วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผมรู้จักอาจารย์จุฬาคนอื่นที่ดีกว่านี้นะ สนไหม จะแนะนำให้รู้จัก (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๑๘) MO Memoir : Monday 28 November 2559

เพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังการสอบซีเนียร์โปรเจค
นิสิตหญิงปี ๔ คนหนึ่งของภาควิชาก็ทำเซอร์ไพรส์ทั้งเพื่อนฝูงและอาจารย์ทั้งภาควิชา
ด้วยการประกาศข่าวงานแต่งงานของเธอที่จะจัดขึ้นในปลายปีนั้น กับ

อาจารย์หนุ่มจุฬา ดีกรีดอกเตอร์จากเมืองนอก


--------------------


เขาย้ายมาจากภาควิชาอื่นครับ แม้ว่าจะเป็นรุ่นพี่ ก็เลยต้องมาเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานกับน้อง ๆ ปี ๒ ใหม่
เจอหน้ากันครั้งแรกตอนเรียนแลปเคมี ผมเกือบจะไล่ออกนอกห้องแลปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า

"เป็นนิสิตชาย ทำไมแต่งเครื่องแบบนิสิตหญิงมาเรียน"

ก็แหม หน้าตาของรายนี้เนี่ย ต้องขอยืมข้อความของโรสลาเลนที่เขียนไว้ในนิยายเรื่อง "รอยอินทร์" มาดัดแปลงหน่อยว่า "ถ้าตัดแต่หัวมาตั้ง ใครเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าเป็นผู้ชาย"
ไม่เหมือนตอนนี้นะครับ ถ้าไม่เห็นบัตรนิสิตหรือบัตรประชาชน ก็บอกไม่ได้หรอกครับว่าเป็นชายหรือหญิง


--------------------



ตอนนี้ถ้าจะให้บรรยายลักษณะของเขาที่ผมจำได้หรือครับ ก็เห็นแต่ภาพนิสิตหญิงที่ไม่มีการแต่งหน้าใด ๆ ดูเหมือนจะมีไรหนวดนิด ๆ ด้วย ไว้ผมบ๊อบสั้นฟู ๆ ยุ่ง ๆ (ไม่มีการติดกิ๊ฟ คาดผม หรือรัดผม ใด ๆ ทั้งสิ้น ดูไม่ออกเหมือนกันว่าเคยหวีบ้างหรือเปล่า) ใส่เสื้อนิสิตหลวม ๆ กระโปรงจีบรอบตัวยาวคลุมเข่า สวมรองเท้าผ้าใบ เวลาเดินก็เดินเร็ว ๆ แบบจ้ำเอา ๆ
กิริยาท่าทางแคล่วคล่องครับ พูดเก่ง ท่าทางเหมือนกับไม่กลัวใคร (คือมีความกล้าหาญนั่นเอง) เป็นที่รู้จักของอาจารย์ทั้งภาควิชา
และสิ่งสำคัญที่เจ้าตัวยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานก็คือ "งานบ้านไม่เป็นสักอย่าง"

แต่เรื่องทำอาหารไม่เป็นเนี่ยไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าตัวหรอกครับ นิสิตปี ๒ เกือบทั้งภาคก็เป็นเช่นนั้น
เพราะตอนนั้นเรายังมีการทำแลปทอดไข่เจียวในวิชาเคมีอินทรีย์ เพื่อพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า "ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู" จริงหรือเท็จ ก็เห็นเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ทำไข่เจียวเป็น



--------------------


ผมเคยเอ่ยปาก "ชม" เขาว่า คนอย่างคุณเนี่ย ใครได้ไปเป็นคู่ชีวิตเดินอยู่เคียงข้าง หรือเป็นเพื่อนนั่งเคียงข้างเวลากินข้าวด้วย ถือว่าผู้นั้นโชคดีมาก
ปรากฏว่าเขาตอบสวนผมกลับมาว่า 
 
"อาจารย์กำลังจะบอกว่า ถ้าเขาเดินสวนกับหนู พอเห็นหน้าหนูก็คงจะกลับหลังหันวิ่งหนี หรือไม่ก็ถ้านั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน จะกินข้าวไม่ลงใช่ไหมคะ"

เออ .... รู้ทันซะด้วย



--------------------



ในพักหลัง ๆ นี้ภาควิชาเราจะสอบการนำเสนอซีเนียร์โปรเจคเป็นวิชาสุดท้ายครับ และมักจะจัดกันในช่วงวันสุดท้ายของการส่งเกรด เรียกว่าสอบเสร็จกันในบ่ายวันนั้นและส่งเกรดกันก่อนเส้นตายในเย็นวันนั้นเลย

วันรุ่งขึ้น (ถ้าจำไม่ผิด) ก็มีโทรศัพท์จากเขาโทรมาหาผม ถามว่าผมอยู่ที่ไหน มีเรื่องอยากจะขอพบ
ผมก็ตอบกลับไปว่าตอนนี้อยู่ที่แลป (ตึก ๕ ชั้น ๕) แวะมาหาได้เลย สักพักเขาก็แวะมาหาครับ
ตอนนั้นผมนั่งคุยอยู่กับนิสิตบัณฑิตศึกษา อยู่ตรงหัวมุมทางแยกที่แยกออกมากจากทางเดินหลัก
พอเขาโผล่พ้นหัวมุมมาเห็นผม เขาก็บอกกับผมว่า "อาจารย์ หนูมีอะไรจะบอก หนูจะแต่งงานแล้วนะ ปลายปีนี้ นี่แฟนหนู" แล้วเขาก็ชี้ให้ดูผู้ชายที่เดินตามมาข้างหลัง แล้วก็กล่าวต่อว่า

"นี่หนูบอกอาจารย์เป็นคนแรกเลยนะ อยากจะเห็นว่าอาจารย์จะทำหน้าอย่างไร เห็นอาจารย์ชอบว่าหนูนักว่าจะหาแฟนได้เหรอ"


--------------------



และผมทำหน้าอย่างไรเหรอครับ ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะไม่มีกระจกส่องดูหน้าตัวเองในตอนนั้น
แต่ที่จำได้แน่ ๆ คือ จะเรียกว่าช็อคแบบคาดไม่ถึงก็ได้ครับ เมื่อรับรู้ว่า ... ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเขาบอกว่าเขาจะแต่งงานนะครับ แต่เป็น "ใครคือว่าที่เจ้าบ่าว" ต่างหาก 
  
เพราะบังเอิญผมก็รู้จักกับ "ว่าที่เจ้าบ่าว" เขาซะด้วย

และทันทีที่ข่าวนี้ทราบไปถึงหูอาจารย์ในภาควิชา ปฏิบัติการ Mission Impossible (ที่ไม่ประสบความสำเร็จสมชื่อ) ของอาจารย์ในภาควิชาจึงบังเกิดขึ้น เพื่อหาทางให้อาจารย์หนุ่มคนดังกล่าวเปลี่ยนใจให้ได้


--------------------



ผมไปเรียนต่อโท-เอกที่อังกฤษตอนปีพ.ศ. ๒๕๓๒ ปี ๒๕๓๓ ก็เริ่มมีนักเรียนทุนกระทรวงวิทย์ที่คัดเอานักเรียนม. ๖ ไปเรียนต่อ ตรี-เอก เพื่อกลับมาทำงานใช้ทุน
หนึ่งในนักเรียนเหล่านั้นที่ผมได้รู้จักก็คือว่าที่เจ้าบ่าวผู้นั้น ช่วงนั้นเป็นช่วงปีสุดท้ายที่ผมเรียน กำลังจะสำเร็จการศึกษาและกลับมาทำงานใช้ทุน ว่าที่เจ้าบ่าวผู้นั้นเพิ่งจะเริ่มเรียนในระดับปริญญาตรี (คนละสาขาวิชากับผม)
น้องเขาเป็นคนสุภาพกิริยามารยาทเรียบร้อยครับ มาเจอกันอีกทีตอนที่เขาเรียนจบกลับมาทำงานใช้ทุน ก็ยังเห็นเขาเป็นคนสุภาพมีกิริยามารยาทเรียบร้อยเหมือนเดิมครับ


--------------------



บางคนเขาบอกว่า คนที่เป็นคู่ชีวิตกันควรที่จะต้องมีอะไรต่อมิอะไรที่เหมือนกัน เมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกัน จะได้ไม่ขัดแย้งกัน
แต่บางคนก็บอกว่า คนที่เป็นคู่ชีวิตกัน ควรที่จะต้องมีอะไรที่มันแตกต่างกัน ต่างคนจะได้เติมเต็มส่วนที่อีกคนหนึ่งขาดหายไป
คู่นี้ก็น่าจะเข้าข่ายกรณีหลังมั้งครับ



--------------------



ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับที่ช็อคกับข่าวดังกล่าว อาจารย์ทั้งภาคพอทราบข่าวก็ออกอาการเดียวกัน
(อาจารย์ผู้หญิงคงตกใจด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมสเป็กอย่างนั้นจึงหาแฟนหนุ่มหล่อนักเรียนนอกได้ ส่วนฉันไม่มีใครมาจีบสักที ส่วนอาจารย์ผู้ชายก็คงจะตกใจด้วยเหตุผลที่ว่า "ไสยศาสตร์มีจริง" ข้อความในย่อหน้านี้ผมคิดเองเออเองนะครับ)
หลังจากข่าวงานแต่งงานเผยแพร่ออกไป ได้ยินมาว่าอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถึงกับเชื้อเชิญ "ว่าที่เจ้าบ่าว" ไปรับประทานข้าวกลางวันด้วยพร้อมกับเอ่ยปากว่า 
 
"ผมรู้จักอาจารย์จุฬาคนอื่นที่ดีกว่านี้นะ สนใจไหม จะแนะนำให้รู้จัก"

ข้อมูลตรงส่วนนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ได้ยินมาจากอาจารย์รุ่นน้องอีกที
แต่ที่แน่ ๆ คือ ความพยายามใด ๆ ที่จะเปลี่ยนใจ "ว่าที่เจ้าบ่าว" นั้น ไม่ประสบความสำเร็จ



--------------------



ผมเชื่อว่าเราแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ดีงามอยู่ในตัวเอง เพึยงแต่ว่าตัวเองจะรู้หรือไม่ หรือเลือกที่จะไม่แสดงออกให้คนอื่นเห็น
หรือเลือกที่จะแสดงออกให้กับใครเพียงบางคนได้เห็น หรือเฉพาะกับคนที่ตาถึงเท่านั้นที่มองเห็น
สำหรับคู่นี้ผมว่าน่าจะเป็นในสองกรณีหลังครับ :) :) :)
ก็ขนาดฝ่ายหญิงเล่าให้ผมฟังเองว่า ตอนฝ่ายชายไปสู่ขอ ทางบ้านฝ่ายหญิงก็บอกแล้วนะครับว่ารายนี้ทำงานบ้านอะไรไม่เป็นสักอย่าง และงานนี้ไม่รับคืน แต่ทางฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวก็ยังยืนยันความเชื่อมั่นในตัวเอง


--------------------


ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นเนี่ย ไม่ได้เป็นการเอาความลับอะไรมาเปิดเผยนะครับ และก็ไม่ได้เป็นการเล่าครั้งแรกด้วย แต่เป็นการรวบรวมเอาสิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้ขึ้นไปกล่าวบนเวทีในงานแต่งงานของเขามาเขียนบันทึกเอาไว้เท่านั้นเอง ด้วยทางฝ่ายเจ้าสาวเองนั้นขอให้ช่วยขึ้นกล่าวอะไรก็ได้เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขาหน่อย
เมื่อขอมาก็จัดให้ จัดให้แบบเต็ม ๆ ด้วย ซึ่งคนที่อยู่ในงานวันนั้นคงทราบดี เพราะเห็นหัวเราะกันทั่วไปหมด
เรื่องต่าง ๆ ที่เล่ามานี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วครับ

ความทรงจำและเรื่องราวดี ๆ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคเรา จะปล่อยให้สูญหายไปกับกาลเวลาก็กระไรอยู่ใช่ไหมครับ



--------------------



ตอนที่เขาทั้งคู่เอาการ์ดแต่งงานมาให้ ผมยังถามเลยว่าตกลงว่าใครจะแต่งชุดเจ้าสาว หรือว่าจะแต่งชุดเจ้าบ่าวทั้งสองคน
แต่จะว่าไปผู้หญิงที่ท่าทางออกทอมนิด ๆ นี่ ถ้ารูปร่างเพรียวด้วยล่ะก็ เวลาสวมชุดเจ้าสาวที่สวยน่าดูนะครับ
วิศวรุ่นผมก็มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลักษณะที่เพื่อนผู้ชายร่วมรุ่นมองว่าค่อนข้างจะออกเป็นทอมนิดนึง
แต่พอวันที่เขาแต่งงาน เพื่อนวิศวร่วมรุ่นที่เห็นเขาในชุดเจ้าสาวถึงกับอุทานว่า 
 
"ถ้ารู้ว่าสวยอย่างนี้ รู้งี้จีบไปนานแล้ว"

และรายนี้เมื่ออยู่ในชุดเจ้าสาวแล้วก็ต้องขอยอมรับเลยว่า เจ้าบ่าวนั้น "ตาถึง" จริง ๆ ครับ
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่วายอดแหย่เล่นไม่ได้ว่า ตกลงว่าคุณเป็นผู้หญิงจริงหรือ เอาไว้ให้มีลูกก่อนแล้วจะเชื่อ :) :) :)

พอถึงตอนเจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ให้แย่งกันปรากฏว่า มีอาจารย์ของภาควิชาไปร่วมแจมด้วยครับ



--------------------



หลังงานแต่งงานผ่านไป ผมก็ได้รับรูปถ่าย (น่าจะเป็นรูปที่ถ่ายในช่วง pre-wedding) ขยายใหญ่เป็นของที่ระลึกจากคู่บ่าวสาวมาหนึ่งรูป พร้อมกับข้อความที่ฝ่ายหญิงเขียนไว้หลังรูปนั้นว่า ....
 

(ที่เบลอเอาไว้คือชื่อเขาครับ ขอเบลอเอาไว้หน่อยเพื่อความเป็นส่วนตัว)


--------------------


ฝ่ายหญิงได้งานบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติครับ ท่าทางจะเงินเดือนสูง แต่ก็งานหนัก เท่านั้นยังไม่พอ ยังเจียดเวลามาเรียนต่อระดับปริญญาโทภาคนอกเวลาราชการอีก (แต่ไม่ใช่ที่ภาควิชาเรา) ต้องมาเรียนตอนเย็น ๆ กว่าจะเลิกก็มืดค่ำ ทำให้ผมยังมีโอกาสพบเจอเขาอีกหลายครั้งหลังแต่งงาน (คือผมกำลังจะกลับบ้านส่วนเขากำลังมาเข้าเรียน)
ส่วนฝ่ายชายเหรอครับ เห็นฝ่ายหญิงโพสโชว์ลง facebook ถึงชีวิตลั้นลาในแต่ละวันของฝ่ายชาย มีทั้งเวลาเล่นเกมส์ และอ่านการ์ตูน

ท่าทางบ้านนี้ฝ่ายหญิงจะไม่ได้เป็นช้างเท้าหน้า น่าจะอยู่ในระดับเป็นควาญช้างซะมากกว่า



--------------------



เย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา หกโมงเย็นแล้ว ผมกำลังเดินออกจากตึกทำงาน ก็สวนกับเขาตรงทางเข้าพอดี เขามากับรุ่นน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง (ที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตอนเขาเรียนป.ตรี) ต่างมากันในชุดทำงาน
พอสวัสดีทักทายกันเสร็จเอาก็เอามือลูบพุงแล้วบอกผมว่า "๕ เดือนแล้วนะคะอาจารย์"
ผมชำเลืองดูแล้วก็ถามกลับด้วยความไม่แน่ใจว่า

"ท้องจริงเหรอ ไม่ใช่ลงพุงนะ"

ที่ถามไปอย่างนั้นก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็มีอย่างที่ไหนล่ะ คนท้อง ๕ เดือนดูผอมและหุ่นดีกว่าคนไม่ท้องที่เดินมาคู่กันอีก

เขียนอย่างนี้เนี่ย ลูกศิษย์ที่เดินมาด้วยกับเขาในวันนั้น จะส่งคนมาดักตีหัวอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาไหมเนี่ย



--------------------



ท้ายสุดนี้ก็คงต้องขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่นะครับ ที่กำลังจะกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในเร็ววันแล้ว
ซึ่งเชื่อว่าทั้งคู่ (และญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย) ต่างตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้นอยู่
ส่วนตัวผมเองหรือครับ คงต้องขออนุญาตกัดส่งท้ายสักนิดหน่อยนะครับว่า

นึกภาพไม่ออกเลยว่า อีก ๔ เดือนข้างหน้า โลกจะเป็นอย่างไร :) :) :)



--------------------

ไม่มีความคิดเห็น: