"สมมุตินะครับว่า
มีนิสิตปริญญาเอกรายหนึ่งที่ทำวิจัยโดยต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงพวกนี้ในการทำวิจัย
และเขาทำวิจัยไปแล้วประมาณ
80%
เหลืออีกแค่
20%
ก็จะสำเร็จการศึกษาแล้ว
แล้วบังเอิญประเทศของเขาถูกประกาศให้เป็นประเทศที่ต้องเฝ้าระวังขึ้นมา
ทางมหาวิทยาลัยจะดำเนินการอย่างไร"
ผมถามคำถามนี้
(ผ่านล่าม)
กับทางอาจารย์ของมหาวิทยาลัย
Tohoku
ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
(ที่เป็น
Dual-Use
Item) ของนิสิตต่างชาติที่มาเรียนที่สถาบันดังกล่าว
ไปเมื่อช่วงบ่ายแก่ ๆ
ของวันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม
๒๕๖๒ ที่ผ่านมา
ซึ่งหลังจากที่เขาปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง
เขาก็ตอบกลับมาทำนองว่า
(ผ่านล่าม)
"กรณีของการติดแบล็กลิสต์
(black
list) เป็นรายมหาวิทยาลัยมันยังพอเป็นไปได้
แต่การติดแบล็กลิสต์เป็นประเทศแบบนี้
ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้"
พอวันรุ่งขึ้น
ประเทศญี่ปุ่นลดฐานะของเกาหลีใต้มาเป็นระดับประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง
รูปที่
๑
แผนผังความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าสองทางกับระบบอาวุธทำลายล้างสูง
(เขียนขึ้นตามความเข้าใจของผม)
เมื่อราว
ๆ ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ผมได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
เชิญให้ร่วมเดินทางกับคณะทำงานที่จะเดินทางไป
workshop
ยังประเทศญี่ปุ่น
ด้วยทุนของสหรัฐอเมริกา
เกี่ยวกับเรื่องสินค้าสองทาง
แม้ว่าจะยังไม่ทราบรายละเอียดว่าจะให้ไปทำอะไร
แต่เห็นว่าเป็นการเดินทางเพียงแค่
๔-๕
วัน และยังอยู่ในช่วงปิดเทอม
ก็เลยตอบรับไปก่อน
พอได้เห็นกำหนดการว่าเป็นการเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ จัดว่าเป็นสถาบันมีชื่อเสียงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แบบย้ายสถานที่กันวันต่อวัน
โดยไม่มีรายละเอียดว่าจะให้ไปทำอะไร
ก็เลยยิ่งงงไปใหญ่
แต่พอตัวแทนจากแต่ละสาขาวิชาได้มาประชุมร่วมกันกับทางกรมการค้าต่างประเทศ
ก็เลย "คาดเดา"
กันว่าคงจะให้ไปศึกษาดูงานการออกมาตรการควบคุมการถ่ายทอดเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
ให้กับนักวิจัยต่างประเทศ
ที่ต้องใช้คำว่า
"คาดเดา"
ก็เพราะเป็นการคาดเดากันจริง
ๆ เพราะไม่มีรายละเอียดเลยว่าแต่ละสถาบันจะบรรยายเรื่องอะไร
กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่คาดเดาไว้นั้นถูกหรือผิด
ก็ตอนที่ไปถึงที่โน่นแล้ว
และก็โชคดีที่คาดเดาไว้ถูกต้อง
จึงได้มีการคิดคำถามเอาไว้ล่วงหน้าบ้างว่า
จะถามอะไรในประเด็นไหนดี
แต่ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจก่อนว่า
"มหาวิทยาลัย"
หรือ
"สถาบันวิจัย"
นั้น
เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าสองทางอย่างไร
ตรงนี้ขอให้ลองดูแผนผังในรูปที่
๑ ประกอบ (ที่เขียนขึ้นตามความเข้าใจของผมเอง)
สมมุติว่ามีประเทศหนึ่งต้องการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
เราลองมาพิจารณากันว่าเขาต้องจัดหาอะไรบ้าง
สิ่งแรก ๆ ที่เขาต้องจัดหาคือ
สารตั้งต้น (เช่นพวกเคมีภัณฑ์ต่าง
ๆ)
และชิ้นส่วนประกอบ
(เช่น
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง
ๆ)
และต้องมีองค์ความรู้ในการสร้าง
และอาจรวมไปถึงซอร์ฟแวร์จำลองกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการออกแบบโรงงาน
หรือจำลองการทำงานของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตขึ้น
จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการผลิต
ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีการจัดหา
เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต
อุปกรณ์วัดคุม ซอร์แวร์ควบคุมการผลิต
อุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ
สำหรับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ได้
ฯลฯ
และสุดท้ายคือระบบนำส่ง
ที่จะนำส่งอาวุธที่ผลิตได้ไปยังเป้าหมาย
ซึ่งตรงนี้จะครอบคลุมทั้งตัวโครงสร้างของระบบนำส่ง
(เช่นตัวจรวด)
และระบบนำวิถีระบบนำส่ง
(คือตัวอุปกรณ์นำร่องและซอร์ฟแวร์นำร่อง)
บทบาทของตัวมหาวิทยาลัยนั้นคงไม่ได้อยู่ที่ส่วนที่เป็นกระบวนการผลิต
แต่อยู่ตรงองค์ความรู้และซอร์ฟแวร์ต่าง
ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งทางสันติและทางทหาร
เช่นเราอาจอยากจะออกแบบโดรน
(หรืออากาศยานไร้คนขับ)
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรบนท้องถนน
ให้สามารถบินส่งสินค้าจากร้านค้าไปยังลูกค้าได้โดยอิงจากพิกัด
GPS
บนแผนที่
แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีนำร่องนี้ก็สามารถใช้ในการนำส่งหัวรบจากสถานที่หนึ่งไปยังเป้าหมายได้เช่นกัน
ความแตกต่างกันอาจจะอยู่ตรงที่ความเร็วของอุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวลผลเส้นทาง
การทนต่อแรงจีที่เพิ่มขึ้นกระทันหัน
เพราะโดรนกับจรวดนั้นเดินทางด้วยความเร็วและความเร่งที่แตกต่างกันมาก
ส่วนตัวซอร์ฟแวร์ที่ใช้ในการควบคุมจะต่างกันหรือไม่นั้น
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่คิดว่ามันน่าจะทำงานโดยอิงบนหลักการพื้นฐานเดียวกัน
หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลชีพทางการแพทย์
ที่ต้องมีการใช้อุปกรณ์ห้องปฏิบัติการที่สามารถป้องกันเชื้อจุลชีพให้กับผู้ทำงานได้
และอุปกรณ์ดังกล่าวก็สามารถนำไปใช้ในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเชื้อโรคได้เช่นกัน
จึงทำให้มีอุปกรณ์บางชิ้นมีชื่อไปปรากฏในรายการสินค้าที่สามารถใช้ได้สองทาง
กลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ใช้ได้สองทางนี้แบ่งออกได้เป็น
๓ กลุ่ม กลุ่มแรกก็คือประเทศที่มีรายชื่อยู่ใน
White
list
คือกลุ่มประเทศที่มีการออกมาตรการควบคุมการส่งต่อสินค้าที่ใช้ได้สองทาง
และมีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง
และมักจะเป็นประเทศที่มีการพัฒนาสินค้าที่ใช้ได้สองทางขึ้นเองด้วย
การส่งผ่านสินค้าที่ใช้ได้สองทางในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็เรียกว่าส่งต่อกันให้ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบตัวผู้รับให้วุ่นวาย
กลุ่มที่สองคือประเทศที่มีรายชื่ออยู่ใน
Black
list ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศ
(เช่น
เกาหลีเหนือ อิหร่าน)
กลุ่มประเทศเหล่านี้เรียกได้ว่าห้ามไม่ให้ประเทศในกลุ่ม
White
list นั้นส่งสินค้าสองทางไปยังประเทศกลุ่มนี้
กลุ่มที่สามคือกลุ่มประเทศที่ไม่ได้อยู่ใน
White
list และ
Black
list ประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มนี้
เวลาที่ประเทศในกลุ่ม White
list จะส่งสินค้าที่ใช้ได้สองทางมายังประเทศกลุ่มที่สามนี้
ก็ต้องมีการตรวจสอบตัวผู้รับสินค้าเหมือนกันว่าไว้วางใจได้แค่ไหนว่าจะไม่นำไปใช้ในการผลิตอาวุธ
ดังนั้นจึงมีรายการที่ว่าตัวแทนในประเทศไทยสามารถประมูลงานได้
แต่พอจะขอนำเข้าสินค้าจากประเทศผู้ผลิตที่อยู่ในกลุ่ม
White
list เขาจะขอข้อมูลผู้ซื้อเพิ่มเติมเอาไปประกอบการพิจารณา
ว่าควรขายให้หรือไม่
ทำให้ผู้ซื้อต้องเสียเวลาในการรอสินค้า
(ที่อาจจะนานหลายเดือนดังเช่นผู้นำเข้าของไทยรายหนึ่งเล่าให้ฟัง)
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้น
การมีมาตรการป้องกันการนำไปใช้หรือส่งต่อไปยังผู้รับที่ไม่เหมาะสม
จะช่วยให้กลุ่มประเทศที่เป็นเจ้าของสินค้าที่ใช้ได้สองทางสามารถเข้ามาลงทุนในภาคการผลิต
(ที่ต้องใช้สินค้าที่ใช้ได้สองทางที่อาจเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต
หรือเป็นชิ้นส่วนที่นำเข้ามาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป)
ในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น
แต่ทั้งนี้ทางภาคธุรกิจเองก็ต้องพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
เพราะถ้ามีการจงใจหลีกเลี่ยงกฎ
ก็อาจถูกขึ้นบัญชีดำได้ง่าย
ซึ่งอาจไม่เป็นเพียงแค่บริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม
แต่อาจเป็นทั้งประเทศก็ได้
อุปกรณ์สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยหลายชนิดก็จัดเป็นสินค้าสองทาง
เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานกับเชื้อจุลชีพต่าง
ๆ อุปกรณ์ที่ใช้ในงานวิจัยด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร
ซอร์ฟแวร์บางชนิด เป็นต้น
แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะไม่ได้ทำการผลิตสินค้า
แต่ประเทศผู้ขายสินค้าสองทางเองยังต้องการความมั่นใจว่า
สิ่งของที่เขาขายให้มหาวิทยาลัยของไทย
หรืองานวิจัยที่จะทำร่วมกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยของไทยนั้นจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
(คือเอาไปผลิตอาวุธทำลายล้างสูง)
และจะไม่ถูกส่งต่อให้กับผู้อื่นที่ไม่เหมาะสม
(เช่นนักวิจัยหรือนิสิตโท-เอกที่มาจากประเทศที่อยู่ในกลุ่ม
Black
list) ไม่ว่าจะด้วยการสอนหรือการทำวิจัยร่วม
ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทางมหาวิทยาลัยของไทยควรต้องมีมาตรการรองรับและมีการปฏิบัติอย่างจริงจัง
เพื่อให้ทางกลุ่มประเทศผู้ส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทางนั้นสามารถส่งมอบเทคโนโลยีขั้นสูงนั้นให้ไทยโดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
พูดง่าย
ๆ
ก็คือต้องมีมาตรการทำให้เขามั่นใจว่ามหาวิทยาลัยของไทยจะไม่ถูกใช้เป็นทางผ่าน
จากการที่ได้ไปรับทราบวิธีปฏิบัติของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น
๓ มหาวิทยาลัยด้วยกันคือ
Tuskuba,
Tohoku และ
Hokkaido
ทำให้ทราบว่าเวลาที่มีผู้สมัครเรียนระดับปริญญาโท-เอก
หรือ post
doc
หรือการลงนามในการทำวิจัยร่วมกับสถาบันอื่นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศ
White
list เช่นประเทศไทย
จะมีการตรวจสอบใบสมัครของผู้สมัครว่ามีความเกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธหรือไม่
(เช่นดูจากสถาบันการศึกษาเดิมที่จบมา
งานที่ทำก่อนหน้า
ผู้ให้ทุนค่าเล่าเรียน
งานที่จะกลับไปทำ)
ถ้าพบว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง
หรือสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
แม้ว่าจะรับเข้าศึกษา
แต่ก็จะไม่ให้ทำงานหรือมีโอกาสได้เรียนความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถนำไปใช้ได้สองทาง
ซึ่งตรงนี้มันมีประเด็นรายละเอียดบางอย่างที่มันไม่มีคำตอบหรือไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
(จะเรียกว่าเป็นกรณีสีเทาก็ได้อย่างเช่นกรณีที่ทางมหาวิทยาลัย
Tohoku
ยกตัวอย่างให้ฟัง)
ก็เลยคิดว่าจะแยกออกเป็นอีกตอนหนึ่งต่างหาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น