วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จากศาลาทำศพ เป็นศาลาธรรมสพน์ MO Memoir : Sunday 15 November 2558

"เมื่อขุดคลองขึ้นแล้ว เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ดำริให้สร้างศาลากลางย่าน สำหรับเป็นที่พักอาศัยขึ้นทุก ๆ ๑๐๐ เส้น ต่อหนึ่งหลังเป็นระยะไป ซึ่งที่ศาลานั้น ท่านให้เขียนตำรายารักษาโรคต่าง ๆ ลงบนแผ่นกระดานติดไว้เป็นการกุศล ผู้คนจึงเรียกศาลากลางย่านแห่งนี้ว่า "ศาลายา" นับแต่นั้นมา
ส่วนศาลาอีกหลังหนึ่งในเขตตลิ่งชันในเวลานี้ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ได้สร้างขึ้นเพื่อปลงศพคนของท่านคนหนึ่ง จึงเรียกว่า "ศาลาทำศพ" แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันกลับเพี้ยนเป็น "ศาลาธรรมสพน์" ที่แปลว่า "ศาลาสำหรับฟังธรรม" ไปเสียได้ ซึ่งเข้าใจว่าเรียกเพี้ยนกันไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปีแล้ว"
  
(จากเรื่อง "คลองมหาสวัสดิ์" หน้า ๑๑๑-๑๑๒ ในหนังสือ "ธนบุรีมีอดีต" โดย ป.บุนนาค พิมพ์ครั้งแรกมิถุนายน ๒๕๕๓ โดยสำนักพิมพ์ฐานบุ๊คส์)

เช้าวันวาน หลังจากขับรถไปส่งลูกไปสอบแข่งขันที่ มทร. รัตนโกสินทร์ ถนนพุทธมณฑลสาย ๕ ขากลับก็เลยแวะออกนอกเส้นทางนิดนึง เพื่อที่จะไปถ่ายรูปสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์เสียหน่อย (อยู่ระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย ๒ กับสาย ๓) เพราะไฟล์รูปเดิมที่ถ่ายเอาไว้หลายปีแล้วไม่รู้เก็บเอาไว้ตรงไหน ทำให้เขียนเรื่องนี้ไม่ได้ซะที เพราะตั้งใจจะใช้รูปสถานีรถไฟนี้มาประกอบบทความ 
  
รูปที่ ๑ สถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์ในปัจจุบัน (แวะไปถ่ายรูปมาเมื่อเช้าวันวานด้วยกล้องมือถือ) ยังคงรูปแบบอาคารแบบเดิม ๆ อยู่ แต่ต่อไปไม่รู้ว่าถ้าหากเกิดการขยายเส้นทางด่วนและรถไฟเข้าเมือง จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใด
  
ชื่อสถานีรถไฟนี้รู้จักมานานแล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็กพอจำความได้ เวลาคุณพ่อคุณแม่พานั่งรถไฟสายใต้ (ชั้น ๓) ไปเยี่ยมญาติทางใต้ ขบวนที่นั่งประจำคือรถเร็ว ธนบุรี-สุไหงโกลก ออกจากสถานีรถไฟธนบุรีตอน ๑๙.๐๕ น แต่ตอนนี้ขบวนนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว หายไปพร้อมกับสถานีรถไฟธนบุรีที่เคยเป็นแหล่งชุมนุมใหญ่ของหัวรถจักรไอน้ำ ตอนนั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมจึงตั้งชื่อสถานีนี้ไปพ้องเสียงกับคำว่า "ทำศพ"
  
ป. บุนนาค เขียนประวัติชื่อสถานที่นี้ไว้ในหนังสือ "ธนบุรีมีอดีต" ในเรื่อง "คลองมหาสวัสดิ์" โดยกล่าวไว้ว่ามาจากการสร้างศาลาที่เอาไว้ปลงศพคนงาน ดังนั้นชื่อเดิมของสถานที่แห่งนี้คือ "ศาลาทำศพ" ชื่อ "ศาลาทำศพ" นี้ยังมีปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศจะแจกโฉนดที่ดิน ในเขตท้องที่ ตำบลศาลาทำศพ อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ดังตัวอย่างที่ยกมาให้ดูในรูปที่ ๒ และ ๓ (ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนนั้นไทยยังขึ้นปีใหม่หรือเปลี่ยนปีพ.. ในวันที่ ๑ เมษายน อยู่นะครับ ดังนั้นวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๖๖ จึงมาก่อนวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๖๖)
  
รูปที่ ๒ ประกาศแจกโฉนดที่ดินในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ยังใช้ชื่อตำบลศาลาทำศพอยู่
  
รูปที่ ๓ ประกาศแจกโฉนดที่ดินในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ยังใช้ชื่อตำบลศาลาทำศพเช่นกัน

จริงอยู่ที่การนั่งรถไฟตู้ปรับอากาศ โดยเฉพาะการเดินทางเป็นระยะทางไกล ๆ นั้นมันก็สบายดีตรงที่ไม่ร้อน แต่มันก็มีข้อเสียสำหรับคนที่นาน ๆ ครั้งได้ขึ้นรถไฟทีเช่นผม คือมันมองอะไรนอกขบวนรถไม่ค่อยเห็น โดยเฉพาะเวลาที่ขบวนรถจอดนิ่ง (เช่นตอนรอหลีก) และก็ไม่สะดวกในการซื้อของกินตามสถานีต่าง ๆ ที่รถจอดได้ ยังจำได้ถึงการซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างที่สถานีนครปฐม การซื้อข้าวเกรียบที่ราชบุรี และข้าวไข่พะโล้กินเป็นอาหารเช้าที่ชุมทางทุ่งสง ที่รถไฟจอดนาน (เพราะต้องทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดภายในตู้หรือเติมน้ำสำหรับใช้ในห้องน้ำ) จนลงไปเดินเล่นซื้อของกินที่ตัวสถานีได้ (จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้เดินทางไกลด้วยรถไฟนานหลายปีแล้วด้วย) สำหรับเด็กอย่างผมแล้วการนั่งรถไฟถือได้ว่าเป็นเรื่องสนุก การได้กินข้าวบนรถไฟในขณะที่รถไฟวิ่งไป ชมทิวทัศน์ไปก็เป็นเรื่องตื่นเต้น ตู้รถไฟชั้น ๓ นั้นไม่มีโต๊ะให้กินข้าวเหมือนกับตู้รถนอนชั้น ๒ (ที่สามารถไปเอาโต๊ะพับได้ที่เขามีประจำแต่ละตู้มากางยังที่ที่นั่งตัวเอง แล้วก็กินข้าวตรงที่นั่งตัวเองได้เลย) ดังนั้นถ้าอยากนั่งโต๊ะ หรืออยากนั่งกินแบบสบายหน่อยก็ต้องไปนั่งกินที่ตู้เสบียง
  
แต่ก่อนนั้น การที่จะรู้จักชื่อสถานที่แห่งใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นได้เดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ มากน้อยเท่าใด ระหว่างเส้นทางเขาได้สังเกตเห็นอะไรบ้าง ไม่เหมือนปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าการที่จะรู้จักสถานที่ต่าง ๆ มากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าเล่นอินเทอร์เน็ตมากน้อยเท่าใด และความสำคัญของการเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่จุดหมายปลายทาง ไม่ใช่เส้นทาง จึงไม่แปลกที่จะเห็นการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่แทบจะไม่มีการรีวิวเส้นทางการเดินทางให้เห็น
  
ขอปิดท้ายเรื่องนี้ด้วยข้อความจากเรื่อง "บ้านผีที่สงขลา" หน้า ๘๗-๘๘ ในหนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" เขียนโดย สง่า อารัมภีร พิมพ์ครั้งที่ ๓ โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ที่มีการกล่าวถึงสถานีรถไฟบางสถานีเอาไว้ (ในเนื้อเรื่องเอ่ยถึงปีพ.ศ. ๒๕๑๓ จึงคาดว่าคงเป็นบันทึกเหตุการณ์ในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๑๓)

"ชาญ เย็นแข ซึ่งนั่งรถไฟมากกว่าใครเพื่อน เพราะเขาเป็นนักพากย์หนังภูธรมาเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ เขาคุยให้ฟังถึงชื่อสถานีต่าง ๆ สนุกนัก เช่นเมื่อกินเหล้าแล้วก็มีสถานี "ควนเมา" สถานี "ควนพอ" ฉะนั้นจะถึงสถานี "หนองวิวาท" สถานี "หนองโดน" เจ็บเข้าก็ไปสถานี "ศาลายา" หากสาหัสจนเหลือกำลังหมอก็ต้องไปสถานี "ศาลาธรรมศพ" นั่น ดื่มคุยกันจนถึง เพชรบุรีไม่รู้ตัว ..." (หมายเหตุ สะกดชื่อ "ศาลาธรรมศพ" ตามหนังสือต้นฉบับ)
  
รูปที่ ๔ หนังสือสองเล่มที่คัดบางข้อความมาเล่าให้ฟังใน Memoir ฉบับนี้

ไม่มีความคิดเห็น: