เวลาที่นิสิตในที่ปรึกษาเตรียมการสอบวิทยานิพนธ์
สิ่งหนึ่งที่ผมมักกล่าวเตือนเป็นประจำคือคำอธิบายกลไกการเกิดปฏิกิริยาต่าง
ๆ นั้นมักจะมีอยู่ในตำราอยู่แล้ว
การใช้ทฤษฎีที่ปรากฏอยู่ในตำราเรียนต่าง
ๆ นั้นมาอธิบาย (อย่างถูกต้องด้วยนะ)
จะทำให้กรรมการสอบยากที่จะซักค้าน
มันไม่เหมือนกับการที่อ้างอิงโดยใช้บทความที่ตีพิมพ์
(เพราะบ่อยครั้งที่พบว่าวิธีการทดลองหรือผลการทดลองมันดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลยหรือเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง)
เวลาที่อ้างข้อมูลสนับสนุนด้วยการใช้บทความนั้นมักจะโดนซักค้านว่าถ้าเช่นนั้นอีกบทความหนึ่งทำไมจึงได้ข้อสรุปที่แตกต่างออกไป
แต่ถ้าอธิบายโดยอ้างอิงจากตำราเจ้าของบทความที่แสดงข้อมูลที่ขัดแย้งกับทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปจนมีการบรรจุลงในตำราเรียนที่ใช้กันทั่วโลกนั้น
ควรจะต้องเป็นผู้ที่ชี้แจงให้เห็นว่าสิ่งที่คนทั้งโลกกำลังเรียนรู้อยู่นั้นมันผิดตรงไหน
เพราะนั่นมันคือการค้นพบอันยิ่งใหญ่
ผมก็เคยเจอเหมือนกันกับผู้ที่เผยแพร่ผลการทดลองที่ขัดแย้งกับทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันและใช้งานกันอยู่
(ใช้ได้จริงซะด้วย)
แต่นั่นเป็นเพราะวิธีการทดลองที่เขาใช้นั้นไม่เหมาะสม
มีตัวแปรอื่นที่เขาไม่ได้คำนึงถึงร่วมอยู่ในการทดลอง
ทำให้การแปลผลการทดลองที่ได้นั้นผิดพลาดไป
(ดู
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๗๕ วันพุธที่ ๑๔
ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"อุณหภูมิและการดูดซับ")
แต่การอิงตำรามาโดยหยิบมาเฉพาะจุดนั้นก็อาจเกิดปัญหาได้
ดังสุภาษิตโบราณที่กล่าวว่า
"สี่ตีนยังรู้พลาด
นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง"
เพราะก็มีอยู่เหมือนกันที่ตำรานั้นผิดพลาด
ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ฉบับพิมพ์ครั้งแรกซะด้วย
ดังตัวอย่างที่จะยกมาเล่าให้ฟังในวันนี้
อนุมูลอิสระ
(Free
radical) มีบทบาทสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาอินทรีย์เคมีหลายหลายปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาจะเกิดไปในทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าอนุมูลอิสระตัวไหนมี
"เสถียรภาพ"
ณ
สภาวะที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา
"เสถียรภาพ"
ในที่นี้คือการที่สารหนึ่งเกิดการสลายตัวกลายเป็นอนุมูลอิสระแล้ว
อนุมูลอิสระนั้นที่เกิดขึ้นมานั้นมีอายุอยู่นานพอที่จะทำปฏิกิริยาต่อไปเป็นสารอื่น
ไม่ใช่รีบเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับไปเป็นสารตั้งต้นตัวเดิม
อิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระนั้นเป็นอิเล็กตรอนที่ไม่มีคู่
(unpaired
electron)
และอะตอมตัวที่มีอิเล็กตรอนอิสระนั้นก็จัดได้ว่าเป็นอะตอมที่ขาดอิเล็กตรอน
อย่างเช่นในกรณีของอะตอม
C
ของ
alkyl
free radical ที่แสดงในรูปที่
๑ ข้างล่าง ถ้าอะตอม C
ตัวที่มีอิเล็กตรอนอิสระนั้นสามารถดึงอิเล็กตรอนจากหมู่ข้างเคียงเข้ามาบรรเทาอาการขาดอิเล็กตรอนของมันได้
อนุมูลอิสระตัวนั้นก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น
หมู่อัลคิลนั้นเป็นหมู่จ่ายอิเล็กตรอน
ดังนั้นถ้าอะตอม C
ตัวที่มีอิเล็กตรอนอิสระมีหมู่อัลคิลมาเกาะมากขึ้น
(และ/หรือเป็นหมู่อัลคิลขนาดใหญ่ขึ้น)
alkyl free radical ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้นตามไปด้วย
รูปที่
๑ ลำดับความมีเสถียรภาพของ
alkyl
free radical ที่มักจะพบเห็นกันในตำราอินทรีย์เคมีทั่วไป
ตรงนี้เป็นประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจกันนิดนึง
เวลาตำราเคมีอินทรีย์พูดถึงคำว่า
"เสถียรภาพ"
เขามักจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้เกิดสารตัวนั้น
สารตัวใดที่ใช้พลังงานไม่สูงในการทำให้เกิดหรือมีการคายพลังงานออกมากเมื่อมันเกิด
สารนั้นก็จะมี "เสถียรภาพ"
มากกว่าสารที่ต้องใช้พลังงานมากกว่าในการทำให้เกิดหรือมีการคายพลังงานออกมาน้อยกว่าเมื่อมันเกิด
"โดยไม่คำนึงถึงสภาวะของการเกิดปฏิกิริยา"
หรือบนข้อสมมุติที่ว่า
"สภาวะของการเกิดปฏิกิริยานั้นไม่รุนแรง"
อย่างเช่นในกรณีของรูปที่
๑ นั้น การทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
methyl
free radical จาก
CH4
นั้นต้องใส่พลังงานเข้าไปมากกว่าการทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ethyl
free radical จาก
H3C-CH3
และในทำนองเดียวกันการทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ethyl
free radical จาก
H3C-CH3
นั้นต้องใส่พลังงานเข้าไปมากกว่าการทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
isopropyl
free radical จาก
H3C-CH3-CH3
แต่ถ้าสภาวะของการเกิดปฏิกิริยานั้นรุนแรง
อนุมูลอิสระที่มีพลังงานในตัวต่ำจะอยู่ไม่ได้
มันจะปรับตัวไปเป็นอนุมูลอิสระที่มีระดับพลังงานในตัวสูง
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการผลิต
Low
density polyethylene (LDPE) ที่ภาวะการทำปฏิกิริยาจัดได้ว่ารุนแรง
อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนั้นจึงเป็นเป็น
primary
(คืออยู่ที่ปลายสายโซ่)
แทนที่จะเป็นแบบ
secondary
(หรืออยู่ตรงกลางสายโซ่)
จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อสายโซ่ให้ยาวออกไปได้เรื่อย
ๆ (เรื่องนี้ถ้ามีเวลาว่างกะว่าจะเขียนสักที
ตั้งใจจะเขียนอยู่เป็นปีแล้วเหมือนกัน)
รูปที่
๒
กลไกการเกิดปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์ของสไตรีนที่ปรากฏในหนังสือหน้า
๑๐๗ พึงสังเกตว่าในที่นี้ตำแหน่งอะตอม
C
ที่มีอิเล็กตรอนอิสระ
(ลูกศรสีเขียวชี้)
นั้นไม่ใช่อะตอม
C
ที่มีวงแหวนเบนซินเกาะอยู่
(ลูกศรสีแดงชี้)
หนังสือ
A
Short Course in Organic Chemistry โดย
Edward
E. Burgoyne พิมพ์ครั้งที่
3
ปีค.ศ.
1985 (พิมพ์ครั้งแรกปีค.ศ.
1977) โดยสำนักพิมพ์
McGraw-Hill
เป็นตำราเคมีอินทรีย์ที่ผมใช้เรียนสมัยอยู่ปริญญาตรีปี
๒ (ปีพ.ศ.
๒๕๒๘)
หนังสือเล่มนี้ก็อธิบายลำดับความมีเสถียรภาพของอนุมูลอิสระตามลำดับดังแสดงในรูปที่
๑ แต่พอมาถึงหัวข้อ 4.3
เรื่อง
Addition
polymerization of alkenes ตรงตัวอย่างกรณีของการสังเคราะห์พอลิสไตรีน
(polystyrene)
ในหน้า
107
ที่ผมยกมาให้ดูในรูปที่
๒ ก็สังเกตเห็นความผิดปรกติ
อันที่จริงนอกเหนือจากการจ่ายอิเล็กตรอนให้กับอะตอม
C
ที่มีอิเล็กตรอนอิสระ
เสถียรภาพยังเกี่ยวข้องกับการเกิดเรโซแนนซ์กับพันธะของอะตอมที่เกาะติดอยู่กับอะตอม
C
ที่มีอิเล็กตรอนอิสระนั้น
ซึ่งถ้าอิเล็กตรอนอิสระตัวนั้นสามารถเกิดเรโซแนนซ์ได้
มันก็จะมีเสถียรภาพดีขึ้น
ในกรณีของที่อะตอม C
ที่มีอิเล็กตรอนอิสระนั้นมีหมู่ฟีนิล
(phenyl
-C6H5 หรือวงแหวนเบนซีนนั่นเอง)
ยึดเกาะอยู่
ตัวอิเล็กตรอนอิสระนั้นสามารถเกิดเรโซแนนซ์กับ
pi
e- ของวงแหวนเบนซีน
ทำให้เกิดเป็นอนุมูลอิสระที่มีอิเล็กตรอนอิสระอยู่ที่ตำแหน่งอะตอม
C
ที่มีหมู่ฟีนิลนั้นเกาะอยู่ได้
แต่ในกรณีของตัวอย่างในหนังสือที่นำมาแสดงในรูปที่
๒ นั้น กลับให้อะตอม C
ตัวที่
"ไม่มี"
หมู่ฟีนิลเกาะ
(ตัวที่ลูกศรสีเขียวชี้)
เป็นตัวที่มีอิเล็กตรอนอิสระ
ทั้ง ๆ ที่ตำแหน่งที่ถูกต้องนั้นควรจะเป็นอะตอม
C
ตัวที่
"มี"
หมู่ฟีนิลเกาะ
รูปที่
๓ กลไกการเกิดปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์ของสไตรีนที่ควรเป็น
ตำแหน่งอะตอม C
ที่มีอิเล็กตรอนอิสระควรเป็นอะตอม
C
ตัวที่มีหมู่ฟีนิล
(วงแหวนเบนซีน)
เกาะอยู่
จากการตรวจสอบกับแหล่งอื่นก็พบว่าที่ถูกต้องนั้นอิเล็กตรอนอิสระควรอยู่ที่อะตอม
C
ตัวที่มีหมู่ฟีนิลเกาะ
และกลไกการเกิดการพอลิเมอร์ไรซ์ของสไตรีนควรเป็นดังแสดงในรูปที่
๓
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ตำราที่เขียนโดยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นและและจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชั้นนำของโลก
ก็ยังมีผิดพลาดได้เช่นกัน
ส่วนทำไมถึงเกิดความผิดพลาดดังกล่าวได้นั้น
ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ลิงค์ที่สามารถอ่านเพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น