วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563

การเก็บตัวอย่างแก๊ส/ของเหลวจากระบบความดันสูง (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๑๐๐) MO Memoir : Sunday 1 March 2563

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้มีต้นเรื่องมาจากอุบัติเหตุเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นกับนิสิตกลุ่มหนึ่ง (ที่ไม่ใช่พวกเรา) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อนิสิตพยายามเก็บแก๊สตัวอย่างด้วยการใช้ถุงเก็บแก๊ส (ทำจากพลาสติก) จาก reactor ที่ทำงานที่ความดันสูง แล้วแก๊สมันไหลเข้าเร็วจนถุงเก็บแก๊สแตกและส่งเสียงเหมือนลูกโป่งแตก
  
ถุงเก็บแก๊สนั้นมันมีด้วยกันหลายรูปแบบ รูปที่ ๑ ก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่ง วัสุดที่ใช้ทำก็เป็นพอลิเมอร์ชนิดต่าง ๆ มีทั้งแบบที่ใสและไม่ใส ขึ้นอยู่กับว่าเก็บแก๊สอะไร บางแบบก็มีวาล์วตัวเดียว บางแบบก็มีวาล์วมากกว่าหนึ่งตัว โดยหลักก็คือเดิมมันเป็นถุงแบนแฟบ ๆ พออัดแก๊สเข้าไปมันก็จะพองออก และมีส่วนที่เป็นจุกยางเป็นที่สำหรับใช้ syringe ดูดแก๊สมาวิเคราะห์ ข้อดีของถุงพลาสติกแบบนี้คือมันราคาถูกและมีน้ำหนักเบา แต่ต้องระวั้งเรื่องการรับความดัน
  
รูปที่ ๑ ตัวอย่างถุงพลาสติกสำหรับเก็บแก๊สตัวอย่าง วัสดุที่ใช้ทำถุงนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นพลาสติกใสเหมือนในรูป (รูปจากhttps://www.alibaba.com)

ถ้าเป็นระบบที่มีความดันสูง (หรืออุณหภูมิสูงร่วม) การใช้ bomb (ดังตัวอย่างในรูปที่ ๒) โลหะจะดีว่า แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่า bomb นั้นแข็งแรงพอที่จะทนความดันของระบบที่ทำการเก็บตัวอย่างได้ การใช้ bomb นั้นสามารถใช้เก็บได้ทั้งตัวอย่างที่เป็นของเหลวและแก๊ส
   
รูปที่ ๒ ตัวอย่าง cylinder bomb สำหรับเก็บตัวอย่าง (ที่อาจเป็นของเหลวหรือแก๊ส (รูปจากhttps://www.alibaba.com) การใช้ bomb แบบนี้อาจต่อเข้ากับระบบที่ต้องการเก็บตัวอย่างได้โดยตรง

แต่ไม่ว่าจะใช้อะไรเก็บตัวอย่างก็ตาม สิ่งสำคัญคือระบบท่อ (จะเป็น piping หรือ tubing ก็ตามแต่) สำหรับต่ออุปกรณ์เก็บตัวอย่าง ควรจะได้รับการออกแบบที่ดี และมีขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างนั้นต้องรับความดันที่สูงเกินไป หรือเกิดการรั่วไหลได้มากขณะทำการเก็บตัวอย่าง
   
และเทคนิคหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ก็คือ การถ่ายสารที่ต้องการเก็บเข้าสู่ vessel ขนาดเล็กก่อน จากนั้นจึงค่อยเก็บตัวอย่างจาก vessel ขนาดเล็กนั้น ไม่ทำการเก็บจากระบบที่มีความดันสูงโดยตรง ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๓ ข้างล่าง
   
รูปที่ ๓ ตัวอย่างวิธีการเก็บสารตัวอย่างจากระบบที่ความดันสูง

ถ้าระบบความดันสูงนั้นมีขนาดใหญ่ ก็อาจมีการติดตั้งvessel ขนาดเล็ก (ที่บางทีอาจเรียกว่า sampling pot) เพื่อไว้เก็บตัวอย่าง (รูปที่ ๓ ซ้าย) ตัว sampling pot เองก็อาจมีการติดตั้งระบบ gas purging, ระบบระบายแก๊สทิ้ง, ระบบระบายของเหลวทิ้ง เพื่อไล่อากาศหรือสิ่งที่ตกค้างอยู่ในตัว sampling pot ออกไป และระบายสารส่วนเกินนอกเหนือไปจากตัวอย่างที่ต้องการเก็บทิ้งไป หรือบางทีก็ใช้สารที่อยู่ในระบบนั่นแหละเป็นตัวไล่สิ่งตกค้าง (ถ้าระบบความดันสูงมีขนาดใหญ่หรือเป็นระบบที่ทำงานต่อเนื่อง มันก็ไม่มีปัญหาอะไร)

สำหรับระดับห้องปฏิบัติการที่ไม่ได้เก็บตัวอย่างในปริมาณมากนั้น การใช้ชิ้นส่วนท่อสั้น ๆ หรือขดเป็นวงให้ได้ปริมาตรที่ต้องการก็อาจเพียงพอ แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้การเติมเต็มเพียงครั้งเดียวเพื่อให้ได้ปริมาตรตามต้องการ อาจใช้การเติมหลายครั้งก็ได้เพื่อป้องกันไม่ให้ความดันภายในอุปกรณ์ที่ใช้เก็บตัวอย่าง (เช่นถุงเก็บแก๊ส) เพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป โดยเฉพาะกรณีของการใช้พวก ball valve เป็นวาล์วระบบเก็บตัวอย่าง การใช้ globe valve หรือ ball valve + needle valve จะดีกว่าเพราะสามารถค่อย ๆ เปิดให้ตัวอย่างในท่อเก็บสารนั้นระบายลงสู่อุปกรณ์รองรับได้ (โดยธรรมชาติของ needle valve มันปิดได้ไม่สนิท จึงจำเป็นต้องมี ball valve เป็นตัวปิดเพื่อป้องกันการรั่วไหล)
  
การเก็บตัวอย่างนั้นเริ่มจากการที่วาวล์ทุกตัวในรูปที่ ๓ ปิดก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดวาล์วด้านความดันสูงให้สารที่ต้องการเก็บนั้นไหลเข้าสู่ถังรับ/ท่อรับสารตัวอย่าง จากนั้นก็ปิดวาล์วด้านท่อความดันสูง (ถ้าต้องการ purge สิ่งตกค้างเดิมที่อยู่ในถังรับ/ท่อรับสารตัวอย่างก็ต้องทำการระบายสารที่รับเข้ามาในถังรับ/ท่อรับทิ้งไปก่อน คือใช้ตัวอย่างที่จะเก็บนั้นไล่สารตกค้างอยู่) แล้วจึงค่อยเปิดวาล์วถ่ายสารในถังรับ/ท่อรับเข้าสู่ภาชนะเก็บสาร 
 
วาล์วที่ใช้ในระดับอุตสาหกรรมนั้นบางทีก็จะใช้วาวล์ที่มีการติดตั้งด้ามหมุนเปิด-ปิดชนิดที่เรียกว่า spring return handle หรือ deadman handle กล่าวคือตัวด้ามจะมีสปริงดันให้ก้านหมุนเปิด-ปิดนั้นค้างอยู่ที่ตำแหน่งปิดตลอดเวลา ถ้าจะเปิดก็ต้องออกแรงหมุนก้านนั้นต้านแรงสปริง แต่ถ้าปล่อยมือออกเมื่อใดก้านก็จะหมุนกลับคืนตำแหน่งปิดได้ด้วยตัวเอง การออกแบบเช่นนี้ก็ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย กล่าวคือไม่ว่าเกิดเหตุใด ๆ ก็ตามที่ทำให้ผู้เก็บตัวอย่างนั้นต้องปล่อยมือออกจากตัวก้านหมุน วาล์วก็จะปิดตัวเอง เป็นการป้องกันการรั่วไหล

บ่ายวันศุกร์มีนิสิตปริญญาโทปี ๑ คนหนึ่งมาปรึกษาผมเรื่องการออกแบบอุปกรณ์ของเขา คือเขามีปัญหาคุยกับช่างที่รับสร้างอุปกรณ์แล้วโดนช่างต่อว่ากลับมาทำนองว่า คุณก็เป็นช่าง ทำไมจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบาย ผมก็บอกนิสิตรายนั้นกลับไปว่าผมเข้าใจว่าทำไมคุณจึงไม่เข้าใจสิ่งที่ช่างคนนั้นเขาบอก 
   
สาเหตุที่ทำให้นิสิตผู้นั้นไม่เข้าใจก็เป็นเพราะวิชาที่สอนเนื้อหาเหล่านี้ถูกนำออกไปจากหลักสูตรที่แต่เดิมนั้นเรียนกันตอนปี ๑ ที่มีเรียนกันทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทั้งนี้อาจเป็นว่าเป็นเพราะมีการมองว่าเป็นวิชาพื้นฐานที่เก่า ไม่ทันสมัย และการสอนภาคปฏิบัตินั้นมันเหนื่อยและร้อนและสกปรก ยิ่งเป็นยุคที่ผู้เรียนและผู้สอน (โดยเฉพาะอาจารย์ใหม่ ๆ) ที่เหนื่อยนิดร้อนหน่อยก็ไม่ได้ ก็เลยทำให้มันหายไปจากหลักสูตรพื้นฐาน แต่พอจบป.ตรีแล้วต้องมาสร้างอุปกรณ์ทำวิจัยขึ้นเอง หรือต้องลงทำงานภาคสนามเอง ก็เลยมีปัญหาว่าไม่รู้จักอุปกรณ์ หรืออุปกรณ์นั้นใช้อย่างใด
  
แต่ที่สำคัญก็คือ อาจารย์นั้นควรเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ลงมือปฏิบัติในการทำวิจัยมากกว่านิสิต ดังนั้นการออกแบบอุปกรณ์หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานต่าง ๆ อาจารย์ที่ปรึกษาควรต้องให้ความเห็นชอบด้วย เพื่อให้การทำงานนั้นมีความปลอดภัย โดยไม่ควรปล่อยให้นิสิตควานหาวิธีการกันเอง

ไม่มีความคิดเห็น: