเริ่มเนิ้อหาใหม่
ในขณะเดียวกันก็จะพยายามหารูปแทรกประกอบเนื้อหาที่เขียน
เพราะมันไม่แต่จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
มันยังช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเนื้อหาที่อ่านนั้นมันไม่หนาแน่นมากเกินไป
(บางทีบทความขนาด
๑๐ หน้ากระดาษ A4
มีส่วนที่เป็นข้อความอยู่ไม่ถึงครึ่งก็มี)
แต่ก็มีบ่อยครั้งเหมือนกันครับที่พอเขียนจบเรื่องแล้วพบว่าหน้ากระดาษมันว่างอยู่
ก็เลยต้องไปหารูปอะไรต่อมิอะไรมาลงเพื่อให้หน้ากระดาษมันเต็มเท่านั้นเอง
(ทั้งหมดจะเป็นรูปที่ผมถ่ายเอง)
รูปเหล่านี้จะว่าไปบ่อยครั้งที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาในบทความเลยครับ
เป็นเพียงแค่การฝากสิ่งที่ผมได้พบเห็นไว้ในบทความนั้นเท่านั้นเอง
แต่ก็ไม่แน่นะครับ
ในอนาคตมันอาจมีคุณค่าขึ้นมาก็ได้
ตัวอย่างเช่นตอนนี้ถ้าใครสักคนไปถ่ายรูปรถติดบนถนนที่สี่แยกแห่งหนึ่งแล้วนำมาโพส
คนเห็นก็คงไม่รู้สึกแปลกอะไร
แต่ถ้าผ่านไปสัก ๓๐
ปีแล้วนำมาโพสใหม่
เชื่อว่าคนที่เห็นภาพเดิมนี้ในตอนนั้นจะมีความรู้สึกที่แตกต่างไป
แบบที่เราเห็นภาพสถานที่ต่าง
ๆ เมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั่นแหละครับ
"น้ำปลาที่ดีต้องใช้เวลาบ่มนานฉันใด
ความทรงจำก็เช่นกัน"
(อันที่จริงผมเคยใช้คำว่า
"สุรา"
มาก่อนครับ
แต่ดูปฏิทินแล้วเห็นว่าวันนี้เป็นวันพระ
ก็เลยขอเปลี่ยนเป็น "น้ำปลา"
แทน)
รูปแบบการจัดหน้าของผมตรงนี้ลองดูได้จาก
MO
Memoir ฉบับรวมบทความที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์
pdf
จากหน้า
blog
ได้ครับ
ตอนแรกนี้คงทำได้แค่การเล่าให้ฟังว่าผมเริ่มเขียนได้อย่างไร
ได้แนวทางการเขียนมาจากไหน
วางรูปแบบการเขียนอย่างไร
ส่วนเรื่องที่ว่าเรื่องที่เขียนเอามาจากไหนนั้น
ขอยกเป็นตอนต่อไปก็แล้วกันนะครับ
เพราะยังจัดลำดับการวางเรื่องไม่ลงตัว
วันนี้ขอสวัสดีแค่นี้ก่อนครับ
:)
:) :)
รูปที่
๒ ตัวอย่าง MO
Memoir ฉบับรวมบทความที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์
pdf
ได้ฟรีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น