ถึงตอนนี้พวกคุณบางคนก็คงจะได้เห็นแล้วว่า
กว่าที่ปฏิกิริยาเคมีสักปฏิกิริยาจะออกไปสู่ระดับการผลิตจริงได้นั้นมันมีปัจจัยหลัก
ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยกัน
๔ ปัจจัยคือ เทคนิค
ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
(ตรงนี้จะมีนโยบายของหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย)
ข้อกำหนดทางด้านกฎหมาย
และปัจจัยด้านการเมือง
(ตอนนี้คิดได้เพียงแค่
๔ ปัจจัย)
ในวงการอุตสาหกรรมนั้นทราบกันดีว่าการผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง
และพลังงานที่ต้องใช้ในการแยกเอทานอลออกจากน้ำเพื่อให้ได้เอทานอลความบริสุทธิ์สูงนั้นสูงกว่าพลังงานที่ได้จากการเผาไหม้เอทานอล
ดังนั้นถ้าพิจารณาในเรื่องการประหยัดพลังงานแล้ว
การผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงในระดับที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๙๙ (ตามมาตรฐานมอก.
๒๓๒๔-๒๕๔๙)
เพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินเพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์นั้นจัดว่าเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน
เพียงแต่พลังงานที่ใช้ในการกลั่นเอทานอลนั้นอาจเป็นพลังงานที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรหรือจากถ่านหินนำเข้า
(ลดการนำเข้าน้ำมัน
แต่นำเข้าถ่านหินแทน)
ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์หรือเครื่องยนต์สันดาปภายในได้โดยตรง
ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๔๕๕ วันเสาร์ที่
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง
"เอาแป้งมันไปทำอะไรดี"
ก็ได้กล่าวถึงการหาทางเอาแป้งมันสำปะหลังไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการนำไปผลิตเอทานอล
ในบันทึกฉบับนั้นได้กล่าวถึงการหาทางนำเอาผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักไปทำปฏิกิริยาโดยตรงโดยที่ไม่ต้องทำการกลั่นแยกออกมาเป็นเอทานอลบริสุทธิ์
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่อยู่ในแนวทางนั้นก็คืออาจทำการกลั่นเพื่อให้ได้เอทานอลความบริสุทธิ์สูงขึ้น
โดยไม่จำเป็นต้องให้มีความบริสุทธิ์สูงมาก
(เช่นเพียงแค่ประมาณร้อยละ
๕๐)
และนำเอทานอลที่เข้มข้นมากขึ้นนั้นไปใช้ประโยชน์เช่นใช้ทำปฏิกิริยากับสารอื่นเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอื่น
ในส่วนของเบนซีนเองนั้นก็จัดว่าเป็นอะโรมาติกที่มีความเป็นพิษมากตัวหนึ่ง
ข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในส่วนของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์เองก็กำหนดให้มีเบนซีนได้ไม่เกินร้อยละ
๑ โดยปริมาตร
โดยยอมให้มีอะโรมาติกรวมทั้งหมดได้สูงถึงร้อยละ
๓๕ โดยปริมาตร
ดังนั้นถ้านำปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมมาพิจารณา
การใช้ประโยชน์จากเบนซีนนั้นควรที่จะทำการเปลี่ยนเบนซีนไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น
(ที่ปลอดภัยกว่า)
ณ
โรงงานที่ทำการผลิตเบนซีนหรือโรงงานที่อยู่ข้างเคียงที่สามารถส่งเบนซีนถึงกันผ่านทางระบบท่อ
ซึ่งจะเป็นการลดการรั่วไหลของเบนซีนออกสู่บรรยากาศ
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๑๖ วันพุธที่ ๑๐
ตุลาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "อะโรมาติก : การผลิต การใช้ประโยชน์ และปัญหา"
ได้กล่าวถึงภาพโดยกว้างทั่วไปของการใช้ประโยชน์สารประกอบอะโรมาติก
C6-C8
ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในโรงกลั่นน้ำมัน
ว่ามีการนำเอาไปใช้ทำอะไรกันบ้าง
แต่มาคราวนี้มีคำถามที่เฉพาะเจาะจงลงไปที่เบนซีนเพียงอย่างเดียว
ซึ่งผมก็บอกคนที่ถามเขาไปแล้วว่าโจทย์ของเขาข้อนี้จัดว่ายาก
(พอ
ๆ กับคำถามที่ว่าเอา CH4
ไปทำอะไรดีนอกจากเอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงกับเข้ากระบวนการ
steam
reforming) แต่ก็จะลองเสนอแนวทางให้พิจารณาดู
๑.
ผลิตเอทิลเบนซีนจากเบนซีนและเอทานอล
เอทิลเบนซีน
(Ethyl
benzene C6H5-CH2CH3)
เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสไตรีน
(Styrene
C6H5-CH=CH2)
จากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทิลีน
ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อใช้ในการผลิตสไตรีนที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิสไตรีน
(Polystyrene
- PS)
แต่เราก็สามารถผลิตเอทิลเบนซีนจากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทานอลได้
แต่สำหรับโรงกลั่นน้ำมันที่ไม่ได้มีโรงงานผลิตสไตรีนอยู่เคียงข้าง
การผลิตเอทิลเบนซีนเพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิต
สไตรีนที่อยู่ห่างออกไปนั้นคงไม่คุ้มค่า
แต่ถ้าเป็นการผลิตเอทิลเบนซีนเพื่อใช้เป็นสารเพิ่มค่าออกเทนในน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็น่าที่จะลองพิจารณาดู
เพราะจะทำให้มีการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เอทิลเบนซีนยังไม่มีปัญหาเรื่องการผสมเข้ากับน้ำมันเบนซินดังเช่นที่เกิดกับเอทานอลด้วย
แต่ทั้งนี้เอทานอลที่นำมาผลิตเอทิลเบนซีนนั้นจะต้องไม่ใช่เอทานอลเกรดเดียวกับที่ใช้ผสมเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์
(เอทานอลบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๙๙)
แต่ควรเป็นเอทานอลเกรดที่มีความบริสุทธิ์ที่ต่ำกว่าเพราะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่ามาก
ประโยชน์อีกอย่างที่ควรจะได้คือ
เอทิลเบนซีนที่ได้จากกระการนี้จะสามารถทดแทน
toluene,
xylenes และ
tri-methyl
benzene ที่ใช้เป็นสารเพิ่มออกเทนในน้ำมันเบนซินในปัจจุบัน
ทำให้สามารถดึงเอาสารประกอบเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นที่มีมูลค่าเพิ่มมากกว่าได้
(เช่นเอาไปผลิตเป็น
p-xylene
แทน)
รูปที่
๑ (บน)
องค์ประกอบของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันที่มีการใช้เอทานอลผสม
10
%vol (ล่าง)
ตัวอย่างแนวทางเลือกการผลิตแก๊สโซฮอล์
E10
ที่ใช้เอทิลเบนซีน
(E
vol%) เข้ามาผสมแทนอะโรมาติกส่วน
C7+
ในส่วนสารประกอบเมทิลอะโรมาติก
(toluene,
xylene และ
trimethybenzene)
ซึ่งจะทำให้สามารถผลักอะโรมาติกส่วน
C7+
E vol% ไปใช้ในการผลิต
p-xylene
ได้
รูปที่
๑ เป็นการเปรียบเทียบการผลิตแก๊สโซฮอล์
E10
ในปัจจุบัน
กับแนวทางเลือกหนึ่งที่ลองคิดขึ้นมาเล่น
ๆ ที่ยังคงต้องมีการผสมเอทานอล
10
%vol ในแก๊สโซฮอล์อยู่
ตามรูปแบบทางเลือกที่แสดงนั้นยังคงใช้เอทานอลเข้มข้น
99
%vol ในปริมาณเท่าเดิม
และยังมีการใช้เอทานอล 50
%vol เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นจะทำให้ความต้องการการผลิตเอทานอลเพิ่มสูงขึ้น
ในอีกทางเลือกหนึ่งนั้นจะเป็นการผลิตน้ำมันเบนซินที่ไม่มีการผสมเอทานอลเข้าไปโดยตรง
แต่ยังคงใช้เอทานอลอยู่โดยนำมาทำปฏิกิริยากับเบนซีนเพื่อผลิตเป็นเอทิลเบนซีนก่อน
จากนั้นจึงนำเอทิลเบนซีนที่ได้มาทดแทนอะโรมาติก
C7+
ซึ่งในกรณีหลังนี้โรงงานผลิตเอทานอลก็ยังเดินเครื่องอยู่
แต่จะเป็นการผลิตเอทานอลเข้มข้น
50
%vol แทน
ซึ่งจะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า
(รูปที่
๒)
และที่สำคัญคือยังตอบโจทย์ความต้องการ
(ของสังคม-การเมือง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม)
ที่จะใช้ผลิตผลทางการเกษตรมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงเหลวด้วย
แต่ปัญหาที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนภาพที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า
"การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงนั้นต้องใช้ในรูปเอทานอล"
มาเป็น
"การนำเอทานอลไปเปลี่ยนเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน"
ซึ่งตรงจุดนี้พัวพันไปถึงข้อกฎหมายด้วย
รูปที่
๒ อีกแนวทางเลือกหนึ่งในการผลิตในการผลิตน้ำมันเบนซิน
ที่มีการใช้เอทานอลในการผลิต
ส่วนที่ว่าจะผลิตเอทิลเบนซีนจากปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับเอทานอล
(50
%vol) อย่างไรให้คุ้มค่านั้น
คงต้องยกกันไปคุยกันเป็นหัวข้อต่างหาก
เพราะคงมีเรื่องทางเทคนิคที่ต้องพิจารณากันน่าดูอยู่เหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่ต้องพิจารณาอีกเช่น
(ก)
ต้นทุนการผลิตเอทิลเบนซีนโดยใช้เอทานอลความบริสุทธิ์ต่ำ
(คิดราคาเบนซีนและเอทานอลความบริสุทธิ์ต่ำและค่าใช้จ่ายในการผลิตเอทิลเบนซีน)
กับการผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูง
(คิดราคาเอทานอลความบริสุทธิ์สูง)
นั้นแบบไหนจะคุ้มค่ามากกว่ากัน
(ข)
การขนส่งวัตถุดิบอีกถ้าหากโรงงานผลิตเอทานอลและโรงงานที่มีการผลิตเบนซีนนั้นอยู่คนละแหล่งกันและไม่สามารถส่งให้กันทางระบบท่อได้
ดังนั้นจำเป็นต้องใช้รถลำเลียง
(เช่นรถไฟ)
การขนส่งเบนซีนนั้นจะมีปัญหากับสิ่งแวดล้อมมากกว่า
แต่การขนส่งเอทานอลเข้มข้น
50
%vol ก็จะสิ้นเปลืองมากกว่า
เพราะจะได้เนื้อเอทานอลเพียง
50%
ส่วนที่เหลืออีก
50%
นั้นเป็นน้ำที่ต้องทิ้งไป
แต่ถ้าผลิตเอทานอลความบริสุทธิ์สูงขึ้นก็จะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตมากขึ้น
แต่จะลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งลง
(เพราะต่อเที่ยวขนส่งจะมีเนื้อเอทานอลเพิ่มมากขึ้น)
๒.
ผลิตฟีนอลจากเบนซีน
ผมเดาว่าแนวทางนี้ด้วยสภาพในขณะนี้คิดว่าคงยากที่จะเกิด
แต่โครงการที่ยังไม่เหมาะสมในปัจจุบันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหมาะสมในอนาคต
เพราะราคาสิ่งต่าง ๆ
มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การผลิตฟีนอล
(Phenol
C6H5-OH) ในปัจจุบันใช้เส้นทาง
cumene
ซึ่งจะได้ฟีนอลและ
acetone
เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมกัน
เส้นทางนี้เริ่มจาก
benzene
กับ
propylene
ไปเป็น
cumene
ก่อน
จากนั้นจึงทำการออกซิไดซ์
cumene
ให้กลายเป็นสารประกอบเปอร์ออกไซด์
ตามด้วยการทำให้สารประกอบเปอร์ออกไซด์ดังกล่าวสลายตัวเป็นฟีนอลและ
acetone
แต่กระบวนการที่สะอาดกว่าในการผลิตฟีนอลก็มีอยู่
และต่างก็เป็นปฏิกิริยาในขั้นตอนเดียวโดยที่ไม่มีการเกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงร่วมคือ
(ก)
ปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนและไนตรัสออกไซด์
(N2O)
และ
(ข)
ปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
(H2O2)
ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนและไนตรัสออกไซด์นั้นมีการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว
และมีการจดสิทธิบัตรวิธีการเอาไว้หลากหลายฉบับด้วย
แต่ปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์นั้นไม่แน่ใจว่าจะมีการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้วหรือยัง
เท่าที่พอจะมีเวลาค้นดูสิทธิบัตรโดยใช้
google
ก็ยังหาไม่เจอ
เจอแต่ปฏิกิริยาในข้อ (ก)
ในขณะนี้ดูเหมือนว่าการใช้งานหลักของฟีนอลคือนำไปผลิตเป็น
bisphenol-A
ซึ่งผลิตจากปฏิกิริยาระหว่างฟีนอล
2
โมเลกุลกับ
acetone
1 โมเลกุล
แต่ในการผลิตฟีนอลจากกระบวนการ
cumene
นั้นจะได้ฟีนอล
1
โมเลกุลและ
acetone
1 โมเลกุล
ดังนั้นจะมี acetone
เหลืออยู่
ซึ่งต้องขายไปในรูปของตัวทำละลาย
แต่ถ้าใช้กระบวนการผลิตฟีนอลที่ไม่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงร่วม
(เช่นปฏิกิริยาสองปฏิกิริยาที่กล่าวมาข้างต้น)
ก็สามารถใช้ฟีนอลที่ได้จากกระบวนการดังกล่าวเข้าไปเสริมฟีนอลที่ได้จากกระบวนการ
cumene
ก็จะทำให้สามารถเพิ่มความต้องการการใช้
acetone
ให้สูงขึ้นได้
หรือไม่ก็พิจารณาการใช้ฟีนอลในการผลิตเป็นสารอื่นต่อไป
โดยอาศัยคุณสมบัติของฟีนอลที่มีความว่องไวสูงกว่าวงแหวนเบนซีน
ทำให้สามารถที่จะเติมหมู่อื่นเข้าไปในวงแหวนได้ง่ายขึ้น
หรือไม่ก็อาศัยการทำปฏิกิริยากับหมู่
-OH
ของโมเลกุลฟีนอลเองเลย
ซึ่งประเด็นตรงจุดนี้คงต้องค่อย
ๆ พิจารณากันต่อไป
ไม่รู้ว่า
Memoir
ฉบับนี้จะช่วยให้เขามีการบ้านไปส่งหรือเปล่า
:)