ค่าสภาพต้านทานไฟฟ้า
(electrical
resisitivity หรือที่เรียกย่อ
ๆ ว่า resisitivity
หรือใช้สัญญลักษณ์ rho มีหน่วยเป็น Ohm.m)
เป็นตัวบอกให้ทราบว่าวัสดุชนิดต่าง
ๆ มีความสามารถในการต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้าได้มากน้อยเพียงใด
วัสดุที่มีค่านี้สูงก็จะมีความต้านทานการไหลที่สูงไปด้วย
(คือเป็นฉนวน)
ค่าความต้านทาน
(resistance
- R) แปรผันตามความยาว
(L)
แต่แปรผกผันกับพื้นที่หน้าตัด
(A)
ของวัสดุ
หรือเขียนในรูปความสัมพันธ์แบบสมการคณิตศาสตร์ได้ว่า
R
= (rho.L)/A
ดังนั้นการเปรียบเทียบความสามารถในการต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้าของวัสดุต่าง
ๆ ด้วยการใช้ค่าสภาพต้านทานไฟฟ้า
จึงเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ขึ้นกับรูปร่างของวัสดุนี้
(สมการในย่อหน้าข้างบนตั้งอยู่บนข้อสมมุติว่ากระแสไฟฟ้าไหลอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งพื้นที่หน้าตัดตัวนำ
ซึ่งเรื่องนี้เป็นจริงสำหรับไฟฟ้ากระแสตรง
(Direct
current หรือ
DC)
แต่ในกรณีของไฟฟ้ากระแสสลับ
(Alternating
current หรือ
AC)
จะมีเรื่องของ
"Skin
effect" เข้ามาเกี่ยวข้อง
คือความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้าที่บริเวณผิวรอบนอกของตัวนำจะสูงกว่าบริเวณตอนกลาง)
รูปที่
๙ ต้นฉบับบทความที่เป็นต้นเรื่องของบทความชุดนี้
เรื่องหนึ่งที่เรียนกันในวิชาเคมีคือเรื่องพันธะมีขั้วและโมเลกุลมีขั้วที่ส่งผลต่อคุณสมบัติของของเหลว
แต่เนื้อหาตรงนี้ในส่วนการใช้งานก็มักจะกล่าวกันเพียงแค่ผลที่มีต่อจุดเดือดและการละลายเข้าด้วยกันเท่านั้น
แต่อันที่จริงมันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องและสำคัญในแง่ของการออกแบบโรงงานและระเบียบวิธีการทำงาน
นั่นคือ "การนำไฟฟ้า"
โดยของเหลวที่เป็นโมเลกุลมีขั้ว
(หรือมีโมเลกุลมีขั้ว
-
ที่ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
-
ผสมอยู่)
นั้นจะนำไฟฟ้าได้ดีกว่า
เรื่องนี้ส่งผลต่อการเกิดไฟฟ้าสถิตและการกระจายประจุไฟฟ้าสถิตออกไป
ทำให้การทำงานกับของเหลวที่นำไฟฟ้าได้ดีนั้นมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตน้อยกว่าการทำงานกับของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้า
เช่นในกรณีของรูปที่ ๑ ๓ ๕
และ ๖ ในตอนที่ ๑ ของเรื่องนี้
รูปที่
๑๐ ตัวอย่างของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้า
(พวกที่มีค่าสภาพต้านทานไฟฟ้าตั้งแต่
108
โอห์ม.เมตร
ขึ้นไป)
สารกลุ่มนี้จะเป็นพวกโมเลกุลไม่มีขั้วหรือมีความเป็นขั้วต่ำ
ในที่นี้ mesitylene
คือ
1,3,5-trimethyl
benzene ส่วน
white
spirit นั้นหมายถึงไฮโดรคาร์บอน
(aliphatic
หรือ
alicyclic
ช่วง
C7
- C12) ที่ใช้เป็นตัวทำละลายในการละลายหรือกระบวนการสกัดด้วยตัวทำละลาย
(solvent
extraction)
ตารางในรูปที่
๑๐ นั้นนำมาจากเอกสารที่แสดงไว้ในรูปที่
๙
ในบทความนี้ของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าคือของเหลวที่มีค่าสภาพต้านทานไฟฟ้าตั้งแต่
108
โอห์ม.เมตร
ขึ้นไป (ตัวเลขมีการปัดเศษให้เป็นเลขยกกำลังกลม
ๆ)
ตรงนี้ต้องย้ำนิดนึงกว่าการ
นำไฟฟ้า -
ไม่นำไฟฟ้า
ในที่นี้หมายถึง "ไฟฟ้าสถิต"
นะ
ไม่ใช่ไฟฟ้ากำลังที่ใช้กันตามบ้านเรือนและโรงงานทั่วไป
จากตัวอย่างที่เขายกมานั้นจะเห็นว่าพวกที่ติดอันดับต้น
ๆ จะเป็นพวกโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว
ในขณะที่พวกที่ติดอันดับล่าง
ๆ จะเป็นพวกโมเลกุลที่มีขั้วไม่แรง
ส่วนตารางในรูปที่
๑๑ นั้นเป็นตัวอย่างของเหลวนำไฟฟ้า
คือพวกที่มีค่าสภาพต้านทานไฟฟ้าต่ำกว่า
108
โอห์ม.เมตร
ลงมา สารกลุ่มนี้จะเป็นพวกโมเลกุลที่มีความเป็นขั้วสูง
รูปที่
๑๑ ตัวอย่างของเหลวที่นำไฟฟ้า
(ค่าสภาพต้านทานไฟฟ้าต่ำกว่า
108
โอห์ม.เมตร
ลงมา)
สารกลุ่มนี้จะเป็นพวกโมเลกุลที่ความเป็นขั้วสูง
การลดค่าสภาพต้านทานไฟฟ้าให้กับของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าทำได้ด้วยการผสมของเหลวที่มีค่าสภาพต้านทานไฟฟ้าต่ำเข้าไป
แต่ทั้งนี้ของเหลวที่ผสมเข้าไปนั้นจะต้อง
"ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน"
(เช่นการผสมแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสมเข้าไปในน้ำมัน)
ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหารุนแรงขึ้นกว่าเดิม
เช่นในกรณีของหยดน้ำในน้ำมัน
ของแข็งที่แขวนลอยอยู่ในของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าก็ทำให้การเกิดไฟฟ้าสถิตเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมได้
ของแข็งนี้อาจเป็นของแข็งที่ไหลปะปนมากับของเหลวแต่ต้น
หรือเป็นของแข็งที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต
เช่นระหว่างการตกผลึก
(crystallisation)
ในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว
(ถ้าตัวทำละลายเป็นสารไวไฟด้วยก็ควรทำการตกผลึกภายใต้บรรยากาศแก๊สไนโตรเจน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น