คำว่า
"Battery"
สำหรับคนทั่วไปคงจะนึกถึงแต่แบตเตอรี่หรือเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่เป็นแหล่งให้พลังงาานไฟฟ้า
แต่มันยังมีความหมายอื่นอีก
เช่นในวงการทหารจะใช้คำนี้กับปืนใหญ่ที่จัดรวมเป็นกลุ่ม
เช่นถ้าเป็นทหารบกก็จะเป็นปืนใหญ่หลายกระบอกที่นำมาจัดกลุ่มตั้งยิง
(Artillery
battery)
แต่ถ้าเป็นทหารเรือก็จะเป็นป้อมปืนที่ประกอบด้วยปืนใหญ่หลายกระบอก
แต่คำว่า "Battery
limit" ในที่นี้จะมีความหมายเป็น
"ขอบเขตความรับผิดชอบระหว่างสองพื้นที่"
ที่อาจเป็นขอบเขตทางกายภาพหรือขอบเขตตามภูมิศาสตร์ก็ได้
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างขอบเขตทางกายภาพลองนึกภาพบ้านหลังหนึ่งที่มีรั้วล้อมรอบ
ขอบเขตตามภูมิศาสตร์ของบ้านหลังนั้นคือรั้ว
แต่บ้านหลังนี้มีการใช้ไฟฟ้า
มีการติดมิเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่เสาไฟฟ้าหน้าบ้าน
สิ่งที่การไฟฟ้าทำคือการเดินสายไฟฟ้าจากสายส่งมายังมิเตอร์
(ที่อยู่นอกบ้าน)
เจ้าของบ้านหลังดังกล่าวต้องรับผิดชอบส่วนสายไฟตั้งแต่ด้านขาออกจากมิเตอร์
(ที่อยู่นอกบ้าน)
เข้าไปในตัวบ้าน
ตรงตำแหน่งด้านขาออกจากมิเตอร์คือ
Battery
limit ในส่วนของไฟฟ้า
ในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน
ปิโตรเคมี หรือเคมีนั้น
คำว่า Inside
Battery Limit (ISBL) จะหมายถึงด้านที่เป็นขอบเขตความรับผิดชอบของโรงงาน
ส่วน Outside
Battery Limit (OSBL)
จะหมายถึงด้านที่อยู่นอกขอบเขตความรับผิดชอบของโรงงาน
ในกลุ่มโรงงานที่มีการส่งวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์กันระหว่างโรงงานด้วยการใช้ระบบท่อส่งนั้น
จะต้องมีการกำหนดจุดแบ่ง
(ปรกติก็จะเป็นตำแหน่งหน้าแปลน)
ที่แบ่งความรับผิดชอบว่าด้านไหนเป็นของฝ่ายไหน
ถ้าเปรียบเทียบกับน้ำประปาที่ส่งให้ตามบ้าน
ท่อจากมิเตอร์น้ำออกมาเข้าไปในตัวบ้านเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของบ้าน
ส่วนตั้งแต่ตัวมิเตอร์ออกไปเป็นส่วนความรับผิดชอบของการประปา
โรงงานผลิตโอเลฟินส์
(olefin)
ก็ทำหน้าที่ผลิตเอทิลีนเป็นหลัก
จากนั้นก็จะส่งโอเลฟินส์ที่ผลิตได้ส่งไปยังคลังเก็บ
(ซึ่งอาจเป็นการเก็บในถังเก็บ
cryogenic
ที่ความดันบรรยากาศ)
เพื่อรอการจัดจำหน่ายต่อไป
ซึ่งอาจเป็นการส่งไปให้กับโรงงานอื่นที่อยู่ข้างเคียงผ่านทางระบบท่อ
หรือส่งออกในรูปของเหลวบรรทุกไปทางเรือ
โรงงานอื่นที่นำเอาโอเลฟินส์ไปใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่อยู่ใกล้กับโรงงานผลิตโอเลฟินส์
ก็มักจะรับโอเลฟินส์ที่โรงงานผลิตโอเลฟินส์นั้นผลิตได้ที่ส่งมาทางระบบท่อ
แต่ในขณะเดียวกันก็อาจต้องมีการวางแผนการรับโอเลฟินส์จากแหล่งอื่น
(เช่นส่งมาทางเรือมาสำรองไว้ที่คลังเก็บ)
ในกรณีที่โรงงานผลิตโอเลฟินส์นั้นหยุดเดินเครื่อง
ดังนั้นโรงงานที่รับเอาโอเลฟินส์ไปใช้งานนั้นจึงจำเป็นที่ต้องรู้องค์ประกอบของโอเลฟินส์ที่จะรับเข้ามา
ว่าสามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตของตัวเองได้เลยหรือไม่
หรือจำเป็นต้องมีการปรับปรุงคุณสมบัติให้เหมาะสมก่อนนำไปใช้ในกระบวนการผลิต
(เช่นการกำจัดสิ่งเจือปนที่มากเกินไปออก)
เพราะถ้าพบว่าต้องทำการปรับปรุงคุณสมบัติ
ก็จะได้ออกแบบโรงงานให้มีหน่วยปรับปรุงคุณสมบัติโอเลฟินส์
เรื่องราวของบทความชุดนี้จะเป็นการยกตัวอย่างข้อกำหนดคุณลักษณะของสารเคมีหรือสาธารณูปโภคบางตัวที่ตำแหน่ง
Battery
limit ของโรงงาน
เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพว่าในการออกแบบโรงงานนั้น
วิศวกรผู้ออกแบบควรต้องรู้เงื่อนไขอะไรที่เป็นปัจจัยภายนอก
ที่ส่งผลต่อการออกแบบโรงงาน
จะว่าไปบทความชุดนี้จะเรียกว่าเป็นส่วนขยายของบทความชุด
"ทำความรู้จัก
Project
Design Questionnaire" กับ
"ทำความรู้จัก
Process
Design Questionnaire" ก็ได้
เพียงแต่ว่าในบทความสองชุดก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างหัวข้อ
แต่ในบทความชุดนี้จะเป็นการให้รายละเอียดสำหรับบางหัวข้อ
โดยจะขอเริ่มจากวัตถุดิบก่อน
ตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ
ที่นำมาแสดงเป็นเพียงตัวอย่างข้อมูลที่ตำแหน่ง
Battery
limit เท่านั้นนะ
อย่าไปยึดติดว่ามันต้องเป็นจริงตามนี้เสมอ
เอทิลีนที่ผลิตได้ถูกเก็บไว้ในถังเก็บในสภาพที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง
ที่ความดันบรรยากาศ
เมื่อต้องการส่งเอทิลีนไปยังผู้ใช้ก็จะทำการระเหยให้กลายเป็นไอก่อน
แล้วค่อยเพิ่มความดันเพื่อให้ส่งไปตามระบบท่อได้
วิธีการนี้ทำให้ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในส่วนของโลหะที่ใช้ทำท่อที่ต้องทนอุณหภูมิต่ำได้
และการหุ้มฉนวน
และสิ่งที่ลูกค้าต้องการใช้งานก็คือเอทิลีนในสภาพที่เป็นแก๊สที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้องอยู่แล้ว
ส่วนความดันนั้น
ถ้าความดันที่รับเข้ามาสูงเพียงพอสำหรับการใช้ในกระบวนการผลิตของผู้รับ
ทางฝ่ายผู้รับก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบเพิ่มความดันให้กับแก๊สที่รับเข้ามา
มีเพียงแค่ระบบลดความดันเท่านั้นเอง
ในหลายกระบวนการ
เช่นกระบวนการผลิตพอลิโอเลฟินส์ที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาตระกูล
Ziegler-Natta
นั้น
(เช่นการผลิตพอลิเอทิลีนพวก
HDPE,
LLDPE และการผลิตพอลิโพรพิลีน)
ตัวเร่งปฏิกิริยากลุ่มนี้จะเสื่อมสภาพได้เมื่อพบกับสารประกอบมีขั้วและโมเลกุลบางชนิด
เช่น CO,
CO2, H2O, O2, CH3OH,
สารประกอบคาร์บอนนิล
(พวกมีหมู่
-CO-)
และสารประกอบกำมะถัน
แม้ว่าสารเหล่านี้จะมีปะปนมากับเอทิลีนในปริมาณที่ต่ำมากก็ตาม
แต่เมื่อพิจารณาอัตราการไหลของเอทิลีนที่ป้อนเข้ามา
(เอทิลีนในระดับ
10
ตันต่อชั่วโมงก็ไม่ได้ถือว่ามากอะไร)
และปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในกระบวนการผลิต
(ที่ใฃ้น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเอทิลีนที่เปลี่ยนไปเป็นพอลิเมอร์
คือใช้ในระดับ kg/hr)
ก็อาจพบว่าปริมาณสารปนเปื้อนที่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยานี้เมื่อนับรวมกันแล้ว
อาจสูงจนก่อให้เกิดความสูญเสียตัวเร่งปฏิกิริยาที่จำเป็นสำหรับกระบวนการผลิตในระดับที่มากเกินไป
ส่วนระดับสารปนเปื้อนที่มากเกินไปนั้นอยู่ตรงไหนนั้น
คงต้องไปดูข้อกำหนดของเจ้าของเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตพอลิโอเลฟินส์แต่ละราย
เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาของเจ้าของเทคโนโลยีแต่ละรายนั้นทนต่อสารปนเปื้อนที่เป็นพิษนี้ไม่เท่ากัน
ข้อมูลตรงนี้นส่งผลต่อการออกแบบหน่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนให้กับเอทิลีน
ถ้าพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยานั้นไม่สามารถทนต่อระดับปริมาณสารปนเปื้อนที่เป็นพิษที่มากับเอทิลีนที่รับเข้ามาได้
ทางผู้รับเอทิลีนก็ต้องมีหน่วยปรับปรุงคุณภาพเอทิลีนก่อนนำไปใช้งาน
(ผู้ผลิตเอทิลีนเขาไม่ทำให้เป็นพิเศษกับผู้ใช้แต่ละราย
เพราะเขาผลิตเอทิลีนในปริมาณมากเพื่อส่งให้กับผู้ใช้หลายราย)
ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตตรงส่วนนี้เพิ่มขึ้น
แต่ถ้าพบว่าพอจะยอมรับปริมาณสารปนเปื้อนที่เป็นพิษนี้ได้
เขาก็อาจจะยอมสูญเสียตัวเร่งปฏิกิริยาไปบางส่วน
(เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของการทำปฏิกิริยาที่เพิ่มขึ้น)
แต่เขาจะไปประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องมีหน่วยกำจัดสารปนเปื้อนให้กับเอทิลีน
เรื่องความบริสุทธิ์ของเอทิลีนที่เหมาะสมกับกระบวนการผลิตนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อกระบวนการผลิตต้องตกลงกับผู้ขายเทคโนโลยีการผลิตให้ดี
เพราะถ้าหากตอนตกลงกันนั้นผู้ขายเทคโนโลยีบอกว่าเอทิลีนที่จะซื้อมานั้นใช้ได้เลย
ไม่มีปัญหา
ผู้ซื้อเทคโนโลยีก็เลยสร้างโรงงานที่ไม่มีหน่วยเพิ่มความบริสุทธิ์
แต่พอเอาเข้าจริงแล้วใฃ้ไม่ได้
ทางผู้ขายเทคโนโลยีจะรับผิดขอบอย่างไร
(เช่นยอมให้ปรับเงินประกัน)
แล้วทางผู้ซื้อเทคโนโลยีจะแก้ปัญหาอย่างไร
(เช่นจะฝืนใช้ไปก่อนแล้วค่อยติดตั้งหน่วยเพิ่มความบริสุทธิ์ภายหลัง)
แต่ในทางกลับกันใช่ว่าจะดีเสมอไป
เคยได้ยินเรื่องเล่ามาเหมือนกันว่าเจ้าของเทคโนโยลีกระบวนการผลิตพอลิเมอร์นั้นกำหนดความบริสุทธิ์ของเอทิลีนไว้ซะสูงกว่าที่ผู้ซื้อเทคโนโลยีจัดหาได้
ทำให้ผู้ซื้อเทคโนโลยีต้องออกแบบโรงงานโดยให้มีหน่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนให้กับเอทิลีน
(ทางผู้ซื้อเทคโนโลยีเป็นคนออกเงินในส่วนนี้)
แต่พอเอาเข้าจริงแล้วพบว่าเอทิลีนที่ผ่านหน่วยปรับปรุงคุณภาพแล้วมีความบริสุทธิ์ที่สูงมาก
ประกอบกับตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้นั้นมีความว่องไวสูงมาก
ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้รวดเร็วมากจนไม่สามารถระบายความร้อนที่คายออกมาในปริมาณมากได้ทัน
ก่อให้เกิดปัญหาในกระบวนการผลิต
สุดท้ายก็เลยแก้ปัญหาด้วยการ
bypass
หน่วยเพิ่มความบริสุทธิ์ให้กับเอทิลีน
คือสร้างแล้ว แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้
อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการสูญเปล่าของผู้ซื้อเทคโนโลยีหรือไม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
และเจ้าของเทคโนโลยีการผลิตพอลิเมอร์ที่บอกกับผู้ซื้อเทคโนโลยีว่าจำเป็นต้องมีหน่วยนี้
แสดงความรับผิดชอบอย่างใดหรือไม่นั้น
ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ไฮโดรคาร์บอน
C3
และ
C4
สามารถทำให้เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องได้ด้วยการเพิ่มความดัน
ดังนั้นมันจึงมักถูกเก็บเอาไว้ในรูปของเหลวภายใต้ความดัน
และส่งจ่ายไปตามท่อให้กับผู้ซื้อในรูปของเหลว
(สูบจ่ายของเหลวใช้พลังงานน้อยกว่าการอัดความดันให้กับแก๊ส
และการส่งในรูปของเหลวยังใช้ท่อที่มีขนาดเล็กกว่าด้วย)
โพรเพนและโพรพิลีนเป็นคู่สารที่มีจุดเดือดใกล้กันมาก
การกลั่นแยกทำได้ยาก
(ต้องใช้หอกลั่นที่มีจำนวน
tray
มาก)
แต่เนื่องจากโพรเพนมักเป็นสารที่เฉื่อยในปฏิกิริยาที่นำโพรพิลีนไปใช้เป็นสารตั้งต้น
ดังนั้นจึงพอจะยอมให้มีโพรเพนผสมอยู่ในโพรพิลีนในระดับที่สูงหน่อย
(เมื่อเทียบกับกรณีของเอทิลีน-อีเทน)
ในการแยกไฮโดรคาร์บอน
C2
ออกจาก
C3
และพวกที่หนักกว่านั้น
จะทำการกลั่นแยกที่อุณหภูมิต่ำและแยกพวก
C2
ออกไปในรูปของไอ
ในขณะที่พวก C3
พวกที่หนักกว่านั้นออกไปในรูปของเหลว
ทำให้ในโพรพิลีนนั้นมีไฮโดรคาร์บอนหนักปนเปื้อนมากกว่าในกรณีของเอทิลีน
ส่วน green
oil เป็นพวกไฮโดรคาร์บอนหนักที่เกิดจากการต่อโมเลกุลเข้าด้วยกัน
(การพอลิเมอร์ไรซ์)
ของไฮโดรคาร์บอนเบา
สาเหตุที่มีของ green
oil อาจมาจากอุณหภูมิและความดันที่สูงในบางช่วงของกระบวนการผลิตเอทิลีน
(เช่นในตอนเพิ่มความดันให้กับแก๊สที่ออกมาจาก
cracker
ก่อนเข้าหน่วยกลั่นแยก)
หรือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในกระบวนการผลิต
(เช่นหน่วยกำจัดอะเซทิลีน)
ในกระบวนการผลิตพอลิเอทิลีนก็มีการใช้โพรพิลีนเป็นโมโนเมอร์ร่วมกับเอทิลีน
โดยใช้เป็นตัวปรับความหนาแน่นของพอลิเอทิลีนที่ผลิตได้
(เพิ่มระยะห่างระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์)
การผลิตพอลิเอทิลีนใช้แก๊สไฮโดรเจนเป็นตัวควบคุมความยาวสายโซ่พอลิเมอร์
ถ้าผสมไฮโดรเจนในสัดส่วนที่สูงในระหว่างการทำปฏิกิริยาก็จะได้พอลิเมอร์สายโซ่สั้น
พอลิเมอร์สายโซ่สั้นจะหลอมง่าย
ไหลง่าย เหมาะสำหรับการฉีดขึ้นรูปในแม่แบบ
(injection
molding) แต่ถ้าต้องการพอลิเมอร์มาทำเป็นฟิลม์
เป็นถุงพลาสติก ก็ผสมไฮโดรเจนน้อยหน่อย
จะได้พอลิเมอร์สายโซ่ยาวที่หนืด
เป่าขึ้นรูปให้โป่งพองได้
แหล่งที่มาหลักของไฮโดรเจนนั้นมีอยู่สองแหล่งด้วยกัน
แหล่งแรกคือจากกระบวนการผลิตโอเลฟินส์
ไฮโดรเจนตรงนี้จะมีสิ่งเจือปนเยอะหน่อย
(อย่างเช่นที่เอามาให้ดู)
แหล่งที่สองคือจากกระบวนการผลิตโซดาไฟ
(NaOH)
ที่ใช้ไฟฟ้าในการแยกสารละลายเกลือ
NaCl
ไฮโดรเจนจากแหล่งนี้จะมีความบริสุทธิ์ได้สูงกว่า
(ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำและเกลือที่ใช้)
ในระหว่างที่โรงงานโอเลฟินส์เดินเครื่องนั้น
จะมีการผลิตไฮโดรเจนตลอดเวลา
แต่มักจะไม่มีการเก็บไฮโดรเจนสำรอง
(เพราะต้องเก็บในรูปของแก๊สความดันสูง)
ในกรณีที่โรงงานผลิตโอเลฟินส์หยุดเดินเครื่องก็จะไม่มีการจ่ายไฮโดรเจนให้กับโรงงานผลิตพอลิเมอร์
แต่ก็จะยังมีเอทิลีนที่สำรองไว้ในถังเก็บ
ดังนั้นโรงงานผลิตพอลิเมอร์จึงยังคงสามารถเดินเครื่องการผลิตต่อไปได้ด้วยการสั่งซื้อไฮโดรเจนจากแหล่งภายนอก
(ที่เห็นกันก็คือมากับรถพ่วง
๒๒ ล้อ นำมาจอดที่โรงงานลูกค้า
แล้วก็ต่อท่อจากรถพ่วงเข้าสู่ระบบของลูกค้า)
ดังนั้นการออกแบบโรงงานก็ควรต้องคำนึงถึงตำแหน่งสำหรับรองรับวัตถุดิบที่อาจมาในรูปของคันรถที่มาจอดต่อพ่วงเข้ากับตัวโรงงานเอาไว้ด้วย
ตอนที่
๑ ของเรื่องนี้คงจะขอจบเพียงแค่นี้ก่อนหลังจากลากมายาว
๖ หน้าแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น