วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก Process Design Questionnaire ตอนที่ ๑ MO Memoir : Tuesday 13 January 2558

ย้อนหลังกลับไปเมื่อสักประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว ในขณะนั้นประเทศไทยมีเพียงแค่โรงกลั่นน้ำมัน ๒ โรงที่ศรีราชา ๑ โรงที่แถวท่าเรือคลองเตย และโรงกลั่นขนาดเล็กของทหารอีก ๑ โรงที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โรงแยกแก๊สธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทยก็เพิ่งจะตั้งขึ้นที่อำเภอมาบตาพุด จังหวัดระยอง โรงงานอุตสาหกรรมที่จัดได้ว่าเป็นส่วน downstream ของปิโตรเคมีก็เห็นจะมีแต่โรงผลิตพอลิเมอร์ PVC ที่ตั้งอยู่แถวอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และโรงงานผลิตพอลิเมอร์ HDPE และ LDPE ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
  
แก๊สธรรมชาติที่ขึ้นมาจากอ่าวไทยในยุคนั้นประกอบด้วยมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก แต่ก็มีอีเทน กับโพรเพนและบิวเทนร่วมอยู่ด้วย (ตรงนี้ไม่นับรวมส่วนที่เป็นของเหลวที่เรียกว่า natural gas condensate แต่มักจะเรียกย่อว่า condensate ที่จะแยกออกจากส่วนที่เป็นแก๊สที่แท่นขุดเจาะ ของเหลวส่วนนี้บางทีจะเรียกว่าแก๊สโซลีนธรรมชาติหรือ Natural Gasoline ที่ย่อว่า NGL) โพรเพนและบิวเทนถูกแยกออกมาเพื่อจำหน่ายในรูปแก๊สปิโตรเลียมเหลวหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า LPG ส่วนอีเทนนั้นแม้ว่าจะมีปริมาณที่มากพอที่คุ้มที่จะแยกออกมาเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทิลีนสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่เนื่องจากบ้านเรายังไม่มีโรงงานผลิตเอทลีน ทำให้ต้องขายอีเทนส่วนนี้ร่วมไปกับแก๊สมีเทนที่ขายในรูปของเชื้อเพลิง ลูกค้าในขณะนั้นก็เห็นมีแต่โรงไฟฟ้าที่บางปะกงและโรงจักรพระนครใต้ และโรงงานปูนซิเมนต์ที่สระบุรี
  
กลุ่มโรงงานปิโตรเคมีกลุ่มแรกที่จะขึ้นที่มาบตาพุดนั้นประกอบด้วย โรงงานผลิตเอทิลีน-โพรพิลีน ๑ โรง โรงงานผลิต PP ๑ โรง โรงงานผลิต HDPE และ LLDPE อีกอย่างละ ๑ โรง และโรงงานผลิต PVC อีก ๑ โรง โดยต่างจะรับเอทิลีนและโพรพิลีนจากโรงงานผลิตเอทิลีน-โพรพิลีนที่จะสร้างขึ้น (และยังส่งต่อไปยังโรงงานผลิต HDPE และ LDPE ที่ตั้งขึ้นก่อนหน้า ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตัวจังหวัดระยอง ผ่านทางระบบท่อที่เลียบไปตามถนนสายเลี่ยงเมืองระยอง)
  
ในขณะนั้นวิศวกรกลุ่มหนึ่งที่รับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างกลุ่มโรงงานปิโตรเคมีกลุ่มแรกของประเทศนั้น ได้มีการเดินทางไปฝึกอบรม ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเรียนรู้พื้นฐานต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างโรงงานและการออกแบบกระบวนการ ซึ่งในเวลานั้นนับว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย วิศวกรกลุ่มนี้บางท่านที่ผมรู้จักก็ได้กลายเป็นผู้บริหารของบริษัทชั้นนำของประเทศ (อันที่จริงบางท่านเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือผมตอนเรียนปริญญาตรีด้วยซ้ำ) หลายท่านที่เป็นรุ่นพี่ที่ยังคงอยู่ในวงการก็เติบโตไปตามสายงาน (มีผมที่แยกออกจากสอนหนังสือ) ตอนที่ผมจบไปทำงานใหม่ ๆ นั้นก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับวิศวกรรุ่นพี่เหล่านี้บางท่าน ก็เลยมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความรู้มาอีกทีหนึ่ง
  
มาขณะนี้รู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องนำเอาความรู้ที่เก็บสะสมเอาไว้นั้นมาเขียนบันทึก เผื่อให้คนใหม่ ๆ ได้เรียนรู้ว่าคนก่อนหน้านี้ได้เรียนอะไรมากันบ้าง แม้เวลาจะผ่านไปกว่า ๓๐ ปีแต่ก็เชื่อว่าความรู้เหล่านี้ยังใช้งานกันอยู่ เพราะมันไม่ได้เป็นส่วนที่เป็นเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เป็นส่วนการบริหารโครงการและการจัดการโครงการมากกว่า โดยจะเริ่มจากเรื่อง Process Design Questionnaire ก่อน จากนั้นจึงค่อยตามด้วยเรื่อง Project Design Questionnaire
  
ในการก่อสร้างโรงงานสักโรงนั้น เริ่มจากลูกค้า (Client) หาซื้อเทคโนโยลีจากผู้เป็นเข้าของเทคโนโลยีที่พร้อมที่จะขายให้เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองต้องการจำหน่าย จากนั้นจึงค่อยไปหาผู้ที่จะทำหน้าที่สร้างโรงงานที่สามารถทำงานตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เจ้าของเทคโนโลยีนั้นกำหนดไว้ ซึ่งในบางกรณีเจ้าของเทคโนโลยีก็อาจมีบริษัทรับก่อสร้างเป็นบริษัทอยู่ในเครือด้วย หรืออาจไปจ้างบริษัทอื่นก็ได้ โดยงานนี้อาจมีการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเป็นผู้ให้คำแนะนำในการเลือก ผู้รับเหมาก่อสร้าง การตรวจแบบก่อสร้าง การกำหนดผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เป็นที่ยอมรับ (คือเป็นยี่ห้อที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการ) การควบคุมงานก่อสร้าง ฯลฯ
  
Process Design Questionnaire นั้นเป็นแบบสอบถามในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ที่ทางผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานจำเป็นต้องทราบ ว่าในกระบวนการผลิตที่เขาต้องทราบนั้นมีเงื่อนไขอะไรบ้าง โดยมุ่งเน้นไปที่ส่วนของตัวโรงงานที่เป็นกระบวนการผลิตเป็นหลัก และข้อตกลงในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร การเรียกชื่อ ฯลฯ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในระหว่างการทำงาน
  
ส่วน Project Design Questionnaire นั้นจะเน้นไปที่ข้อมูลโดยรอบของโรงงานซะมากกว่า ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางการขนส่งอุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ เข้าโรงาน ตัวอย่างของคำถามในหมวดนี้ได้แก่สถานที่ตั้ง เส้นทางการคมนาคมที่เข้าถึงสถานที่ตั้ง สภาพอากาศที่ต้องเผชิญ ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดในเรื่องนี้ค่อยมาว่ากันอีกที
  
เอกสารในส่วนของ Process Design Questionnaire นั้นมีอยู่ทั้งหมด ๒๙ หน้า จะค่อย ๆ นำมาลงโดยจะพยายามอธิบายจขยายในแต่ละหัวข้อเพิ่มเติมประกอบ เพื่อให้ผู้อ่านที่กำลังศึกษาอยู่นั้นได้เห็นภาพว่าทำผู้ก่อสร้างจึงจำเป็นต้องรู้คำตอบของคำถามเหล่านั้น
  
เริ่มจากหน้าแรกนั้นเป็นปกหน้าที่ระบุชื่อโครงการและสถานที่ตั้งโครงการ
  
ถัดไปเป็นหน้าสารบัญ
  
จากนั้นจึงเข้าสู่แบบสอบถาม โดยเริ่มจากหน้าที่ระบุหมายเลข Page 1 of 28 ทางมุมขวาของแบบสอบถาม โดยเริ่มจาก

1.0 Introduction (Page 2 of 28)

ส่วนนี้กล่าวถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ผู้ว่าจ้างต้องตอบแบบสอบถามนี้ จะเห็นว่ามีการระบุเอาไว้ด้วยว่าควรให้ข้อมูลโดยเร็วที่สุดเพื่อที่งานจะได้เริ่มอย่างรวดเร็ว แต่ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบทุกตัวแล้วค่อยส่ง ข้อมูลบางอย่างสามารถส่งให้ในภายหลังได้

2.0 Unit of measure (Page 3 of 28)

เนื้อหาในส่วนนี้เป็นข้อตกลงเรื่องหน่วยการวัดที่จะใช้ โดยทางผู้ออกแบบสอบถามนั้นยกตัวอย่างหน่วยวัดในระบบอังกฤษ/อเมริกามาให้ (เนื่องจากบริษัทที่ออกแบบสอบถามเป็นบริษัทอเมริกา) ถ้าต้องการใช้หน่วยวัดอื่น (เช่น SI หรือเมตริก หรือใช้ผสมกัน) ก็ต้องมีการตกลงกันตั้งแต่ต้น ตรงนี้เราลองมาดูกันหน่อยว่าเขาต้องการทราบค่าหน่วยวัดของพารามิเตอร์ตัวไหนกันบ้าง
  
อุณหภูมิ (Temperature) : ถ้าเป็นบ้านเราก็จะใช้องศาเซลเซียสเป็นหลัก (ºC)
  
ความดัน (Pressure) : ความดันตรงนี้มักจะหมายถึงความดันเกจ (gauge pressure) ที่สูงกว่าความดันบรรยายกาศ ถ้าใช้ระบบอังกฤษก็จะใช้หน่วยปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) เป็นหลัก แต่ถ้าออกมาทางเมตริกก็อาจเป็น กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (kg/cm2) บาร์ (bar) หรือความดันบรรยากาศ (atm) แต่พักหลัง ๆ ก็เห็นมีการใช้เกจวัดความดันที่แสดงหน่วยเป็นเมกกะปาสคาล (MPa) เหมือนกัน
  
ความดันสุญญากาศ (Vacuum) : คือหน่วยวัดความดันสำหรับระบบที่ทำงานที่ความดันต่ำกว่าความดันบรรยากาศ โดยปรกติจะให้ความดันบรรยากาศเป็นศูนย์ ยิ่งตัวเลขนี้มีค่ามากแสดงว่าความดันของระบบนั้นต่ำกว่าความดันบรรยากาศมากตามไปด้วย ตัวอย่างเช่นถ้ากำหนดให้ใช้หน่วย kg/cm2 ในการระบุความดันสุญญากาศ ค่า 0.2 kg/cm2 จะเท่ากับค่าความดันสัมบูรณ์ 0.8 kg/cm2 แต่ปรกติมักจะไม่เห็นการใช้ความดันสัมบูรณ์ (absolute pressure) ในการวัดความดันที่ต่ำกว่าความดันบรรยากาศ






ในบางครั้งสำหรับระบบที่มีการใช้ความดันที่สูงกว่าความดันบรรยากาศเพียงเล็กน้อยหรือต่ำกว่าความดันบรรยากาศเพียงเล็กน้อย (เช่นถังเก็บของเหลวที่ความดันบรรยากาศ ห้องควบคุม ห้องอุปกรณ์วัด-วิเคราะห์ ก็อาจใช้หน่วยวัดความดันที่แตกต่างไปจากหน่วยที่ใช้วัดความดันของกระบวนการ ตัวอย่างของหน่วยวัดความดันที่สูงกว่าความดันบรรยากาศได้แก่หน่วย นิ้วน้ำ (in H2O) หรือเซนติเมตรน้ำ (cm H2O) ซึ่งเปรียบเทียบความดันว่าเท่ากับความสูงของลำน้ำสูงเท่าใด
  
น้ำหนัก (Weight) : โดยทั่วไปก็จะเลือกว่าใช้เป็นกิโลกรัม (kg) หรือปอนด์ (lb) หน่วยที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้ก็คือตัน (ton) ถ้าเป็นระบบเมตริก 1 ton (หรือเมตริกตัน) จะเท่ากับ 1000 kg แต่ถ้าเป็นระบบอังกฤษต้องระวังไว้หน่อย เพราะมันมีหน่วยตันอยู่สองแบบ แบบแรกเรียกว่า short ton ซึ่ง 1 short ton เท่ากับ 2000 lb แบบที่สองเรียกว่า long ton ซึ่ง 1 long ton เท่ากับ 2240 lb หรือเท่ากับ 1.016 เมตริกตัน
  
ปริมาตร, ของเหลว (Volume, Liquids) : สำหรับการผลิตในโรงงานแล้ว หน่วยวัดปริมาตรสำหรับของเหลวในปริมาณไม่มาก ถ้าเป็นระบบเมตริกก็มักจะใช้เป็นลิตร (อังกฤษเขียน litre ส่วนอเมริกาเขียน liter แต่ก็ย่อว่า l เหมือนกัน) ไม่มีใครเขาใช้หน่วยลูกบาศก์เดซิเมตร - dm3 ที่ชอบใช้กันในโรงเรียน แม้ว่ามันจะเท่ากันก็ตาม ถ้าปริมาตรมากขึ้นก็มักจะใช้เป็นลูกบาศก์เมตร (m3) แต่ถ้าเป็นน้ำมันก็จะมีหน่วยบาร์เรล (bbl) ที่เป็นหน่วยที่นิยมใช้กันในวงการน้ำมัน หน่วยที่ต้องระวังคือแกลลอน (gal) เพราะมีอยู่สองนิยาม ถ้าเป็นของอังกฤษที่เรียก UK gal หรือ Imperial gallon จะเท่ากับ 4.546 ลิตร แต่ถ้าเป็นของอเมริกาที่เรียก US gas จะเท่ากับ 3.785 ลิตร
  
ปริมาตร, แก๊ส (Volulme, Gases) : “ปริมาตร” แก๊สขึ้นอยู่กับปริมาตรภาชนะที่บรรจุ ดังนั้นหน่วยที่ใช้สำหรับการบอกปริมาตรแก๊สก็มักจะเป็นไปตามหน่วยที่ใช้ในการบอกปริมาตรภาชนะบรรจุ แต่ “ปริมาณ” แก๊สนั้นขึ้นอยู่กับ “ปริมาตร” ภาชนะบรรจุ “ความดัน” ภายในภาชนะบรรจุ และ “อุณหภูมิ” ของแก๊สนั้น ดังนั้นเพื่อที่จะเปรียบเทียบปริมาณแก๊สที่อยู่ในภาชนะบรรจุที่มีปริมาตรต่างกันที่ความดันแตกต่างกันได้ จึงมักจะนิยมเปรียบเทียบว่าถ้าแก๊สดังกล่าวมีค่าความดันและอุณหภูมิค่าหนึ่งที่เรียกว่าค่ามาตรฐาน (หรือค่าที่ตกลงกันไว้) แก๊สดังกล่าวจะมีปริมาตรเท่าใด ที่สำคัญคือต้องเข้าใจตรงกันว่าค่าอุณหภูมิและความดันที่ใช้ในการเปรียบเทียบนั้น แต่ละฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าต้องใช้ค่าอุณหภูมิและความดันที่ตำแหน่งใด เพราะนิยามของตำแหน่งมาตรฐานนั้นมันมีอยู่หลายตำแหน่ง
  
อัตราการไหล, ของเหลว (Flow, Liquids) : ต้องมีการกำหนดว่าจะใช้หน่วยเป็น ปริมาตร/หน่วยเวลา หรือ น้ำหนัก/ต่อหน่วยเวลา ปริมาตรของเหลวในหน่วยวัดอัตราการไหลก็มักจะใช้ระบบเดียวกับที่ใช้ในการวัดปริมาตรของเหลวที่ได้ตกลงกันไว้ ส่วนหน่วยเวลาที่ใช้ก็อาจเป็น ต่อวินาที ต่อนาที ต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับอัตราการไหลว่าสูงเท่าใด
  
อัตราการไหล, แก๊ส (Flow, Gases) : เช่นเดียวกับหน่วยวัดอัตราการไหลของของเหลว คือต้องมีการกำหนดว่าจะใช้หน่วยเป็น ปริมาตร/หน่วยเวลา หรือ น้ำหนัก/ต่อหน่วยเวลา ปริมาตรของแก๊สในหน่วยวัดอัตราการไหลก็มักจะใช้ระบบเดียวกับที่ใช้ในการวัดปริมาตรของแก๊สที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ในกรณีของแก๊สอาจต้องมีการระบุด้วยว่าค่าปริมาตรนั้นเป็นค่าปริมาตรที่อุณหภูมิและความดันเท่าใด (กล่าวคือเป็นค่าอุณหภูมิและความดันของการไหลจริง หรือแปลงมาเป็นที่ค่ามาตรฐาน)
  
อัตราการไหล, ไอน้ำ (Flow, Steam) : พึงสังเกตนะว่าอัตราการไหลของไอน้ำแยกออกมาต่างหากจากอัตราการไหลของแก๊ส และในตัวอย่างที่เอามาให้ดูนั้นใช้หน่วยเป็น “น้ำหนัก” ต่อหน่วยเวลา ไม่ใช่หน่วย “ปริมาตร” ต่อหน่วยเวลา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการผลิตไอน้ำนั้นเริ่มจากการนำน้ำที่เป็นของเหลวมาต้มให้กลายเป็นไอ น้ำหนักของไอน้ำที่ได้ก็เท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ต้มให้ระเหยกลายเป็นไอ (น้ำ 1 ลิตรเมื่อต้มเป็นไอจะมีปริมาตรมากกว่า 1 ลิตร มันจึงไม่บ่งบอกว่าถ้าต้องการไอน้ำ 1 ลิตรต้องต้มน้ำปริมาตรเท่าใด)
  
ความร้อน (Heat) : หน่วยพลังงานความร้อนที่ใช้ถ้าเป็นระบบอังกฤษคือ Btu (British thermal unit) แต่ถ้าเป็นระบบเมตริกก็อาจเป็นวัตต์ (watt - W) หรือกิโลวัตต์ (kilowatt - kW)
  
กำลัง (Power) : คือหน่วยของพลังงานต่อหน่วยเวลา แต่สำหรับอุปกรณ์บางตัว (เช่นเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ขนาดเล็ก) อาจมีการใช้หน่วยเป็นแรงม้า (horse power - hp) ก็ได้
  
ค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อน (Heat transfer coefficient) : ค่าเป็นค่าสำหรับใช้ในการคำนวณหาขนาดของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (ค่ายิ่งสูงก็แสดงว่าส่งผ่านความร้อนได้ดี ขนาดพื้นที่ผิวอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนก็จะเล็กลง) หน่วยของค่านี้ขึ้นอยู่กับหน่วยความร้อนและหน่วยพื้นที่ที่จะใช้ในการคำนวณ
  
ความหนืด (Viscosity) : อาจต้องมีการแยกหน่วยระหว่างสารที่มีความหนืดสูง (เช่นน้ำมันเตา) และสารที่มีความหนืดต่ำ
  
ขนาดของอุปกรณ์และความยาวท่อ (Equipment Dimensions and Pipe Length) : ถ้าเป็นหน่วยอังกฤษก็จะเป็นฟุตและนิ้ว ถ้าเป็นเมตริกก็เป็นเมตรและมิลลิเมตร
  
ขนาดท่อที่เป็น Pipe (Pipe Diameter) และที่เป็น Tube (Tube sizes) : ในทางวิศวกรรมนั้น ท่อที่เรียกว่า Pipe และ Tube นั้นไม่เหมือนกัน มีมาตรฐานกำหนดที่แตกต่างกัน ทั้ง Pipe และ Tube มีขนาดทั้งเป็นระบบนิ้วและระบบมิลลิเมตร
  
Pipe diameter ในที่นี้หมายถึง Nominal Pipe Size (NPS) ซึ่งตัวเลขขนาดท่อตามชื่อและขนาดที่วัดได้จริงนั้นจะแตกต่างกันสำหรับ Pipe ขนาดเล็ก แต่สำหรับ Pipe ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 14 นิ้วขึ้นไปขนาดท่อตามชื่อเรียกจะเท่ากับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของท่อ ส่วนความหนาจะบอกเป็น Schedule number (ย่อว่า Sch no.) ขนาดความหนามาตรฐานคือ Sch no. 40 ถ้าต่ำกว่านี้ก็ถือว่าเป็นท่อบาง ถ้ามากกว่านี้ก็ถือว่าเป็นท่อหนา
  
ส่วน Tube size นั้นขนาด Tube ตามชื่อเรียกจะเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของ Tube ส่วน Tube แต่ละขนาดจะมีผนังหนาขนาดไหนให้เลือกนั้นก็ต้องไปดูค่าในตารางมาตรฐาน ความแตกต่างระหว่าง Pipe และ Tube เคยเล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๖๒๕ วันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "ท่อ - Pipe - Tube"
  
มิติของแผนผังโรงงาน (Plat Plan Dimension) : Plot plan คือแบบที่บอกว่าในโรงงานนั้นมีหน่วยผลิตต่าง ๆ ตั้งอยู่ ณ บริเวณใด มิติในที่นี้ก็คือความกว้างและความยาวของพื้นที่ตั้งของหน่วยผลิตต่าง ๆ ว่าจะบอกระทางด้านหน่วยฟุตหรือเมตร เรื่อง Plot plan สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๖๑ วันพฤหัสบดีที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "มาทำความรู้จักกับ Plotplan (แผนผังโรงงาน)"
  
ความเร็ว (Velocity) : ในโรงงานที่ส่งสารต่าง ๆ ไปตามระบบท่อ ความเร็วที่ใช้กันก็คือความเร็วของการไหลในท่อที่มีหน่วยเป็นระยะทางต่อหน่วยเวลา เช่น ft/s หรือ m/s แต่ก็มีบางระบบเช่นระบบเผาแก๊สทิ้งที่เมื่อเวลาทำงานเต็มที่ แก๊สที่ไหลในท่ออาจมีความเร็วสูงมากจนต้องใช้หน่วย Mach (มัค หรือ เท่าของความเร็วเสียง)
  
ขนาดของปลายท่อที่เป็นจุดต่อของภาชนะบรรจุ (Vessel Nozzle Sizes) : ภาชนะ (Vessel) ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ทำงานที่ความดันบรรยากาศหรือสูงกว่าความดันบรรยากาศ จะมีช่องทางเข้าออกสำหรับท่อ หรือสำหรับให้คนเข้าไปข้างใน (ที่เรียกว่า man hole) หรือยื่นมือเข้าไปข้างใน (ที่เรียกว่า hand hole) ปรกติก็มีลักษณะเป็นจุดต่อแบบหน้าแปลน (ดูรูปที่ ๑ ไปประกอบ) การระบุขนาดของหน้าแปลนนี้ก็มักจะใช้หน่วยเดียวกับหน่วยที่ใช้กับขนาดท่อ ถ้าใช้ท่อหน่วยนิ้ว หน้าแปลนนี้ก็ใช้หน่วยนิ้วตาม ถ้าใช้ท่อหน่วยมิลลิเมตร หน้าแปลนนี้ก็ใช้หน่วยมิลลิเมตรตามไปด้วย
  
ความดันเสียงและพลังงานเสียง (Sound Pressure และ Sound Power) : หน่วยวัดค่าความดันเสียงและพลังงานเสียงคือเดซิเบล (decible - dB) โดยหน่วยเดซิเบลนี้ยังแยกออกเป็นสเกล A, B, C และ D อุปกรณ์หรือเครื่องจักรบางเครื่องจะส่งเสียงดังในขณะทำงาน ทำให้ต้องมีการป้องกันหรือลดผลกระทบจากเสียงนั้น (เช่นโดยการสร้างอาคารปิดคลุม) ตัวอย่างเช่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขับเคลื่อน (diesel generator) ระบบเผาแก๊สทิ้ง (flare system) เมื่อต้องเผาแก๊สทิ้งในปริมาณมาก เครื่องเหวี่ยงแยกขนาดใหญ่ (centrifuge)

เนื้อหาเรื่องนี้ยังไม่จบ ยังมีต่ออีก
  
รูปที่ ๑ ถังใบนี้เป็นถังหุ้มฉนวน ที่ลูกศรสีเหลืองชี้คือจุดสำหรับเชื่อมต่อท่อเข้ากับตัวถังที่เรียก Nozzle ซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าแปลนสำหรับการเชื่อมต่อกับตัวท่อ ตัวใหญ่ที่อยู่ทางด้านบนซ้ายคือ man hole ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะให้คนเข้าไปในถังได้ (เช่นเพื่อการตรวจสอบหรือทำความสะอาด)

ไม่มีความคิดเห็น: