Memoir
ฉบับที่
๔๐๐ แล้วหรือเนี่ย
ตามแบบจำลองกลไกการเกิดปฏิกิริยาของ
Langmuir,
Langmuir-Hinshelwood หรือ
Eley-Rideal
นั้น
ตัวเร่งปฏิกิริยาทำหน้าที่เพียงแค่เป็นที่ให้สารตั้งต้นลงมาเกาะเท่านั้น
โครงสร้างทางเคมีของตัวเร่งปฏิกิริยาไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ
แต่ในปฏิกิริยาการออกซิไดซ์สารประกอบไฮโดรคาร์บอนไปเป็นสารประกอบออกซีจีเนต
(oxygenate)
ที่ใช้สารประกอบออกไซด์ของโลหะทรานซิชันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
มีการค้นพบว่าถึงแม้ว่าไม่มีการป้อนออกซิเจนเข้าไประบบ
ปฏิกิริยาก็ยังสามารถเกิดได้
แต่ก็ดำเนินไปได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นก่อนที่ปฏิกิริยาจะยุติ
และเมื่อนำตัวเร่งปฏิกิริยาหลังจากปฏิกิริยายุติแล้วมาวิเคราะห์จะพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยามีปริมาณออกซิเจนลดลง
ในปีพ.ศ.
๒๔๙๗
(ปีค.ศ.
๑๙๕๔)
Mars
และ
van
Krevelen(๑)
จึงได้นำเสนอแบบจำลองการเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าแบบจำลอง
Reduction-Oxidation
หรือที่นิยมเรียกกันสั้น
ๆ ว่า REDOX
ดังนี้
A
+ (oxidised catalyst) →
P + (reduced catalyst)
O2
+ (reduced catalyst) →
(oxidised catalyst)
ในแบบจำลองนี้
A
ที่เป็นสารตั้งต้นจะไปดึงออกซิเจนออกมาจากโครงสร้างของตัวเร่งปฏิกิริยากลายเป็นผลิตภัณฑ์
(P)
โดยตัวเร่งปฏิกิริยาจะถูกรีดิวซ์
จากนั้นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ถูกรีดิวซ์จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่ป้อนเข้าไปพร้อมกับสารตั้นต้น
A
ทำให้กลับคืนเป็นโครงสร้างเดิมใหม่
กลไกREDOX
นี้ได้รับการยืนยันจากการทดลองของ
Blanchard
และ
Louguet(๒)
ในปีพ.ศ.
๒๕๒๐
(ปีค.ศ.
๑๙๗๓)
ที่ทดลองโดยใช้ไอโซโทป
O18
ในเฟสแก๊ส
และพบว่าออกซิเจนที่เข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นเป็น
O16
ที่มาจากตัวเร่งปฏิกิริยา
ในกรณีที่โลหะที่อยู่ในตัวเร่งปฏิกิริยานั้นมีเลขออกซิเดชันได้มากกว่าสองค่า
ออกไซด์ที่เกิดจากการรีดิวซ์ครั้งแรกอาจถูกรีดิวซ์ต่อเป็นครั้งที่สองด้วยสารตั้งต้น
A
ก่อนที่จะถูกออกซิไดซ์กลับด้วยออกซิเจนก็ได้
ดังเช่นในกรณีของโลหะวาเนเดียม
(V)
ซึ่งมีรูปออกไซด์ที่เสถียรอยู่
3
รูปด้วยกันคือ
V2O5
V2O4 และ
V2O3
ซึ่งเป็นตัวแทนของ
V5+
V4+ และ
V3+
ในขณะที่เกิดปฏิกิริยา
ตัวเร่งปฏิกิริยาอาจมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
V2O5
+ A → P1 +
V2O4
V2O4
+ A → P2 +
V2O3
V2O3
+ O2 →
V2O4
V2O4
+ O2 →
V2O5
โดยที่
P1
และ
P2
ไม่จำเป็นต้องเป็นสารเดียวกัน
ดังนั้นที่ภาวะคงตัวนั้น
เลขออกซิเดชันเฉลี่ยของโลหะทรานซิชัน
(ในตัวอย่างข้างบนคือ
V)
จะเป็นค่าเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างสารตั้งต้นที่เป็นตัวรีดิวซ์และออกซิเจนที่ป้อนเข้าไปในระบบ
ถ้าสัดส่วนออกซิเจนค่อนข้างสูง
เลขออกซิเดชันเฉลี่ยของโลหะทรานซิชันก็จะสูง
ในทางกลับกันถ้าสัดส่วนของสารตั้งต้นที่เป็นตัวรีดิวซ์นั้นสูง
เลขออกซิเดชันเฉลี่ยของโลหะทรานซิชันก็จะต่ำ
ตัวอย่างของปฏิกิริยาที่ดำเนินไปตามกลไก
REDOX
ได้แก่ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ไฮโดรคาร์บอนไปเป็นสารประกอบออกซีจีเนต
เช่น การออกซิไดซ์แนฟทาลีน
(C10H8)
หรือออโธไซลีน
(C6H4(CH3)2)
ไปเป็นฟาทาลิกแอนไฮดราย
(phthalic
anhydride - (C6H4(C2O3))
ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5
การออกซิไดซ์เบนซีน
(C6H6)
หรือบิวทีน
(C4H8)
ไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
(maleic
anhydride - C4H2O3)
ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาออกไซด์ผสม
V-P-O
เป็นต้น
ตามกลไกนี้
อัตราการรีดิวซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาจะขึ้นอยู่กับสารตั้งต้น
(เช่นไฮโดรคาร์บอน)
ที่เป็นตัวรีดิวซ์
และสัดส่วนของตำแหน่งที่ว่องไวที่อยู่ในสถานะออกซิไดซ์ดังสมการ
(1)
เมื่อ
kr
คือค่าคงที่ของปฏิกิริยารีดักชัน,
PHC
คือความดันของไฮโดรคาร์บอนที่เป็นสารรีดิวซ์
และ θ
คือสัดส่วนของตำแหน่งที่ว่องไวที่ถูกรีดิวซ์ไป
อัตราการออกซิไดซ์ตำแหน่งที่ว่องไวที่ถูกรีดิวซ์ไปนั้น
ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของออกซิเจนและสัดส่วนของตำแหน่งที่ว่องไวที่ถูกรีดิวซ์ไปดังสมการ
(2)
เมื่อ
ko
คือค่าคงที่ของปฏิกิริยาออกซิเดชัน
PO2
คือความดันของออกซิเจน
β
คือปริมาณ
O2
ที่ใช้ต่อโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอนที่ทำปฏิกิริยาไป
และ n
คือค่าคงที่
ซึ่งสำหรับปฏิกิริยาของไฮโดรคาร์บอนแล้วพบว่าค่า
n
ที่เหมาะสมคือ
1
ที่สภาวะสมดุลย์
อัตราการรีดิวซ์เท่ากับอัตราการออกซิไดซ์
หรือ rred
= rox
ดังนั้น
(3)
แทนค่า
θ
จาก
(3)
จะได้สมการแสดงอัตราเร็วในการเกิดปฏิกิริยาที่มีรูปแบบดังนี้
(4)
สำหรับปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ในเฟสแก๊สนั้น
เพื่อให้ปลอดภัยจากการระเบิด
ในการออกซิไดซ์จึงใช้ไฮโดรคาร์บอนที่ความเข้มข้นต่ำ
โดยมีออกซิเจนมากเกินพอสำหรับการทำปฏิกิริยามาก
ดังนั้นจึงอาจถือได้ว่าความเข้มข้นของออกซิเจนในระบบนั้นคงที่
ดังนั้นจากสมการที่ (4)
เราจะพบว่าถ้าเราเพิ่มความเข้มข้นของไฮโดรคาร์บอนให้สูงขึ้นเรื่อย
ๆ ในช่วงแรกอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น
แต่จะเข้าหาค่าสูงสุดที่ระดับหนึ่งดังแสดงในรูปที่
๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑
ความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารตั้งต้นกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา
ในกรณีของกลไก REDOX
อันที่จริงสารประกอบออกไซด์ของโลหะทรานซิชันที่อยู่ในเลขออกซิเดชันที่สูงนั้น
(เช่น
V2O5)
เมื่อได้รับอุณหภูมิที่สูงมากพอก็จะคายออกซิเจนออกมาเองได้
(ถูกรีดิวซ์)
กลายมาเป็นสารประกอบโลหะออกไซด์ที่มีเลขออกซิเดชันที่ลดลงโดยที่ไม่ต้องมีสารรีดิวซ์
และจากที่กล่าวมาก่อนหน้าว่าในระหว่างการทำปฏิกิริยาที่ภาวะสมดุลนั้น
เลขออกซิเดชันเฉลี่ยของไอออนของโลหะทรานซิชันจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างปริมาณสารรีดิวซ์กับสารออกซิไดซ์
ซึ่งเลขออกซิเดชันเฉลี่ยของไอออนของโลหะทรานซิชันนี้อาจจะแตกต่างไปจากเลขออกซิเดชันของไอออนที่ได้จากการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา
เช่นตอนที่เตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาขึ้นมานั้น
V
อาจอยู่ในรูป
V2O5
แต่ในระหว่างการใช้งานนั้นจะอยู่ในรูปของออกไซด์ผสมระหว่าง
V2O5
V2O4
และ
V2O3
ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามองค์ประกอบของแก๊สที่เข้าทำปฏิกิริยา
ดังนั้นการวิเคราะห์เลขออกซิเดชันของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้
(เช่นการใช้เทคนิค
XPS)
อาจไม่สะท้อนถึงเลขออกซิเดชันที่แท้จริงในระหว่างการทำปฏิกิริยา
ในกรณีของกลุ่ม
DeNOx-SCR
นั้น
การทำปฏิกิริยาของ NH3
ผมคิดว่าอาจจะเกิดได้ใน
๒ รูปแบบ รูปแบบแรกคือปฏิกิริยาระหว่าง
NH3
กับ
NO
ซึ่งอาจเป็นไปตามกลไก
Eley-Rideal
รูปแบบที่สองคือปฏิกิริยา
NH3-oxidation
ซึ่งอาจเป็นไปตามกลไก
REDOX
นี้
แต่ที่กล่าวมานี้จะถูกต้องหรือไม่นั้นคงต้องใช้ผลการทดลองพิสูจน์
หมายเหตุ
(๑)
Mars, P. and van Krevelen, D.W., Chem. Eng. Sci. (Spec. Suppl.), 3,
51-59 (1954).
ฺ(๒)
Blanchard, M. and Louguet, G., Kinetics and Catalysis (Eng. Trans.)
14, 20 (1973).