เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเขามีการซ้อมหนีไฟในอาคารที่ผมทำงานอยู่
พอช่วงใกล้เที่ยงก็มีการทดลองกดสัญญาณเตือนไฟไหม้
เพื่อให้คนอพยพออกจากอาคาร
ระหว่างเดินลงบันไดหนีไฟมาเพียงคนเดียว
ก็เลยได้ถ่ายรูปบางอย่างมาฝากกัน
รูปที่
๑ ประตูทางออกที่ชั้นล่างสุด
บันไดหนีไฟกับรูปลักษณ์ปรากฏของตัวอาคารเมื่อมองจากด้านนอก
มักเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ค่อยได้
สำหรับอาคารสูงแล้วตัวบันไดหนีไฟมักจะถูกซ่อนเอาไว้ให้มองไม่เห็นจากทางด้านนอก
แต่การวางเส้นทางบันไดหนีไฟไว้ด้านในในอาคารผลที่ตามมาก็คือแสงสว่างและการระบายอากาศ
โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้ควันจากเพลิงที่ไหม้อยู่ที่ชั้นใดชั้นหนึ่งนั้นรั่วเข้าไปในเส้นทางหนีไฟได้
และการมีแสงสว่างเพื่อให้อพยพได้
เพราะมันไม่มีหน้าต่างเปิดออกสู่ด้านนอกอาคารเพื่อการระบายอากาศหรือให้แสงสว่างเข้ามา
และวิธีแก้ไขที่อาคารที่ผมทำงานอยู่นั้นใช้ก็คือ
การต้องให้ประตูที่เข้าสู่เส้นทางหนีไฟนั้นต้องปิดตลอดเวลา
เพื่อที่จะทำการอัดอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามา
เพื่อทำให้ความดันอากาศในทางเดินหนีไฟนั้นสูงกว่าภายในตัวอาคาร
ควันไฟจะได้ไม่สามารถรั่วเข้าไปในเส้นทางหนีไฟได้
และการติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน
ในกรณีที่มีการตัดกระแสไฟฟ้า
ตอนที่ผมกลับมาทำงานเมื่อกว่า
๒๔ ปีที่แล้ว
อาคารที่ผมทำงานอยู่ในปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงที่เริ่มการก่อสร้าง
อาจารย์ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่างบประมาณก่อสร้างอาคารหลังนี้ได้มาแบบโดยบังเอิญ
คือเป็นงบประมาณประจำปีที่เป็นเศษเหลือของแต่ละหน่วยงานที่ส่งคืนคลัง
(กล่าวคือ
อาจตั้งงบซื้อของชิ้นหนึ่งไว้
๑๐๐ บาท แต่ตอนซื้อจริงซื้อได้ในราคา
๙๗ บาท เศษเหลือ ๓ บาทก็ต้องส่งคืนคลัง
เอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้)
พอทั้งประเทศรวมกันเข้าก็เป็นเงินก้อนใหญ่ที่ควรต้องใช้ให้หมดในปีงบประมาณนั้น
ทางหน่วยงานทราบเรื่องนี้เข้าก็เลยรีบทำแผนก่อสร้างอาคาร
(รวมทั้งการออกแบบตัวอาคาร)
เพื่อดึงเอางบประมาณตัวนี้มาใช้
ทำให้การออกแบบเป็นไปอย่างรีบร้อนโดยไม่ได้มีการวางแผนไว้อย่างชัดเจนว่าจะใช้ชั้นไหนของอาคารเพื่อวัตถุประสงค์ใด
ผลก็คือมันก็เลยเป็นอาคารที่มีปัญหาเรื่องการใช้งานมาตั้งแต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ
เรื่องที่มาของงบประมาณสร้างอาคารที่เล่ามาข้างต้น
ก็เล่าไปตามที่อาจารย์ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังมา
จริงเท็จอย่างไรก็คงต้องไปดูเอกสารทางการ
เรื่องปัญหาการใช้งานอาคารตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเนี่ย
อดีตรองคณบดีท่านหนึ่งเคยเล่าให้ผมฟัง
ท่านเล่าว่าตอนออกแบบครั้งแรกนั้นเขาเอาห้องประชุมจุคนระดับ
๒๐๐ คนไปไว้ชั้นบนสุด (ชั้น
๒๐)
แล้วค่อยมาคิดได้ทีหลังว่าจะมีปัญหาเรื่องขนคนขึ้นลงเวลามีประชุมแต่ละที
ก็เลยต้องมีการแก้แบบเพื่อเอาห้องประชุมลงมาไว้ชั้น
๒ แต่การนี้ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ตอนที่นำแบบไปขอความเห็นชอบจากอธิการบดี
อธิการบดีก็ให้ความเห็นกลับมาว่า
"ทำงานในสายวิชาชีพตัวเองแท้
ๆ"
แกเล่าให้ฟังพร้อมกับปิดท้ายว่า
ตอนนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
รูปที่
๒ สภาพระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินระหว่างทางเดินลง
อุปกรณ์นี้มีมาตั้งแต่สร้างอาคารเมื่อ
๒๐ ปีที่แล้ว
พื้นที่ห้องทำงานของอาคารนี้แยกเป็นสองส่วนคือด้านทิศเหนือกับด้านทิศใต้
ซีกด้านทิศเหนือกับทิศใต้เชื่อมต่อกับบริเวณตอนกลางโดยโถงทางเดินที่เป็นที่ติดตั้งลิฟต์ขึ้นลง
บันไดขึ้นลงระหว่างชั้น
(ที่อยู่ด้านหลังลิฟต์ด้านทิศตะวันตก)
และบันได้หนีไฟ
(ที่อยู่
๒ ฝั่งทางปีกด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก)
ต่างก็อยู่ทางอาคารด้านทิศใต้หมด
พูดง่าย ๆ
ก็คือถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตามตรงโถงเชื่อมหน้าลิฟต์
ผู้ที่อยู่ทางอาคารซีกทิศเหนือจะหนีออกมาไม่ได้เลย
เพราะมันไม่มีบันได
ด้วยเหตุนี้หลังจากอาคารสร้างเสร็จไม่นาน
ก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข
ด้วยการสร้างเส้นทางเชื่อมระหว่างอาคารซีกทิศเหนือและซีกทิศใต้เพิ่มเติม
โดยเป็นเส้นทางอยู่นอกอาคารที่เชื่อมต่อมายังบันไดหนีไฟที่อยู่ที่อาคารซีกทิศใต้
บันไดหนีไฟของอาคารนี้อันที่จริงมันก็อยู่ด้านริมตัวอาคาร
เรียกว่าจะทำให้มันเป็นแบบเปิดโล่งหรือมีช่องหน้าต่างก็ได้
แต่เขาก็เลือกทำเป็นแบบปิดทึบ
แม้ผนังด้านนอกจะใช้การติดกระเบื้องแทนการทาสี
แต่พอโดนฝนตกหนักสาดต่อเนื่องก็ยังมีน้ำซึมผ่านผนังเข้ามาได้
ตอนเปิดใช้อาคารใหม่ ๆ
นั้นก็มีการซ้อมหนีไฟ
เขาก็มีการทดสอบระบบอัดอากาศเข้าสู่ช่องทางเดินหนีไฟด้วยว่ามันทำงานหรือไม่
(ซึ่งมันก็ทำ)
แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ตอนเดินลงบันไดผมไม่รู้สึกว่ามีการเปิดระบบอัดอากาศ
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะมันใช้ไม่ได้
หรือเขาไม่รู้ว่ามันมีอยู่
รูปที่
๓ สภาพระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินระหว่างทางเดินลงอีกมุมหนึ่ง
แม้แต่บันไดขึ้นลงระหว่างชั้นก็อยู่กลางตัวอาคาร
วันไหนไฟฟ้าดับก็ต้องเดินขึ้นลงกัน
มีวันหนึ่งตอนเย็นใกล้ค่ำไฟฟ้าดับ
ก็เลยทำให้เห็นปัญหาว่าไฟฉุกเฉินที่ส่องเส้นทางขึ้นลงนั้นไม่ทำงาน
คือถ้าเป็นตอนกลางวันเปิดประตูทิ้งไว้มันก็มีแสงสว่างจากภายนอกที่ส่องเข้าอาคาร
ส่องเข้าทางประตูมาถึงบันได
แต่พอตอนกลางคืนมันไม่มีแสงส่องเข้าอาคาร
ก็เลยเห็นปัญหา
ต้องใช้โทรศัพท์มือถือทำหน้าที่ไฟฉายส่องทางเดิน
จากนั้นไม่นานบางชั้น
(แต่ภาควิชาเป็นผู้รับผิดชอบชั้นที่ตัวเองใช้งาน)
ก็มีการเปลี่ยนระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉินที่ของเดิมเสื่อมสภาพ
แต่ตัวบันไดหนีไฟนั้นปรกติก็ไม่มีใครเขาใช้กัน
ก็เลยคงทำให้ไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบสภาพอุปกรณ์
เมื่อวันจันทร์เดินลงมา
๑๐ ชั้น
ระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉินก็เป็นแบบที่ถ่ายรูปมาให้ดูกัน
โดยมีบางชั้นถูกถอดออกไปเลย
เรียกว่าถ้าไฟฟ้าดับเมื่อใด
ก็คงสนุกไม่แพ้การดำน้ำในถ้ำ
ที่ทัศนวิสัยเป็นศูนย์
อันที่จริงที่ตัวเครื่องมีป้ายกระดาษติดเอาไว้ว่า
จะแก้ไขในปีงบประมาณ ๒๕๖๑
แต่ ณ วันนี้เรียกว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะสิ้นปีงบประมาณแล้ว
คงได้แต่รอดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น