ในการผลิตพอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) ด้วยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา Ziegler-Natta นั้น จะมีการใช้โมโนเมอร์ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่าเอทิลีน (C2H4) ในการทำปฏิกิริยาด้วย โมโนเมอร์เหล่านั้น (เรียกว่าโคโมโนเมอร์ co-monomer) ทำให้สายโซ่พอลิเมอร์มีกิ่งยื่นออกมา สายโซ่พอลิเมอร์จึงไม่สามารถเข้าแนบชิดกันได้ ผลก็คือความหนานแน่นของพอลิเมอร์ที่ได้จะลดลง แต่ความสามารถในการรับแรงกระแทกจะดีขึ้น ความหนาแน่นจะลดต่ำลงเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของโคโมโนเมอร์และขนาดโมเลกุลของโคโมโนเมอร์ ถ้าใช้โคโมโนเมอร์ในปริมาณมาก (แต่ก็ยังเรียกว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับปริมาณเอทิลีนที่ใช้) ความหนาแน่นของพอลิเมอร์ที่ได้ก็จะลดต่ำลง และถ้าใช้โคโมโนเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ ก็จะสามารถลดความหนาแน่นของพอลิเมอร์ที่ได้ลงไปถึงระดับของพอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำที่เรียกว่า LLDPE ที่ย่อมาจาก Linear Low Density Polyethylene หรือพอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำโครงสร้างเชิงเส้น
โคโมโนเมอร์ที่ใช้จะเป็นพวกโอเลฟินส์ที่เรียกว่า
1-olefin
หรือ
-olefin
คือพวกที่มีตำแหน่ง
C=C
อยู่ที่ตำแหน่งอะตอมคาร์บอนตัวแรก
(เช่น
1-butene,
1-hexene, 4-methyl-1-pentene และ
1-octene
เป็นต้น)
๔.
1-Butene
โรงงานผลิตพอลิเอทิลีนไม่ได้ผลิตพอลิเอทิลีนเพียงแค่ชนิดใดชนิดหนึ่ง
แต่มีการผลิตออกแบบหลายชนิดตามการใช้งาน
สำหรับโคพอลิเมอร์ที่ใช้ในปริมาณไม่มากก็อาจใช้การสร้างถังเก็บในโรงงาน
แล้วสั่งเข้ามาเก็บไว้
(เช่นอาจขนมาทางรถบรรทุก)
ในกรณีเช่นนี้ที่ตั้งของถังเก็บอาจจะอยู่ภายใน
Battery
limit (ที่เรียกว่า
Inside
Battery Limit หรือ
ISBL)
โดยจุดแบ่งขอบเขตความรับผิดชอบระหว่างตัวโรงงานและผู้นำโคโมโนเมอร์มาส่งจะอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างถังเก็บของโรงงานกับถังของรถที่บรรทุกมา
๕.
Hexane
กระบวนการการผลิตพอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูงนั้นพอจะแบ่งได้เป็น
๓ รูปแบบคือ gas
phase, slurry phase และ
solution
phase แต่ละรูปแบบต่างก็มีข้อดีข้อเสียของมัน
รายละเอียดของเรื่องนี้เคยเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๒ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน
๒๕๕๒ เรื่อง "Ethylene polymerisation" เอาไว้แล้ว
ในการทำปฏิกิริยานั้น
สารตั้งต้นและโคโมโนเมอร์จะอยู่ในเฟสแก๊ส
โดยตัวเร่งปฏิกิริยาจะเป็นของแข็ง
และตัวเร่งปฏิกิริยาร่วม
(co-catalyst
ซึ่งส่วนใหญ่ที่ใช้กันจะเป็นสารประกอบ
alkyl
aluminium) เป็นเฟสของเหลว
ในกรณีของการทำปฏิกิริยาในรูปแบบ
slurry
หรือ
solution
phase นั้นจะให้ปฏิกิริยาเกิดในตัวทำละลายที่เฉื่อย
บทบาทของตัวทำละลายไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการทำปฏิกิริยา
แต่ยังทำหน้าที่เป็นแหล่งรับความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาด้วย
(ปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน)
แม้ว่าตัวทำละลายจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี
แต่การเปลี่ยนชนิดตัวทำละลายสามารถส่งผลต่อความเข้มข้นของสารตั้งต้นแต่ละชนิดในขณะที่เข้าทำปฏิกิริยา
เพราะความสามารถในการละลายของสารตั้งต้นแต่ละตัวในตัวทำละลายต่างชนิดกันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
เฮกเซน
(C6H14)
เป็นตัวทำละลายตัวหนึ่งที่ใช้กันมากในการสังเคราะห์พอลิเอทิลีน
ด้วยการที่มันมีจุดเดือดต่ำ
ทำให้แยกออกจากพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นได้ง่าย
(คือระเหยออกด้วยการอบแห้งได้ง่าย)
และเรายังสามารถใช้ประโยชน์จากการที่มันมีจุดเดือดต่ำดังกล่าวในการระบายความร้อนของการทำปฏิกิริยา
ด้วยการให้ปฏิกิริยาเกิดขึ้นที่อุณหภูมิจุดเดือดของเฮกเซน
(การปรับอุณหภูมิจุดเดือดทำได้ด้วยการปรับความดันของการทำปฏิกิริยา)
ข้อมูลที่แสดงข้างล่างเป็นตัวอย่างหนึ่งของคุณลักษณะของเฮกเซนที่ใช้เป็นตัวทำละลายในการทำปฏิกิริยาการสังเคราะห์พอลิเอทิลีน
ยิ่งโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนมีจำนวนอะตอม
C
เพิ่มมากขึ้น
จำนวนไอโซเมอร์ที่เป็นไปได้ก็เพิ่มตามไปด้วย
เมื่อโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนมีขนาดใหญ่ขึ้น
จำนวนอะตอม C
ที่แตกต่างกันเพียง
๑ หรือ ๒ อะตอมก็ไม่ได้ทำให้จุดเดือดแตกต่างกันมาก
ดังนั้นในกรณีของไฮโดรคาร์บอนเหลวที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในรูปของสารบริสุทธิ์
(ที่มีโครงสร้างโมเลกุลเพียงชนิดเดียว)
เช่นในกรณีของการใช้เป็นตัวทำละลาย
ที่ขอให้มันทำหน้าที่เพียงแค่ตัวทำละลายได้และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยา
จึงมักใช้ช่วงอุณหภูมิจุดเดือดในการจำแนกประเภท
ถ้าช่วงอุณหภูมิจุดเดือดนี้กว้างก็แสดงว่าประกอบด้วยโมเลกุลหลากหลายชนิด
แต่ถ้าช่วงอุณหภูมิจุดเดือดแคบลง
ก็แสดงว่าเป็นสารที่มีความบริสุทธิ์สูงขึ้น
ความหนาแน่นของของเหลวลดลงเมื่อของเหลวมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นการระบุความหนาแน่นจึงจำเป็นต้องระบุอุณหภูมิที่ทำการวัดด้วย
ค่า Karui-butanol value เป็นค่าที่บ่งบอกถึงกำลังของตัวทำละลายในการละลายสารอื่น (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า solvent power) ค่านี้ไม่มีหน่วย ตัวเลขที่สูงหมายถึงมีกำลังสูง การทดสอบจะดูความสามารถของตัวทำละลายในการละลาย Karui resin (เรซินที่มีลักษณะเป็นยางเหนียว ตัวอย่างวิธีการวัดดูได้จากมาตรฐาน ASTM D 1133 (ในรูปที่นำมาให้ดูนั้น เลข 02 ที่ต่อท้ายหมายถึงเป็นมาตรฐานที่ใช้ตั้งแต่ปีค.ศ. ๒๐๐๒ เป็นต้นมา ดังนั้นก่อนจะใช้มาตรฐานไหนก็ควรตรวจสอบก่อนว่าฉบับล่าสุดนั้นเป็นของปีค.ศ. ใด)
สี (Saybolt) วัดได้โดยใช้วิธีตามมาตรฐาน ASTM D 156
ค่า
Aniline
point คือค่าอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ตัวทำละลายสามารถละลาย
Aniline
ให้กลายเป็นของเหลวเนื้อเดียวกันได้เมื่อทำการผสมตัวทำละลายและ
Aniline
สัดส่วนโดยปริมาตรเท่ากัน
วิธีการวัดดูได้จากมาตรฐาน
ASTM
D 611 ค่านี้บ่งบอกให้ทราบถึงปริมาณสารประกอบ
aromatic
ที่มีอยู่
ถ้ามีมาก อุณหภูมิที่ใช้จะลดต่ำลง
ในตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นว่าค่านี้อยู่ที่ช่วงจุดเดือด
กล่าวคือมีสารประกอบ aromatic
อยู่น้อยมาก
Copper strip test เป็นการวัดการกัดกร่อนของของเหลวโดยใช้แผ่นโลหะทองแดงเป็นตัวทดสอบ วิธีการทดสอบใช้วิธีตามมาตรฐาน ASTM D 130
Doctor test เป็นการวัดปริมาณสารประกอบกำมะถันที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิงและตัวทำละลาย วิธีการทดสอบใช้วิธีตามมาตรฐาน ASTM D 4952 แต่ทำไมถึงเรียกว่าเป็น Doctor test นี่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
การวัดอัตราการระเหยเป็นการวัดเทีบกับ n-Butyl acetate โดยให้อัตราการระเหยของ n-Butyl acetate = 1.0 ตัวอย่างวิธีการวัดใช้ดูได้จากมาตรฐาน ASTM D 3539 สารที่ระเหยได้ดีกว่า n-Butyl acetate จะมีค่านี้มากกว่า 1.0
Bromine
index หรือ
Bromine
number เป็นการวัดปริมาณโอเลฟิสน์
(จำนวนพันธะ
C=C)
โดย
Br
จะเข้าไปเติมตรงตำแหน่งพันธะ
C=C
วิธีการวัดมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี
ขึ้นอยู่กับว่าไฮโดรคาร์บอนนั้นเป็นชนิด
aliphatic
หรือ
aromatic
และวิธีการที่ใช้วัดจุดยุติ
(Electrometric
titration หรือ
Coulometricmetric
titration) ดังเช่นมาตรฐาน
ASTM
D 1159, D 1492 และ
D
5776 ที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
ตอนที่
๒ ของบทความนี้คงจบเพียงแค่นี้
แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น