วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

เมื่อเสียงข้างมากในห้องนักบินผิด MO Memoir : Sunday 19 January 2563

ถ้ามาตรฐานการทำงานเกี่ยวกับเครื่องบินถูกนำมาใช้กับบริษัทที่ให้บริการรถโดยสาร อุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารก็น่าจะลดลงไปได้เยอะ ลองนึกภาพดูเล่น ๆ นะครับ สมมุติว่ามีรถโดยสารคันหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ แล้วยางเกิดระเบิด (ด้วยสาเหตุอันเนื่องมาจากตั้งลมยางผิดหรือยางเก่าก็ตามแต่) ทำให้รถเกิดอุบัติเหตุ เรื่องแบบนี้ค่อนข้างจะแน่นอนว่าคนขับรถจะถูกดำเนินคดี (ในฐานะที่ไม่ตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ และนำรถที่ไม่อยู่ในสภาพดีมาใช้งา) แต่ถ้าเป็นเครื่องบินโดยสารที่กำลังแล่นลงสนามบิน แล้วยางเกิดระเบิดขณะกำลังแล่นอยู่บนรันเวย์ (ด้วยสาเหตุอันเนื่องมาจากตั้งลมยางผิดหรือยางเก่าก็ตามแต่) ทำให้เกิดอุบัติเหตุ คุณคิดว่านักบินหรือฝ่ายซ่อมบำรุงจะถูกดำเนินคดี (ในฐานะที่ไม่ตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ และนำรถที่ไม่อยู่ในสภาพดีมาใช้งาน)
  
รูปที่ ๑ แนวเส้นทางการบินของเครื่องบินก่อนตก จะเห็นว่านักบินต้องตีวงเลี้ยวขวาค่อนข้างมาก เส้นประคือแนวเส้นพรมแดนของคิวบา ในวงกลมคือจุดที่ตั้งสัญญาณไฟ (Strobe Light) ลูกศรสีส้มคือแนวร่อนลงปรกติ
  
เรื่องเล่าวันนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดกับเครื่องบิน DC-8 ขณะกำลังร่อนลง แต่เป็นรุ่น DC-8-61 ที่เป็นเครื่องบินขนสินค้า และก็ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานผิดพลาดของนักบิน ผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้มีอยู่ ๓ คน คือ Captain ที่เป็นผู้นำเครื่องร่อนลงและนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางด้าน "ซ้าย" ในขณะที่นักบินผู้ช่วยหรือ First Officer นั้นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางด้าน "ขวา" และมี Flight Engineer นั่งอยู่ทางด้านหลังนักบินทั้งสอง ที่ต้องเน้นว่าซ้ายหรือขวาก็เพราะในรายงานการสอบสวนนั้นระบุว่ามันส่งผลต่อการมองเห็นสภาพภายนอกเครื่องบินด้วย
   
รูปที่ ๒ ตำแหน่งที่เครื่องบินตกและเกิดเพลิงไหม้ จะอยู่ก่อนถึงรันเวย์เล็กน้อย โดยแนวเส้นทางการร่อนลงของเครื่องบินนั้นยังคงทำมุมขวางกับแนวรันเวย์อยู่

คิวบาเคยเป็นประเทศที่กลุ่มนายทุนจากสหรัฐอเมริกาเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ได้ง่าย จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติโดยฟิเดล คาสโตรในปีค.ศ. ๑๙๕๙ (พ.ศ. ๒๕๐๒) ที่ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกามาจนถึงปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งของสหรัฐในคิวบาที่ยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันคือฐานทัพเรือที่กวนตานาโม (และเป็นที่ตั้งของค่ายกักกันผู้ที่สหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายด้วย) และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นที่สนามบินของฐานทัพนี้เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคมปีค.ศ. ๑๙๙๓ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ก่อน ๕ โมงเย็นเล็กน้อย
  
ฐานทัพนี้อยู่ที่ปลายเกาะทางด้านตะวันออกโดยมีรั้วกั้นอยู่ทางด้านตะวันตกและทะเลอยู่ทางด้านตะวันออก แนวรันเวย์นั้นอยู่ในแนวออก-ตก โดยเฉียงขึ้นเหนือเล็กน้อย (รูปที่ ๑) ดังนั้นเส้นทางการร่อนลงที่ง่ายที่สุดก็คือบินมาจากทางด้านตะวันออก (เส้นทางปรกติ) อีกเส้นทางหนึ่งนั้นจะยากกว่าเพราะต้องบินขวางกับรันเวย์เพื่อไม่ให้ล้ำเข้าไปในน่านฟ้าประเทศคิวบา จากนั้นจึงทำการตีวงเลี้ยวขวา ณ ตำแหน่งที่เหมาะสมมุ่งสู่ทิศตะวันออกเพื่อร่อนลงรันเวย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินนั้นบินล้ำน่านฟ้าคิวบา ทางฐานทัพจึงได้มีการติดตั้งไฟสัญญาณ (ในเอกสารเรียกว่า Strobe Light) ไว้ที่ป้อมยามที่อยู่ริมรั้วติดชายหาด เพื่อให้นักบินได้รู้ว่าแนวเส้นพรมแดน (ทางทะเล) ของประเทศคิวบาอยู่ในแนวไหน จะได้ไม่บินล้ำน่านฟ้า สุดรันเวย์ด้านตะวันตกนั้นค่อนข้างจะอยู่ใกล้กับแนวรั้ว (ถ้าพิจารณาถึงระยะทางที่เครื่องบินต้องใช้เพื่อตีวงเลี้ยวสำเร็จ)
  
เรื่องมันเริ่มจากขณะที่เครื่องบินกำลังเข้าใกล้สนามบิน ตอนแรก First Officer ก็แจ้งว่าจะนำเครื่องลงตามเส้นทาง ๒๘ ซึ่งก็คือเส้นทางปรกติจากทางตะวันออกมุ่งสู่ตะวันตก แต่ไม่กี่นาทีถัดมา Captain ก็ถามขึ้นมาว่าจะลองนำเครื่องลงตามเส้นทาง ๑๐ ดูไหม (ในเทปบันทึกเสียงบันทึกเอาไว้ว่า "just for the heck of it") เพื่อที่จะได้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร เส้นทาง ๑๐ ก็คือเส้นทางที่ต้องนำเครื่องร่อนลงที่ปลายรันเวย์ด้านทิศตะวันตก First Officer ก็ติดต่อกลับไปยังสนามบินว่าจะนำเครื่องเข้าทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวา และ First Officer ก็ตอบกลับไปว่าจะนำเครื่องเข้าทางด้านขวา ซึ่งในทิศทางนี้ต้องนำเครื่องมุ่งมาจากทางใต้ขึ้นเหนือ และต้องระวังไม่ให้ล้ำเข้าไปในน่านฟ้าประเทศคิวบา จากนั้นจึงตีวงเลี้ยวขวาเพื่อร่อนลง ในขณะนี้เครื่องยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของหอเรดาห์ควบควบคุมการบิน (radar controller) ก่อนถูกส่งต่อไปยังหอควบคุมการบินของสนามบิน (tower controller) ซึ่งในเวลานั้นผู้ที่ประจำอยู่ก็บังเอิญเป็นพนักงานฝึกหัด
   
เรื่องเล่าวันนี้นำมาจากรายงานการสอบสวน Aircraft Accident Report ที่จัดทำโดย National Transportation Safety Board ประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่อง "Uncontrolled Collision with Terrain, American International Airways Flight 808, Douglas DC-8-61, N814CK, U.S. Naval Air Station, Guantanamo Bay, Cuba, August 18, 1993" หรือถ้าใครขี้เกียจอ่านก็ไปสามารถหาสารคดีทาง YouTube ดูก็ได้

ทีนี้เราลองมาลำดับดูเหตุการณ์กันว่าเกิดอะไรขึ้น

๑. นักบินชุดนี้ได้รับภารกิจให้นำสินค้าไปส่งที่ฐานทัพเรือที่ Guantanamo ประเทศคิวบา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ทำการบินต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง คือการนับเวลาตรงนี้เขาพิจารณาทั้งเวลาที่ขับเครื่องบิน และเวลาที่ตื่นแต่ไม่ได้ขับเครื่องบิน เพราะมันส่งผลต่อเวลาที่มีการนอนหลับจริงด้วย เครื่องบินขึ้นจากสนามบินต้นทางประมาณบ่ายสองโมงเศษ โดยจะใช้เวลาบินถึงสนามบินปลายทางประมาณ ๓ ชั่วโมง เที่ยวบินนี้ไม่ได้อยู่ในกำหนดการบินดั้งเดิมของนักบิน
  
การตรวจสอบสภาพการทำงานของนักบินก่อนเที่ยวบินสุดท้ายก็เพื่อดูว่านักบินทำงานในสภาพร่างกายและจิตใจที่มีความพร้อมหรือไม่ เพราะมันสามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจได้

๒. ในขณะที่เครื่องเข้าใกล้สนามบิน มีการติดต่อกับสถานีเรดาห์ควบคุมการบิน โดย First Officer แจ้งว่าจะขอนำเครื่องลงที่รันเวย์ ๒๘ ที่เป็นเส้นทางบินเข้าหาแนวรันเวย์โดยตรง
   
แต่ต่อมาไม่นาน Captain ก็เสนอว่าจะบินลงที่รันเวย์ ๑๐ ดูไหม (คือบินเข้าทางด้านข้างแล้วตีวงเลี้ยวเพื่อลงรันเวย์) ถ้าพลาดก็สามารถวนกลับมาลงที่รันเวย์ ๒๘ ได้ First Officer ก็เลยติดต่อกับทางสถานีเรดาห์ควบคุมการบินว่าจะขอเปลี่ยนรันเวย์ลง ทางสถานีเรดาห์ก็ถามกลับมาว่าจะเลือกลงจากทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวา ซึ่ง First Officer ก็ตอบกลับไปว่าขอบินลงจากทางด้านขวา
  
ทั้ง Captain และ First Officer ไม่เคยบินลงในทิศทางนี้มาก่อน เคยเห็นแต่วิดิโอแสดงแนวเส้นทางการบินลง การบินเข้าทางซ้ายหรือขวานี้ในรายงานการสอบสวนกล่าวว่าส่งผลต่อการร่อนลงด้วย เพราะในขณะนั้น Captainนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางด้านซ้ายและเป็นผู้บังคับเครื่องร่อนลง แต่เมื่อเครื่องทำการตีวงเลี้ยวขวาเพื่อร่อนลงนั้น คนที่นั่งทางด้านซ้ายจะมีทัศนวิสัยในการมองที่สู้คนที่นั่งทางด้านขวาไม่ได้ (คนด้านขวาจะมองเห็นพื้นดินและสนามบินได้ดีกว่า)

๓. ในขณะที่เครื่องกำลังเข้าใกล้สนามบิน การควบคุมถูกส่งต่อจากสถานีเรดาห์ไปยังหอบังคับการบินของสนามบิน ในจังหวะเวลานั้นพนักงานที่ทำหน้าที่ที่หอบังคับการบินเป็นพนักงานใหม่ มีการสอบถามกลับไปยังนักบินว่าต้องการนำเครื่องลงที่รันเวย์ไหน และได้รับคำยืนยันกลับมาว่าจะนำเครื่องลงที่รันเวย์ ๑๐ ทางหอบังคับการบินก็แจ้งกลับมาว่า น่านฟ้าประเทศคิวบาอยู่ห่างออกไป ๓/๔ ไมล์ทางตะวันตกของรันเวย์ นักบินจะต้องควบคุมเครื่องบินให้อยู่ในขอบเขตนี้ โดยมี "Strobe light" หรือไฟสัญญาณเป็นตัวแสดงขอบเขต
  
ไฟสัญญาณนี้เป็นไฟแรงสูงติดตั้งอยู่ที่ป้อมยามบริเวณริมรั้วกั้นระหว่างคิวบากับสนามบิน ในวันที่เกิดเหตุนั้นไฟสัญญาณดวงนี้ "เสีย" และอยู่ระหว่างการซ่อมแซม แต่ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการบินนั้นไม่รู้ว่าไฟดวงนี้เสีย

๔. เมื่อเครื่องเข้าใกล้สนามบิน Captain ก็ถามขึ้นมาว่าไฟสัญญาณอยู่ตรงไหน Flight Engineer ก็ตอบกลับมาว่า "อยู่ที่นั่น" แต่ Captain ก็ยังถามต่ออีกว่า "อยู่ตรงไหน" คราวนี้ First Officer ก็ตอบกลับมาว่า "อยู่ตรงนั้นไง อยู่ตรงนั้นไง" แต่ Captain ก็ยังมองไม่เห็นไฟสัญญาณอีก และถามกลับมาว่าอยู่ตรงไหนอีก เหตุการณ์ตรงนี้ลองดูลำดับการสนทนาที่ถอดจากเทปบันทึกเสียงห้องนักบินในรูปที่ ๓ จะเห็นว่าทั้ง First Officer และ Flight Engineer เริ่มไม่แน่ใจว่าจะนำเครื่องลงได้ แต่ตัว Captain ก็ยังยืนยันว่าสามารถนำเครื่องลงได้ถ้ามองเห็นไฟสัญญาณ
  
รูปที่ ๓ ข้อความที่ถอดจากเทปบันทึกเสียงในห้องนักบิน จะเห็นว่า Captain พยายามมองหาว่าไฟสัญญาณ (Strobe) อยู่ตรงไหน โดยทั้ง Flight Engineer และ First Officer ต่างก็บอกว่าเป็นเสียงเดียกันว่า "อยู่ที่นั่น" แต่ Captain ก็ยังถามต่ออีกว่าอยู่ตรงไหน First Officer ก็ยังยืนยันว่า ไอยู่ตรงนั้น" อีก ถ้าพิจารณาตามนี้จะเห็นว่ามี ๒ เสียงที่บอกว่าไฟสัญญาณอยู่ตรงไหน และมีเพียงเสียงเดียวที่มองไม่เห็นไฟสัญญาณ
   
ในขณะนั้นไฟสัญญาณ "เสีย" แต่พนักงานที่ทำหน้าที่อยู่ที่หอบังคับการบินขณะนั้นไม่รู้ จึงได้แจ้งนักบินไปว่าจะมีไฟสัญญาณเป็นตัวบอกขอบเขต เมื่อ Captain มองไม่เห็นไฟสัญญาณ (ซึ่งก็ควรจะมองไม่เห็นเพราะมันไม่มี) และถามหาว่าไฟสัญญาณอยู่ตรงไหน แต่ทั้ง First Officer และ Flight Engineer ต่างยืนยันว่า "มี" ไฟสัญญาณอยู่ตรงนั้น (แต่ความหมายของ "ตรงนั้น" ของ First Officer และ Flight Engineer ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตำแหน่งเดียวกันหรือเปล่า
  
บรรยากาศตรงนี้ลองพิจารณาดูนะครับว่า ถ้าคุณเป็น Captain และอีก ๒ เสียงในห้องนักบินนั้นเห็นต่างไปจากคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร และในทางกลับกันถ้าคุณเป็น First Officer หรือ Flight Engineer และคุณก็พบว่าอีกคนหนึ่งนั้นเห็นในสิ่งเดียวกับคุณ ในขณะที่ Captain ที่เป็นหัวหน้าคุณนั้นกลับมองไม่เห็น คุณจะรู้สึกอย่างไร
   
รายงานการสอบสวนนั้นไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นตัวทำให้ทั้ง First Officer และ Flight Engineer เข้าใจผิดว่าเป็นไฟสัญญาณ แต่ในสารคดีทางโทรทัศน์ที่มีการทำออกมาภายหลังกล่าวว่าเป็นแสงสะท้อน

๕. ขณะที่ Captain พยายามมองหาไฟสัญญาณ Flight Engineer ก็เตือนมาเป็นระยะถึงระดับความเร็วที่ลดต่ำลง แต่ดูเหมือนว่า Captain จะไม่สนใจคำเตือน โดยยังคงมองหาไฟสัญญาณอยู่ จนกระทั่งเกิดสัญญาณเตือนการเกิด "Stall" (การที่ความเร็วลดต่ำเกินไปจนไม่สามารถประคองเครื่องได้) และเครื่องบินตีวงเลี้ยงที่มีการเอียงตัวมาก ทำให้เครื่องบินเสียหลักตกกระแทกพื้น ส่วนหัวที่มีห้องนักบินอยู่นั้นแยกตัวออกมา ทำให้ทั้ง ๓ คนนั้นรอดชีวิตแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม
   
เส้นทางรันเวย์ ๑๐ นี้ถ้าเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก (เช่นเครื่องบินรบ) จะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใดนัก แต่สำหรับเครื่องบินขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากเช่นเครื่องบินบรรทุกสัมภาระในกรณีนี้ การตีวงเลี้ยวจะต้องทำในจังหวะที่ถูกต้อง โดยไม่เปิดช่องให้ทำผิดพลาดได้มากนัก

รายงานการสอบสวนนั้นเน้นไปที่ผลที่เกิดจากการที่นักบินได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นหลัก ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ ที่ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่จะลงที่รันเวย์ ๑๐ การมองเห็นที่เห็นแสงอื่นเป็นไฟสัญญาณ การที่ Captain พะวงอยู่กับการมองหาไฟสัญญาณจนไม่ได้ยินคำเตือนของ Flight Engineer ว่าความเร็วลดต่ำลง ฯลฯ ส่วนปัจจัยประกอบอื่น ๆ ก็ได้แก่การที่พนักงานที่หอควบคุมการบินไม่ทราบว่าไฟสัญญาณเสีย จึงได้แจ้งให้นักบินทราบว่าจะมีไฟสัญญาณเป็นตัวสังเกต นักบินจึงมองหาแต่ไฟสัญญาณเป็นจุดสังเกตโดยไม่พิจารณาจุดสังเกตอื่น
   
จะว่าไปแล้วความผิดพลาดในการทำงานที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเครื่องบิน การทำงานทั่วไปก็เช่นกัน เช่นพนักงานขับรถโดยสารที่ต้องขับรถทางไกลต่อเนื่อง หรือต้องทำรอบวิ่งด้วยเหตุผลใดก็ตาม หรือพนักงานที่ทำงานจนเหน็ดเหนื่อยแล้วต้องขับรถกลับบ้านอีก ผลที่ตามมาก็คืออุบัติเหตุเนื่องจากหลับใน แต่เรามักจะโทษว่าเป็นความผิดของผู้ขับรถที่รู้ตัวว่าง่วงและเหนื่อยแล้วยังมาขับรถอีก โดยที่ไม่พิจารณาว่าทำไมเขาต้องฝืนมาขับรถทั้ง ๆ ที่ร่างกายมีสภาพไม่พร้อม ในกรณีของพนักงานขับรถที่เป็นลูกจ้างนั้น เขามีสิทธิที่จะปฏิเสธได้หรือไม่ถ้าเขาเห็นว่าเขาทำงานต่อเนื่องติดต่อกันโดยมีการพักผ่อนไม่เพียงพอ (และถ้าเขาปฏิเสธ จะเกิดอะไรขึ้น มีความกดดันเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมการทำงานในหน่วยงานนั้นหรือไม่ แบบทำนองว่าอนุญาตให้พนักงานลาพักร้อนหรือลาคลอดได้ แต่ถ้าลาเต็มเวลาเมื่อใดก็จะถูกมองอย่างแปลก ๆ จากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานด้วยกัน การที่ต้องนั่งทำงานดึก ๆ เลยเวลาเลิกงานก็เช่นกัน) หรือทางเจ้าของกิจการนั้นมีการตรวจสอบหรือไม่ว่าเขามีความพร้อมสำหรับการทำงาน หรือถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง

ไม่มีความคิดเห็น: